ท่ามกลางปัญหาสังคมที่ประชาชนต้องการที่พึ่งจาก "ตำรวจ" แต่กลับต้องมาหดหู่ใจเมื่อสุภาพบุรุษในเครื่องแบบ ผู้เป็นความหวังของพวกเขา ผันตัวเองไปเป็น "ผู้ร้าย" กันมากขึ้น เห็นได้จากรายงานข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือรายการข่าวในระยะหลัง ๆ พบข่าวตำรวจเป็นโจร หรืออาชญากรหื่นกามกันหลายคน และที่สาหัสยิ่งไปกว่านั้น บางคนผันตัวเองไปเป็นโจร หรือเป็นสมุนโจรเพื่อช่วยโจรในการก่อคดีต่าง ๆ มากมาย ซึ่งมีทั้งที่จับได้ และจับไม่ได้
ไม่แปลกใจว่าทำไมสังคมไทย เริ่มตั้งคำถามต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไทย และทวงถามถึงจริยธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพตำรวจมากขึ้น เพราะนับวันยิ่งเลวทรามต่ำช้าเข้าไปทุกที แล้วแบบนี้ยังจำเป็นอีกหรือ ที่ประเทศไทยจะต้องมีตำรวจ เนื่องจากไม่สามารถเป็นที่พึ่งประชาชน และประเทศชาติได้เหมือนตอนที่ได้ปฏิญาณตนเอาไว้
"ตำรวจเลว" นับวันยิ่งสร้างเรื่องฉาว
ความเลวของตำรวจไทย (บางท่าน) ถูกแฉให้เห็นมากขึ้น ล่าสุดกับข่าวฉาวของตำรวจสน.ทองหล่อ หลังถูกสาวลาวลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยวแจ้งจับกรณีก่อเหตุข่มขืนโดยสวมวิญญาณเป็นโชเฟอร์แท็กซี่รับจ้างขับรถหารายได้ แต่เกิดอารมณ์เปลี่ยว จับสาวล็อกกุญแจมือไขว้หลัง ลากเข้าห้องพักลงมือข่มขืนมาราธอนจนรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง ทำให้ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศ
เหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้างความอัปยศอดสูในวิชาชีพตำรวจอย่างมาก เพราะภารกิจสำคัญของตำรวจคือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ไฉนมาทำตัวหื่นกาม ข่มขืนประชาชนจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจเช่นนี้ ปัจจุบันยังไม่สามารถตามตัวตำรวจหื่นมามอบตัวได้ สุดท้ายแล้วคดีจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป แต่ที่แน่ ๆ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ออกมาชี้แจงผ่านสื่อต่อเรื่องดังกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
"เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และตำรวจที่กระทำผิดต้องถูกลงโทษ มากกว่าประชาชนด้วย ทำแบบนี้เรายอมไม่ได้ แต่ถ้าหลักฐานที่รวบรวมมา จะเร่งทำให้เสร็จภายใน 3 วัน ติดขัดเพียงแค่รอผลตรวจจากแพทย์เท่านั้น ตอนนี้ขอให้มาช่วยราชการ หากหลักฐานยืนยันชัดเจนก็จะให้ออกไว้ก่อน ต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย" ผบช.น.กล่าว
ไม่เพียงการก่อเหตุของบุคคลที่ได้ชื่อว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในครั้งนี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ยังเคยมีคดีในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้น หากใครยังจำกันได้ ในปี 2555 กับข่าวอันน่าสลดใจ เมื่อนักเรียนสาว ม.3 ถูกตำรวจจราจรเรียงคิวขืนใจ ซึ่งเป็น 3 ตำรวจในโครงการจิตอาสาจราจรของ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ในเขตพื้นที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ที่เด็กสาวคนนี้เข้าร่วม
ฉาวอีก! คลิปตำรวจวิ่งหนีปชช.
ส่วนอีกเรื่องอื้อฉาวในวงการสีกากี ที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็คือ คลิปที่อ้างว่าตำรวจยัดยาเสพติด และหมายจะข่มขืนผู้หญิง และกำลังได้รับความสนใจ และถูกแชร์ในโลกออนไลน์อยู่ตอนนี้ ซึ่งมีผู้แชร์คลิปดังกล่าวส่งต่อนับแสนครั้งแล้ว
สำหรับคลิปดังกล่าว เบื้องต้นมีคนใช้ชื่อว่า "คุณ แสน ณ.สาทร" บอกไว้ที่เพจชุมชน "โชคดี" โดยในคลิปผู้โพสต์เล่าว่า มีเพื่อนรุ่นน้องโดนชายที่อ้างว่าเป็นตำรวจจับตรวจปัสสาวะเกี่ยวกับเสพยา พอคุยไปคุยก็มาขอเงินน้อง เมื่อบอกไม่มีเงินพอตามที่ขอ ชายที่เป็นอ้างตำรวจบอกขอครึ่งเดียวได้หรือไม่ สักพักชายที่อ้างเป็นตำรวจบอกน้องคนนั้นให้ตามเขาไป และพาเข้าโรงแรมม่านรูดเพื่อที่จะข่มขืน แต่น้องคนนั้นได้หาโอกาสส่งข้อความทาง BB บอกรุ่นพี่ไปช่วย จนกระทั่งมีการวิ่งไล่ตามชายที่อ้างว่าเป็นตำรวจและตะโกนบอกชาวบ้านละแวกนั้น กล่าวหาว่าตำรวจเป็นโจรเสียเอง
ทั้งนี้ ในคลิปเป็นภาพชายที่อ้างว่าเป็นตำรวจเดินมาจากอพาร์ตเมนต์ชื่อ เพชรศิริ แล้วเลี้ยวขวาผ่าน The Living room จากนั้นได้วิ่งหนีไปทาง ซอยประชาสงเคราะห์ 23 เขตดินแดง แล้วมีมอเตอร์ไซค์ หมายเลขทะเบียน 48336 โดยมีชายที่แต่งกายคล้ายตำรวจอีก 2 นาย มารับมารับตัวไป ขับหลบหนีอย่างรวดเร็ว
นับเป็นเรื่องฉาวที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงการสีกากีอีกครั้ง ส่วนชายในเครื่องแบบที่อ้างว่าเป็นตำรวจในคลิปจะเป็นใคร เป็นตำรวจจริงหรือไม่ ไม่นานก็คงจะได้รู้กัน ล่าสุดเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 28 เม.ย. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้รับรายงานแล้ว แต่ยังไม่ได้เห็นคลิป ขอตรวจสอบอย่างละเอียดก่อน
หื่นไม่พอ ยังเป็น "โจร" ก็เยอะ
ไม่เพียงตำรวจหื่นที่มีให้เห็นอยู่ตามข่าว แต่ยังพบตำรวจไทยอีกหลายคนผันตัวเองไปเป็นมหาโจร ทั้งที่เป็นโจรเสียเอง และยอมลดตัวไปขี้ข้าขี้ครอกโจร ซึ่งตำรวจบางคนยังมีพฤติกรรมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างโจ่งแจ้ง เพราะเจอโจรแต่ไม่ยอมจับกุมตัว
เห็นได้จากข่าวหนึ่งในปี 2555 ที่แสดงให้เห็นว่า ตำรวจเป็นโจรหรืออาชญากรเสียเอง เมื่อตำรวจภูธรอ.งาว จ.ลำปาง สะกัดจับผู้ลำเลียงยาบ้ากว่าล้านเม็ดและยาไอซ์หนัก 5 กิโลกรัม รวมเป็นมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท จากการสอบสวนพบว่า ในรถยนต์ที่บรรทุกยาเสพติดของกลางนั้น ตำรวจผู้จับกุมตรวจพบเครื่องแบบตำรวจซึ่งระบุชื่อเจ้าของมียศเป็นดาบตำรวจ สังกัดสถานีตำรวจนครบาลแห่งหนึ่ง และผู้ต้องหาที่จับได้คนหนึ่งให้การซัดทอดยืนยันว่า นอกจากดาบตำรวจคนที่กล่าวแล้ว ยังมีดาบตำรวจนอกราชการอีกคนหนึ่ง ที่เคยสังกัดสถานีตำรวจนครบาลเดียวกัน ร่วมอยู่ในเครือข่ายค้ายาเสพติดนั้นด้วย
หลังจากที่มีการจับกุมกันแล้ว ก็มีการขยายผลจนดาบตำรวจผู้ต้องหายอมมอบตัว ให้การรับสารภาพและซัดทอดผู้ต้องหาอีก 6 คน (รวมทั้งดาบตำรวจนอกราชการคนนั้น) นับเป็นคดีใหญ่ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจไทยเสียหายอย่างมาก เพราะเป็นถึงตำรวจแต่กลับมาค้ายาเสพติดเสียเอง
ตำรวจหื่น ตำรวจโจร..ผิดนี้ที่ใคร
ปรากฎการณ์ตำรวจทำผิด หรือเป็นโจรเสียเอง มีปรากฎให้เห็นบ่อยขึ้นตามสื่อต่าง ๆ ยิ่งในยุคที่ข่าวสารเข้าถึงง่าย โอกาสที่ประชาชนจะรับรู้ย่อมมีได้มากกว่าแต่ก่อน เรื่องนี้ ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข อาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาระบบงานสืบสวนอุบัติเหตุเพื่อการแก้ไขและป้องกันอย่างบูรณาการ บอกว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ประชาชนจะขาดความเชื่อมั่น และไม่รู้สึกปลอดภัยด้านชีวิต และทรัพย์สินอย่างที่ควรจะได้รับจากตำรวจ ก่อให้เกิดกระแสต่อต้าน และวิกฤติศรัทธาที่มีต่อตำรวจไทยมากขึ้น
หากจะวิเคราะห์ให้ลึกลงไปถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ผศ.ดร.ปนัดดา บอกว่า เป็นปัญหาในภาพใหญ่ และไม่อยากให้มองตำรวจเป็นเหยื่อฝ่ายเดียว แต่อยากให้กลับไปทบทวนในเรื่องระบบโครงสร้าง และวัฒนธรรมการทำงานของตำรวจไทยกันให้มากขึ้นด้วย
"ตำรวจต้องเข้มแข็งในเชิงโครงสร้าง และวัฒนธรรมการทำงาน แต่ทุกวันนี้หากพูดถึงในเรื่องโครงสร้าง ส่วนตัวมองว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอจะยอมรับได้ แต่ในเรื่องวัฒนธรรมการทำงาน ไม่มีใครแตะ หรือเข้าไปล้วงลูกเลย นับเป็นเรื่องใหญ่ที่น่าเป็นห่วง ยกตัวอย่างการทำงานของตำรวจสมัยโบราณที่มักจะใช้สายเพื่อให้ได้ข้อมูล หรือใช้วิธีเลี้ยงโจรไว้จับโจร ซึ่งการเข้าไปทำงานของตำรวจสมัยนั้น บางครั้งก็ต้องทำตัวเป็นหัวหน้าโจร ซึ่งจำเป็นต้องมีคุณธรรมที่สูงมาก"
เมื่อวิธีดังกล่าว ถูกแทรกซึมอยู่ในการปฏิบัตติหน้าที่ของตำรวจยุคต่อ ๆ มา จึงเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถาม และต้องทบทวน เนื่องจากวิธีนี้เป็นเส้นบาง ๆ ที่กั้นระหว่างผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กับโจร หากไม่มีคุณธรรมและยับยั้งชั่งใจมากพอ โอกาสที่จะหลงผิดเพราะความโลภอันมาจากอำนาจเงินย่อมมีได้สูง โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ในสายที่เกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งนับว่าล่อแหลม และมีความเสี่ยงสูง
"ตำรวจบางคนรู้แบบผิว ๆ ชะล่าใจ ด้อยคุณธรรมในตัว ความโลภก็เข้าครอบงำ และล้ำเส้นมากขึ้น ยิ่งไม่ได้อย่างหวัง ก็ใช้วิธีกดขี่ ขูดรีดผู้กระทำผิด กลายเป็นติดกับดักโจร และเกิดการหักหลังตำรวจขึ้น สุดท้ายตำรวจก็กลายเป็นโจร ซึ่งถูกมองว่าเลวกว่าผู้กระทำผิดเสียอีก เพราะเป็นโจรในเครื่องแบบ" ผศ.ดร.ปนัดดาเผย
ส่วนกรณีตำรวจหื่นกามนั้น ผศ.ดร.ปนัดดา ให้ความเห็นว่า ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล และมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น หลังจากนี้คงต้องมุ่งเน้นไปที่ความมีคุณธรรมของตำรวจให้มากขึ้น
หยุดลอยแพตำรวจ ลดโจรในเครื่องแบบ
ดังนั้น ถึงเวลาที่ต้องกลับมาทบทวนทั้งระบบโครงสร้าง และวัฒนธรรมการทำงานของตำรวจเสียใหม่ โดยเฉพาะการให้ตำรวจใช้วิธีหาเงินจับโจรเอง ซึ่งอาจชักจูงให้กลายไปเป็นมหาโจรได้ง่าย และทุกวันนี้ก็มีให้เห็นอยู่หลายคนแล้ว
"อย่าปล่อยให้ตำรวจต้องหาเงินมาจับโจรเอง การสั่งแห้ง และให้ตำรวจหาเงินเอง พวกเขาจะหามาจากไหน ใครจะมาสนับสนุนตำรวจ นอกเสียจากว่าตำรวจจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นเบ้าหลอมให้เกิดการสร้างตำรวจโจรขึ้นมา ทางที่ดี รัฐต้องเข้ามาสนับสนุน และสร้างความเข้มแข็งทั้งระบบโครงสร้าง และวัฒนธรรมการทำงานที่ต้องช่วยไม่ให้ตำรวจตกเป็นเหยื่อ และกระทำความผิดได้ง่าย แต่ทุกวันนี้แทบจะไม่เห็นมีใครลงมาดูแลตำรวจอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมเสียที" ผศ.ดร.ปนัดดาสะท้อนปัญหา
ท้ายนี้ ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาระบบงานสืบสวนอุบัติเหตุเพื่อการแก้ไขและป้องกันอย่างบูรณาการ สะกิดใจไปถึงรัฐบาลชุดนี้ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นหน่วยราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ถ้ายังลอยแพตำรวจทั้ง ๆ ที่ตำรวจมีหน้าที่ป้องกันชีวิตทรัพย์สินของประชาชนให้พ้นจากการคุกคามของอาชญากร เช่นเดียวกับรัฐบาลที่ต้องทำให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยทั้งในด้านชีวิต และทรัพย์สิน ถ้ารัฐบาลยังทำไม่ได้ นั่นเท่ากับว่า รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ
ผิดนี้ที่ใคร เชื่อว่าหลายคนคงจะพิจารณากันได้ดี แต่การย้อนกลับไปดูวัฒนธรรมขององค์กรตำรวจทั้งระบบคือสิ่งจำเป็น เริ่มตั้งแต่การศึกษา การปลูกฝังความรุนแรง และการคำนึงถึงศักดิ์ศรีของตนเอง ยิ่งตำรวจมีโครงสร้างเงินเดือนต่ำด้วยแล้ว ยิ่งง่ายต่อการชักจูง หรือทนแรงเสียดทานได้น้อย หากเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีที่มีเงินจำนวนมาก
ดังนั้นภาครัฐต้องช่วย และเข้ามามีส่วนร่วมกับองค์กรนี้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะวัฒนธรรมของตำรวจที่มีการวิจัยสอบถามความเห็นของตำรวจพบว่า ผู้บังคับบัญชาที่ดีในสายตาตำรวจ ไม่ใช่คนที่ทำงานตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ แต่ต้องเป็นคนที่ใจถึง พึ่งได้ นับเป็นเรื่องน่ากังวลใจ และจะมองข้ามไม่ได้อีกต่อไป
วันนี้ใช่ว่า "ตำรวจดีๆ" จะไม่มีอยู่แล้ว ตำรวจดี ๆ ยังคงมีอยู่เยอะ เพียงแต่ต้องเหม็นเน่าไปด้วย เพราะ "ตำรวจเลวๆ" เพียงไม่กี่คน เข้าทำนองว่า "ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นไปทั้งข้อง"
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
