โกอินเตอร์ไปแบบชนักปักเต็มหลัง “สมีคำ” พระแห่งยุคที่ใครๆ ก็ส่ายหน้าเอือมระอา ยิ่งนานยิ่งสาวไส้ออกมาปรากฏความเลวผ่านสื่อได้ทุกวัน ล่าสุด กำลังจะได้รับความผิดเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา ในฐานยักยอกทรัพย์ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนร่วมบริจาคสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ด้านอดีตพระ แว่วว่าจะขอลี้ภัยเป็นพลเมืองอเมริกัน งานนี้มารศาสนาจะโดนลากคอกลับมารับความผิดที่ไทยหรือไม่ คงต้องตามลุ้นกันต่อไป
“สมีคำ” ฟัน 8 ข้อหา
แหกตาชาวพุทธมานานจนร่ำรวย ถึงคราวซวยต้องลากคอมาเข้าคุก สำหรับอดีตพระ โล้นห่มเหลือง “สมีคำ” หลังโดนสอบซัดเข้าไป 8 ข้อหา ล่าสุด สำนักพระพุทธศาสนา เตรียมแจ้งข้อหายักยอกทรัพย์เพิ่มเติมกับเณรคำ โดยเฉพาะการออกโฆษณาเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลกที่วัดป่าขันติธรรม แหกตาว่าใช้หินหยกมาจากประเทศอินเดียเป็นวัสดุนำมาสร้างองค์พระแก้วฯ สุดท้ายเป็นเพียงแค่ผงปูนเขียวมูลค่าต่างกันลิบ ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงต้นเดือนสิงหาคมจะเข้าประชุมร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เกี่ยวกับการแจ้งข้อหาเพิ่มต่อสมีคำ หรือ นายวิรพล สุขผล ในเรื่องการยักยอกทรัพย์
สำหรับก่อนหน้านี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้สรุปข้อหาของสมีคำไว้ 8 ข้อหาด้วยกัน ประกอบด้วย
1. การใช้สื่อสารสนเทศลงโฆษณาอันเป็นเท็จ ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณชน เบื้องต้นถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 เกี่ยวกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ และเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้ายของ พ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษ เนื่องจากมีการอ้างว่าได้เข้าเฝ้าพระอินทร์ ซึ่งพระอินทร์สั่งให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ด้วยทองคำ 9 ตัน ดีเอสไอวิเคราะห์แล้วเห็นว่าความผิดสำเร็จแล้ว
2. กรณีการกระทำชำเราเด็กหญิงและพรากผู้เยาว์ซึ่งเป็นความผิดอาญา มาตรา 277 และ 317 วรรค 3
3. กรณีมีพฤติกรรมหลบเลี่ยงภาษีรถหรู ซึ่งเบื้องต้นพบรถต้องสงสัย 9 คัน ทั้งบีเอ็มดับเบิลยู มินิคูเปอร์ นิสสันเซฟิโร่ ซึ่งน่าจะมีการนำออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และรถเบนซ์อีกจำนวนหนึ่งที่ซื้อใน จ.อุบลราชธานี
4. กรณีเสพยาเสพติดให้โทษ
5. การแสดงและใช้วุฒิการศึกษาเท็จว่าจบด็อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษา
6. คดีฆ่าคนตายโดยประมาทจากการขับรถชนคนตาย
7. ความผิดฐานฟอกเงินกรณีการเบียดบังเงินบริจาคไปซื้อทรัพย์สินและการนำเงินไปฝากในต่างประเทศ
8. การอวดอุตริ อภินิหาร
นักวิชาการชี้ โอกาสรอดสูง
อย่างไรก็ดี การนำตัวอดีตพระเณรคำกลับมาดำเนินคดียังประเทศไทยนั้น ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่หลายคนคิดไว้ เนื่องจากกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องของการส่งผู้ร้ายข้ามแดนค่อนข้างซับซ้อนและต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ดังที่ รศ.ดร. เจษฎ์ โทณะวณิก คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ได้อธิบายคร่าวๆ ว่า อเมริกามีสิทธิที่จะพิจารณาการส่งกลับว่าได้หรือไม่ได้ โดยที่เราไม่มีสิทธิบีบบังคับแต่อย่างใด
“ถ้าเกิดสหรัฐฯ จะส่งตัวใครกลับมา เค้าก็ต้องพิจารณาว่า สองประเทศมีข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกันหรือเปล่านะครับ ถ้าหากไม่ได้มีข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน เค้าก็ไม่สามารถดำเนินการได้ นอกจากว่าเป็นภาคีในอนุสัญญาเกี่ยวกับการดำเนินการต่อผู้ร้ายร่วมกัน คือถ้าไม่มีตรงนี้ก็จะไม่สามารถส่งตัวกลับมาได้ แล้วทีนี้ สหรัฐอเมริกาเค้ามีข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทย เพราะฉะนั้นก็สามารถดำเนินการได้ แต่จะดำเนินการหรือไม่ต้องมาพิจารณากันอีกทีว่า
หนึ่ง การกระทำนั้น มันถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายของประเทศเค้าหรือไม่ ถ้าหากว่าเป็นความผิดตามกฎหมายประเทศเขา เขาสามารถดำเนินการได้หรือไม่ ถ้าเขาสามารถดำเนินการได้ เขาก็อาจจะไม่ส่งตัวกลับมา แต่ถ้าเขาคิดว่าประเทศไทยน่าจะดำเนินคดีได้เหมาะสมกว่า เขาก็ต้องมาพิจารณาว่า ถ้าส่งกลับมาให้ประเทศไทย ประเทศไทยจะดำเนินการตามกรอบกฎหมายที่ประเทศเขามีหรือเปล่า สองคือว่าการดำเนินการของประเทศไทย จะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายของประเทศเขาหรือเปล่า สามก็คือว่าผู้ต้องหาที่จะถูกส่งตัวมาจะได้รับความเป็นธรรมเหมือนอย่างที่จะได้รับในประเทศเขาหรือไม่ เพราะฉะนั้นเขาก็จะมีเหตุผลในการไม่ส่งตัวกลับมานะครับ เพราะอเมริกาอาจจะคิดว่า เขาไม่จำเป็นต้องส่ง เขาดำเนินการของเขาได้ แต่ถ้าหากทางการไทยดำเนินการร้องขอแล้วเขาพิจารณาเห็นตามขั้นตอนทั้งหมดนี้ เขาก็อาจจะส่งมาให้ แต่จะไม่มีการถูกบังคับให้ต้องส่ง”
เช่นเดียวกับ รศ.ดร.สมชัย ศิริสมบูรณ์เวช อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่กล่าวว่า การจะได้ตัวสมีคำกลับมาดำเนินคดีทางกฎหมายที่ประเทศไทยนั้น ในทัศนะของท่านเองมองว่าอาจจะยาก เนื่องด้วยต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสหรัฐฯ นั่นเอง
“ต้องมาดูความผิดว่าเข้าข่ายกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดนหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา หรือความเชื่อทางศาสนา ตรงนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทางสหรัฐฯ จะไม่ส่งตัวได้ อย่างกรณีท่านยันตระสมัยนู้น ก็อ้างว่าเป็นความเชื่อทางศาสนา ก็ไม่อาจเป็นความผิดที่จะส่งตัวกลับให้กันได้ ยกเว้นแต่เราจะตั้งข้อหาอย่าง พรากผู้เยาว์ ค้ายาเสพติด พวกนี้อยู่ในข่ายได้
กฎหมายผู้ร้ายข้ามแดนเนี่ย มันขึ้นอยู่กับประเทศที่เค้าไปอยู่จะส่งตัวกลับมาให้มั้ย ขึ้นอยู่กับการพิจารณา ไม่ใช่ทางการไทยขอไปอย่างเดียว แล้วเค้าจะส่งกลับมาให้หมด ขึ้นอยู่กับว่าเค้าจะถูกพิจารณาว่าเข้าข่ายความผิดด้วยมั้ย ขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งข้อหาอะไร เรากล่าวหาว่าเค้าผิดอะไร เรามีหลักฐานอะไรให้เค้าเชื่อว่าทำผิดกับทั้งสองประเทศ แล้วมันเข้าข่ายกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดนอย่างไร”
เล็ง ขอเป็นพลเมืองมะกัน
อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กันว่า ทางการสหรัฐฯ คงไม่ผลักดันสมีคำกลับมาไทยอย่างแน่นอน โดยอ้างว่าเป็นความผิดเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา จนทำให้เกิดกระแสข่าวลือหึ่ง แว่วว่าสมีคำคิดหนีคดีด้วยการเตรียมขอเป็นพลเมืองของอเมริกัน ดำเนินรอยตามยันตระที่ขอลี้ภัยไปใช้ชีวิตยังสหรัฐอเมริกาก่อนหน้า รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความคิดเห็นว่า ถึงเป็นเรื่องจริง ก็คงทำได้ยาก เพราะขั้นตอนและกฎหมายที่ยังมีอยู่ การมาอยู่ปุบปับแล้วจะขอเปลี่ยนเป็นสัญชาติเลยง่ายๆ คงไม่ใช่
“ยากครับ การขอลี้ภัยนั้นมันมีเงื่อนไขเฉพาะ แล้วส่วนมากจะเป็นเรื่องการเมืองนะครับ ไม่ใช่เป็นเรื่องทุจริตหรือคดีความอาญา ส่วนการขอเป็นพลเมือง อันนี้ผมไม่ค่อยแน่ใจ แต่มันก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เพราะการขอเป็นพลเมืองมันต้องมีคุณสมบัติและต้องมีการตรวจสอบหลายอย่าง แล้วยิ่งมีคดีความเหล่านี้เนี่ย การขอเป็นพลเมืองทำได้ยากมาก
ก็คงต้องดูรูปคดีว่ามันจะชัดเจนกว่ากรณีของยันตระหรือเปล่า มันต้องดูน้ำหนักการดำเนินการทางกฎหมาย ว่ามันแตกต่างกันหรือไม่ เพราะเดี๋ยวนี้กฎหมายระหว่างประเทศมันเข้มข้นขึ้นเยอะ แล้วก็ความเชื่อมโยงในเรื่องของการทำงานร่วมกับหน่วยงานมันมากขึ้น แต่ว่าก็คงต้องไปดูเรื่องน้ำหนัก ของหลักฐานหรือคดีต่างๆ จะเห็นได้ว่าหลายๆ กรณีก็ยังมีปัญหาอยู่ ในเรื่องของการตามคนมาลงโทษ ในขณะเดียวกัน เราก็เคยได้รับคนที่มีปัญหามาดำเนินคดีได้หลายราย เพราะฉะนั้นโอกาสสำเร็จมันก็พอมีอยู่บ้างนะครับ แต่ว่าก็คงไม่ง่ายครับ”
ขณะเดียวกัน เว็บไซต์อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะดอทคอมของพระมหานรินทร์ นรินฺโท ได้รายงานกรณีกระแสข่าวเณรคำสลัดคราบพระพร้อมกับแสดงความเห็นความว่า “ไม่มีกรีนการด์และอยู่ในประเทศอเมริกาไม่ต่อเนื่องกันนานถึง 5 ปี อย่างไรก็ไม่มีสิทธิ์เป็น และการขออเมริกันซิติเซนไม่ใช่เรื่องง่าย” อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเย็นวานนี้มีข่าวยืนยันแล้วว่าอดีตพระเณรคำได้ลาสิกขาบทจริง โดยพระครูสุวิมลสารธรรมหรือพระครูตุ่น ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลห้วยทับทัน เขต 2 อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ทราบข่าวว่าอดีตพระเณรคำได้ลาสิกขาบทแล้ว เมื่อประมาณ 3 วันที่ผ่านมา โดยได้รับทราบข่าวนี้จาก ดร.ริชาร์ด ไชยสมร ผู้สื่อข่าวไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐเมริกา ซึ่งมีความสนิทสนมกันในช่วงได้รับกิจนิมนต์เดินทางไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
กระแสข่าวนี้ยิ่งทำให้หลายคนเป็นกังวล อดีตพระฉ้อฉลอาจไม่ต้องกลับมารับโทษ เพราะแม้แต่การอายัดเงินในบัญชีกว่า 300 ล้านบาท ก็ดำเนินการล่าช้าจนกระทั่งเหลือเงินติดบัญชีให้อายัดเพียงสามแสนบาทเท่านั้น เลยคาดคิดกันไปต่างๆ นานาว่า คดีสมีคำอาจเป็นอดีตพระอีกรายที่เล็ดลอดความผิดไปเสวยสุขในต่างแดนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับยันตระ
“ผมเข้าใจว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเค้ากำลังดำเนินการอยู่นะครับ เพียงแต่ว่าคงต้องใช้เวลาเพราะว่าการดำเนินคดีระหว่างประเทศมันต้องมีหลักฐานทางกฎหมายอยู่พอสมควรในเรื่องของการฟ้องร้อง ต้องมีหมายศาล คำพิพากษาของศาลต่างๆ เหล่านี้ ผมว่ามันต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการประสานงานระหว่างประเทศ แต่เข้าใจว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบก็เร่งดำเนินการกันอยู่ ยิ่งมีเจ้าทุกข์หรือมีคนไปแจ้งความมากขึ้น ผมว่าน้ำหนักในการส่งตัวกลับจะยิ่งมีมากขึ้น แต่มันก็ไม่ง่ายครับ ต้องใช้เวลา” ดร.ปณิธานกล่าว
อาจไม่ใช่เรื่องดีนัก เมื่อนักวิชาการต่างรวมใจกันฟันธงว่าโอกาสรอดของสมีคำก็ยังมี 50-50 ทั้งอเมริกาก็ยังเงียบกับเรื่องนี้ แล้วเรื่องอดีตพระอลัชชีผู้นี้จะมีจุดจบเช่นไร ก็คงต้องลุ้นติดตามกันต่อไป
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live