ถ้าชอบแมว สนใจแมวแต่ยังไม่ได้เลี้ยงแมว และอยากรู้จักมันมากขึ้นควรจะไปที่ไหน? cataholic café ร้านคาเฟ่แมวในบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองเป็นสถานที่หนึ่งที่ช่วยให้คำตอบกับการเลี้ยงแมวได้
ในหมู่คนรักแมวมีการพูดกันว่า แมวไม่ได้เห็นว่าคนเลี้ยงเป็นเจ้าของ กลับกันตัวมันเองต่างหากที่เป็นเจ้าของคนเลี้ยง ด้วยพฤติกรรมการเข้ามาคลอเคลียของมันคือการแสดงความเป็นเจ้าของ ดังนั้นจึงมีการเรียกตัวเองกันเล่นๆ ในหมู่คนรักแมวว่า ตัวเองไม่ได้เป็นคนเลี้ยงแมว แต่ตกต้องเป็น “ทาสแมว” ต่างหาก
ด้วยนิสัยตามธรรมชาติของแมวทำให้เป็นเช่นนั้น...แล้วกับมนุษย์ล่ะ? ธรรมชาติแบบไหนที่ทำให้หลายคนตกต้องเป็นทาสแมว
“ขี้อ้อนแต่ก็มีความหยิ่งอยู่ในตัว บางวันมันก็ไม่อยากเล่นกับเรา เลยทำให้เราอยากเข้าหา” บีม - พัชรนันท์ โภคินพัชรวัฒน์ เจ้าของร้าน cataholic café เอ่ยถึงเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้หลายคนหันมาชอบแมว
ทว่า มันอาจจะเป็นอะไรง่ายๆ ที่ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมากมาย...แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่รักแมว หากแต่มันเป็นความรักที่แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง และ cataholic café คือสถานที่แห่งนั้น สถานที่ที่เกิดจากความรักของคนกลุ่มหนึ่งกับแมว
คอมมูนิตีของคนรักแมว
“บีมชอบแมวอยู่แล้วค่ะ เมื่อก่อนที่บ้านไม่ให้เลี้ยงทำให้เริ่มคิดว่า อยากมีสถานที่ให้คนรักแมวได้มาเล่นกับแมว” เธอเอ่ยถึงจุดเริ่มต้นของการเปิดร้าน
Cataholic café เป็นร้านคาเฟ่แมวเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่น วางตัวอยู่บนชั้น 2 ของโครงการโอโซโน่ซึ่งเป็นโครงการที่อนุญาตให้สัตว์กับคนเลี้ยงสามารถอยู่ด้วยกันได้ทุกที่ ในโทนสีอ่อนของร้าน มีโต๊ะไม้ตัวเล็กแบบญี่ปุ่นกับเบาะแบบนั่งพื้น ความกันเองระหว่างคนกับแมวก็เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
“อยากให้มันเป็นคอมมูนิตีของคนรักแมว ต่อไปก็จะมีกิจกรรมให้ทำร่วมกัน สอนทำของเล่นแมว D.I.Y. ” เธอเอ่ย “ตอนนี้ก็มีจัดกิจกรรมกันทุกเดือน ตามเทศกาลที่จะมีอย่างคริสต์มาสเราก็จับน้องแมวใส่ชุดซานต้า มีกิจกรรมให้ลูกค้าแต่งชุดแฟนซี เดือนมกราคมที่ผ่านมาเป็นช่วงเปิดเทอมก็จัดงาน back to school ช่วงวาเลนไทน์ก็เหมือนกัน”
ในส่วนของการตลาดนั้นเธอเลือกเจาะที่กลุ่มคนรักแมว โฆษณาผ่านทางเว็บที่คนรักแมวมักไปรวมตัวกัน
โดยลูกค้าส่วนใหญ่นอกจากวัยรุ่นที่หันมาชอบแมว ชอบของน่ารักๆ เป็นปกติ ชาวญี่ปุ่นในย่านร้านค้าโอโซโน่ก็เป็นอีกกลุ่มที่เข้ามานั่งเล่น ยังรวมถึงศิลปินด้านงานออกแบบที่เธอมองว่า เป็นกลุ่มหลักของลูกค้าอีกด้วย
“พวกคนทำงานออกแบบส่วนมากจะชอบแมว” เธอที่เรียนด้านการออกแบบพร้อมกับแฟนหนุ่มยืนยันถึงนิสัยด้านหนึ่งของคนในวงการ “บรรยากาศก็เหมาะกับการมานั่งเล่น ทำงาน คิดงาน”
สำหรับการใช้บริการที่ร้านนั้น ร้านจะคิดเป็นค่าอาหารโดยมีขนมหวานและเครื่องดื่มคอยให้บริการเป็นหลัก มัชชะ เหมียว เหมียว หรือชาเขียวมะนาวโซดาเป็นเมนูสูตรเฉพาะของร้านที่เธอแนะนำ
“ร้านจะคิดเป็นค่าอาหาร มานั่งสั่งได้ ไม่ได้คิดเป็นค่าชั่วโมงแบบที่ญี่ปุ่น เพราะว่าอย่างที่ญี่ปุ่นที่เขาคิดเป็นชั่วโมงได้ เพราะบ้านเมืองเขามีกฎ คนที่จะเลี้ยงสัตว์ต้องมีฐานะมีความรับผิดชอบพอ แต่อย่างบ้านเราแค่เปิดให้คนที่รักแมวได้มาเล่นกับแมว”
กฎข้อห้ามกับน้องแมว
การเล่นกับน้องแมวก็มีกฎข้อห้ามอยู่บ้าง ลำดับแรกที่สำคัญคือ ล้างมือด้วยเจลเพื่อรักษาความสะอาด
“นอกจากนั้นก็ห้ามให้อาหารน้องแมวเด็ดขาด แมวเป็นสัตว์ที่ท้องเสียง่าย กินอะไรนิดหน่อยก็ท้องเสียแล้ว อาหารขนาดคนละยี่ห้อถ้าคนละสูตรกันก็ท้องเสียได้” เธอเล่าถึงกฎของที่ร้าน การอุ้มแมวจากที่หนึ่งมาอีกหนึ่งที่ก็เป็นสิ่งที่แมวไม่ชอบ ยิ่งการอุ้มแบบจับที่หลังคอนั้น แม้หลายคนอาจคุ้นจากที่มีสัตวแพทย์ทำแบบนั้น เธอก็บอกว่า เป็นท่าที่แมวไม่ชอบใจนัก
“จริงๆ ที่เห็นคนจับแมวตรงหลังคอ มันเป็นท่าที่แมวไม่ชอบที่สุดเหมือนมันขยับไปไหนไม่ได้เป็นท่าที่มัน ต้องยอมแล้ว ซึ่งท่านี้คุณหมอเอาไว้จับในกรณีเฉพาะที่มันต้องถูกฉีดยา หรือป่วย สมมติมันดิ้นก็ต้องจับท่านั้น แต่ลูกค้าบางคนไม่รู้ เห็นในทีวีจับแบบนี้ก็จับเลย ซึ่งจริงๆ แล้วแมวไม่ชอบ เขาไม่เจ็บหรอกแต่เหมือนกระดูกเขาอ่อน มันทำให้เขาขยับตัวไม่ได้ เขาก็จะไม่ค่อยชอบ”
อย่างไรก็ตาม คนที่มาที่ร้านส่วนใหญ่จะเป็นคนรักแมวที่รู้จักอุปนิสัย รู้จักวิธีการเล่นกับแมวอยู่แล้ว
“การเล่นกับแมวก็ไม่ได้มีกฎมากมาย ก็เล่นกับเขาเบาๆ อย่ารุนแรงนัก คือมันจะเป็นการเซฟลูกค้า ถ้าเล่นแรงมากน้องแมวก็อาจจะข่วนหรือทำอันตรายกลับได้”
นอกจากนี้ ที่ร้านก็มีของเล่นแมวให้ลูกค้าได้ใช้เล่นอยู่แล้ว เบ็ดตกแมวหลายสีสันถูกวางไว้ให้ลูกค้าคนรักแมวได้มาลองหยอกเล่นกับแมวในร้าน
“จริงๆ ร้านเราจะมีเตรียมของเล่นไว้ให้ เป็นไม้ตกแมว เขาจะชอบเล่นอันนั้น ใครอยากเล่นก็เอาไม้ตกแมวเป็นเหยื่อล้อน้องแมวก็จะมาเล่น และแมวเป็นสัตว์ที่ชอบให้ลูบจับอยู่แล้ว ก็เอามาลูบจับเล่นได้”
แก็งแมวประจำร้าน
ร้าน Cataholic café มีแมวอยู่ทั้งหมด 11 ตัวจะผลัดกันเวียนมาอยู่ที่ร้าน 8 - 10 ตัวทุกวัน โดยนิสัยก็แตกต่างกันไป บางตัวชอบนอนเป็นพิเศษ บางตัวเล่นไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางตัวยังเป็นขาใหญ่ประจำอีกต่างหาก
มันชกิ้น แคท (munchkin) หรือแมวพันธุ์ขาสั้น 4 ตัวถือเป็นดาวเด่นของร้าน ด้วยนิสัยร่าเริงเหมือนเด็กตลอดเวลา พร้อมท่าทางการเดินที่ดูน่าตลกก็ยิ่งทำให้เป็นที่สนใจ และการที่ไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศไทยยิ่งทำให้มันมีเอกลักษณ์
“จริงๆ ตัวเองเป็นคนชอบแมวพันธุ์นี้อยู่แล้ว แต่เมืองไทยยังไม่มี ก็เลยได้ติดต่อกับฟาร์มที่ต่างประเทศให้เขานำเข้ามาให้ คือแมวพันธุ์นี้จุดเด่นคือเป็นแมวที่นิสัยเหมือนเด็กตลอดเวลา เพราะเขาผิดพันธุกรรม ตัวเขาจะเล็กๆ ขาจะสั้นๆ แล้วนิสัยจะเหมือนเด็ก จะขี้เล่นมากๆ ขี้อ้อนมากๆ ก็เลยชอบ”
นอกจากนี้ ยังมีแมวพันธุ์ไฮแลนด์ โฟล์ด (hight fold) เป็นแมวพันธุ์หูพับชื่อ วิปครีม ตัวสีขาวน่ารักได้จากฟาร์มในประเทศแต่ว่าคนไทยยังไม่ค่อยนิยมเลี้ยง พร้อมทั้งหมอนอิ่มเป็นพันธุ์ไทยผสมเปอร์เซียขาโจ๊ของร้านอีกตัว อายุเยอะที่สุด และเป็นตัวผู้ตัวเดียวที่ทำหมันแล้วของร้าน
“จริงๆ เขาไม่ดุนะ แต่เหมือนเป็นอันธพาลหน่อย” เธอเอ่ยถึงเจ้าหมอนอิ่ม “แมวเป็นสัตว์ที่ตัวผู้ 2 ตัวอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่งั้นเขาจะแย่งอาณาเขตกันจะกัดกันเหมือนเสือเลย เราเลยต้องจับทำหมัน”
ส่วนเหตุปะทะระหว่างมวลเหมียวนั้น เธอบอกว่า ไม่ถึงขั้นกัดกันแต่จะเป็นเล่นกันแรงไปหน่อย
การดูแลแมวในร้าน นอกจากให้อาหารตามปกติก็จะมีการเวียนอาบน้ำให้แมวพร้อมทั้งคอยตัดเล็บเพื่อไม่ให้ไปทำอันตรายลูกค้าทุกอาทิตย์
“อาบน้ำก็อาบกันเองค่ะ มีแปรงขนเสียออก แมวที่ร้านถึงจะไม่ใช่พันธุ์ที่ขนร่วงเยอะแต่ก็มีการแปรงขนออก ติดเครื่องกรองอากาศดักจับขน และดูดฝุ่นทำความสะอาดทุกวันเพื่อป้องกันไว้”
และด้วยความที่แมวเป็นสัตว์รักสะอาด เธอเผยว่า ทำให้การทำร้านแนวคาเฟ่ที่ให้คนมาเล่นกับสัตว์เลี้ยงนั้นทำได้ดีกว่าสุนัข โดยแมวจะสัญลักษณ์ในขับถ่ายเป็นที่ในกระบะทรายที่เตรียมไว้ ทั้งยังเป็นสัตว์สามารถดูแลตัวเองได้ดีอีกด้วย
แมวกับมิตรภาพ
การจัดการร้านมีหลายปัจจัยให้ดูแล เธอเผยว่าช่วงแรกยังคงมีติดขัดบ้าง แต่ก็ได้เรียนรู้จากลูกค้า ได้รู้ว่าลูกค้าเป็นใคร และมีการปรับเปลี่ยนไปตามลูกค้า แม้ข้อผิดพลาดใหญ่ๆจะไม่มี
“ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องพฤติกรรมที่ลูกค้าเข้ามาเล่นกับแมวมากกว่า แรกๆ อาจจะยังไม่มีกฎ แต่พออยู่ไปเราก็ค่อยๆปรับ”
หลังจากร้านเดินมาได้พอสมควร จากเริ่มแรกที่มีแมวอยู่ประมาณ 4 - 5 ตัว ก็ค่อยๆ เพิ่มมาเรื่อยๆ จนถึง 11 ตัว หลังจากร้านเริ่มเป็นที่รู้จัก คนรักแมวเริ่มมาเยี่ยมเยียน เธอบอกว่า ตอนนี้กำลังค่อยๆดีขึ้น ทว่าสิ่งหนึ่งที่มีความหมายกับเธอในการเปิดร้านกลับเป็นมิตรภาพที่เกิดขึ้น
“ที่เปิดร้านมา และที่อยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่มันเกิดที่ร้านคือมิตรภาพ ในนี้หลายคนที่ไม่เคยรู้จักกัน แต่พอมาเล่นแมวปุ๊บ เออ เล่นแมวด้วยกัน มันคุยเป็นกันเอง เป็นเพื่อนกันขึ้นมา”
เมื่อย้อนไปช่วงแรกที่จะทำร้านกับเพื่อนไม่กี่คน ช่วงที่ยังคงติดขัดเล็กๆน้อยๆ ก็มีเพื่อนที่ตอนนั้นยังไม่ค่อยสนิทเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือ ด้วยความสนใจในสิ่งเดียวกัน
“เมื่อก่อนนานๆคุยกันที แต่ตอนนี้คุยกันทุกวัน เพื่อนมาช่วยตั้งแต่เปิดร้านวันแรกจนถึงวันนี้ แล้วเราก็ได้เพื่อนที่ขยายกลุ่มจากความสนใจเดียวกัน ร้านนี้ก็เลยกลายเป็นสถานที่ให้เราได้ทำสิ่งที่รัก และได้เจอเพื่อนที่รักสิ่งเดียวกันด้วย”
เมื่อถามถึงเป้าหมายในอนาคต เธอตั้งเป้าไว้อย่างคนตัวเล็กๆ เพียงอยากให้ cataholic café เป็นร้านที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจเท่านั้น
“อยากให้ที่นี่เป็นร้านที่ให้คนรู้สึกสบายใจเวลามา เราไม่ได้มีเป้าหมายจะต้องรวยหรือทำรายได้เยอะขนาดไหน แค่อยากให้มันอยู่ได้ เรื่องขยายร้านหรือสาขาเพิ่มคงจะไม่มี แต่ว่าคงจะอยู่ที่นี่ อยากทำให้ที่นี่มันดีที่สุดมากกว่า”
แมวจรจัด
ข้อครหาหนึ่งของคนทำธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์คือ นำสัตว์มาหากิน คำถามที่ตามมาคือ หากร้านอยู่ไม่ได้พวกสัตว์เหล่านั้นจะเป็นอย่างไร? สำหรับตัวหญิงสาวเจ้าของร้านคาเฟ่แมวนั้น เธอเลี้ยงแมวพันธุ์ขาสั้น 2 ตัวไว้ที่คอนโดฯของตัวเองมาตั้งแต่ก่อนเปิดร้านแล้ว และไม่ได้เลี้ยงเพื่อที่จะมาเปิดร้าน
“เราไม่ได้เลี้ยงแมวเพื่อที่จะได้เปิดร้าน แต่เปิดร้านเพราะเราเลี้ยงแมว คือถ้าเกิดร้านมันไปไม่ไหว เราก็เลี้ยงพวกเขาต่อไป เพราะก่อนเลี้ยงเขา เราต้องรู้ตัวเองก่อนแล้วว่า เราเลี้ยงเขาไหว”
โดยปัญหาแมวจรจัดนั้น เธอเองที่เป็นคนรักแมวก็รับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอบอกว่า ตอนนี้มีจำนวนเยอะมากกว่าอดีต และถึงขั้นที่ว่า แมวราคาแพงกว่าเปอร์เซียก็เป็นแมวจรจัดได้
“อย่างตอนนี้เราก็กำลังจะมีการรับบริจาค แต่ที่ทำอยู่คือหาบ้านให้แมวที่อยู่ตามข้างทาง”
โดยป้าคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ย่านพระราม 2 มีแมวจรจัดราว 100 ตัว อาศัยอยู่ จากคนมากมายที่ต่างนำแมวมาทิ้งไว้ที่บ้านหลังนี้ เธอกับกลุ่มเพื่อนคนรักแมวก็ได้ช่วยแบ่งเบา หาบ้านให้แมวจรจัดจนถึงตอนนี้ก็ลดจำนวนลงเหลือ 40 ตัว
“เราก็มีรับมาเลี้ยงตัวหนึ่ง แต่ไม่ได้อยู่ที่ร้าน เราก็เหมือนประกาศใครอยากได้แมวมาติดต่อที่เราแล้วเราจะพาไปเลือก” เธอเอ่ย พร้อมย้อนเล่าไปถึงสภาพแรกที่เธอไปพบ “บ้านป้าเขาก็เก่าโทรมอยู่แล้ว มีแมว 20 ตัวอัดอยู่กรงแต่ละกรง ป้าเขาไม่ให้แมวออกมาเพราะกลัวรถชน แล้วไม่มีกระบะทราย มีแค่ข้าวคลุกปลาทูในจานให้แมวแบ่งกันกิน ฝนตกก็คือน้ำสาด แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ควรจะเจอความชื้น เพราะเขาเป็นเชื้อราง่าย เป็นโรคผิวหนังง่าย ตอนนี้กำลังช่วยๆกันอยู่ ซึ่งก็มีหลายๆ ทางคอยช่วยกัน”
โดยสาเหตุของปัญหาเธอมองว่า มาจากที่แมวเป็นสัตว์ที่สามารถขยายพันธุ์ได้เร็วมาก แต่ต้นเหตุนั้นก็คงหนีไม่พ้นคนเลี้ยงที่อาจจะเลี้ยงไม่ไหวจึงตัดสินใจเอาแมวของตัวเองไปทิ้ง
“มันแก้ยาก ตอนนี้ที่เราทำได้ดีที่สุดคือการแก้ที่ปลายเหตุ ต้องหาบ้านให้เขา เพราะสมมติเราจะไปแก้ที่ต้นเหตุมันก็ค่อนข้างยาก เพราะคนที่ซื้อมาตอนแรกก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่า จะทิ้งมัน แต่ว่าอาจจะมีเรื่องป้องกัน เรื่องการทำฟาร์มแมวที่มุ่งการค้าเกินไป มันมีเยอะมากในเมืองไทย เลี้ยงมันเพื่อขายแต่ไม่ได้รักมันจริงๆ
“เอามันไปขังทั้งที่จริงๆแมวเป็นสัตว์ที่รักอิสระมาก การอยู่ในกรงของเขา รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว มันอึดอัด ก็คือจริงๆ แล้ว บางฟาร์มเขาจะใส่ไว้อย่างนั้นเลยจนโตไม่เอาออกมาเลยก็มี ฉะนั้นต้องมาแก้ อย่างคนจะทำฟาร์มต้องจดทะเบียนเป็นทางการมากขึ้น เพราะว่าทุกวันนี้ มีฟาร์มแมวมีอยู่ทุกซอกซอยทุกมุม คนมาทำเป็นการค้าไปแล้ว เพราะแมวเป็นสัตว์ที่ให้ลูกได้ง่ายกว่าสุนัข มีผลกำไรง่ายกว่า”
สำหรับข้อแนะนำในการเริ่มเลี้ยงแมวนั้น เธออยากให้ทุกคนลองศึกษานิสัยของแมวก่อน
“อยากให้ลองมาเล่นที่ร้านก่อน ชอบจริงหรือเปล่า? บางคนคิดว่าแมวมันน่ารัก แต่นิสัยบางอย่างเราจะรับได้มั้ย? มันไม่ได้มาอ้อนตลอดเวลา อยากให้ศึกษาให้แน่ใจก่อนว่าเราเลี้ยงเขาไหวหรือเปล่า ไม่ใช่เลี้ยงไม่ไหวแล้วต้องเอาเขาไปทิ้ง”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 084-664-4936 , 081-539-2824 หรือfacebook.com/cataholiccafe
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี