xs
xsm
sm
md
lg

"เบบี้มายด์" ปธ.เชียร์จุฬาฯ เธอมากับลูกบ้าสุดฮา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมื่อพูดถึงผู้หญิงชื่อ ปรัชญานันท์ สุวรรณมณี หลายคนอาจไม่รู้จักเธอ

แต่สำหรับบางคนที่ไม่ได้อยู่ในจำนวนหลายคนของบรรทัดแรก แม้ได้ยินแค่ชื่อเล่น (เบบี้มายด์) ก็สามารถหลับตาเห็นหน้าเธอขึ้นมาได้อย่างชัดเจน เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น รอง ๆ จากรุ่นพี่อย่าง โอปอล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ เลยก็ว่าได้ รวมไปถึง "ลูกบ้า" ในตัวที่มีอยู่ไม่ใช่น้อย

ไม่แปลกที่เธอจะมีแฟนคลับ และผู้ติดตามดูคลิปต่าง ๆ ของเธอในยูทูปมากกว่า 1,000,000 วิว รวมไปถึงหน้าแฟนเพจของเธอที่มียอดถูกใจกว่า 30,000 ไลท์ และวันนี้นับเป็นโอกาสอันดีของ M-OPEN ที่จะพาไปรู้จักเธอคนนี้ ก่อนจะโด่งดังตามรอยรุ่นพี่จนยากจะหาเวลามานั่งสัมภาษณ์ผ่านสื่อได้

กะเทาะตัวตน "เบบี้มายด์"

ดูจากรูปร่างหน้าตา และสีผิว ประกอบกับคำพูดคำจาแล้ว คงเดาได้ไม่ยากว่าเธอต้องมีเชื้อใต้ ซึ่งก็จริงอย่างว่า เพราะพ่อกับแม่เป็นคนจ.สงขลา ส่วนเธอนั้นเป็นคนพื้นถิ่นมาตั้งแต่เด็ก

"หนูเป็นคนจ.สงขลาค่ะ มีพี่สาว 1 คน น้องชาย 1 คน ส่วนหนูเป็นคนกลาง โชคดีที่มีพี่สาวเก่ง และขยัน ทำให้เราซึมซับต้นแบบของพี่สาวมาพอสมควร เรียกได้ว่า นอกลู่นอกทางไม่ได้ เพราะเรามีพี่เก่ง ส่วนตัวจะสนิทกับพี่สาวมากกว่า เพราะห่างกันแค่ 1 ปี แต่กับน้องชาย เราห่างกัน 8 ปี ตั้งแต่เล็กจนโต ลูกทุกคนจะอยู่กับแม่ เพราะพ่อทำงานอยู่ที่เบตง จ.ยะลา เป็นศุลกากร ทำงาน 3 อาทิตย์ ได้พักแค่อาทิตย์เดียว ส่วนแม่เป็นข้าราชการอยู่กรมแรงงาน" เบบี้มายด์ ในวัย 22 ปีเริ่มเผยเรื่องราวชีวิต

เมื่อถามถึงที่มาของชื่อ "เบบี้มายด์" คือ ชื่อที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ชื่อเล่นที่ครอบครัวตั้งให้จริง ๆ คือ "มายด์"

"ตอนแรกชื่อมายด์ พอเข้าอนุบาล คุณครูใช้แป้งเบบี้มายด์ ครูก็เลยตั้งชื่อให้เราใหม่เป็น เบบี้ และใช้ชื่อนี้จนกระทั่งเรียนจบมัธยม แต่ใช่ว่าจะไม่มีใครเรียกมายด์นะ ที่บ้านก็ยังเรียกเราว่ามายด์อยู่ พอเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อนก็เติมมายด์ให้เป็น เบบี้มายด์ค่ะ"

นอกจากชื่อดังกล่าวแล้ว สาวใต้คนนี้ยังมีชื่อเล่นที่ยาวมาก ๆ ด้วย นั่นก็คือ "บิ้วตี้ บาร์บี้ เบบี้ มิสซิ่งมายด์" นับเป็นชื่อเล่นที่ยาวที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

"ชื่อนี้เหรอค่ะ (หัวเราะ) มันมาจากตอนปี 1 หนูทำอะไรสักอย่าง แล้วบอกว่า ชื่อเบบี้มายด์ ส่วนพี่คนหนึ่งก็บอกว่า ชื่อนี้ทำไมมันยาวจัง หนูก็บอกว่า เดี๋ยวจะตั้งให้ยาวกว่านี้ สุดท้ายก็ได้เป็นชื่อน่ารัก ๆ ชื่อนี้มา ถามว่ามีใครจำได้ไหม มีนะ มีคนจำชื่อหนูได้" เธอเล่าด้วยอารมณ์ขัน

สาวใต้..หัวใจอินดี้

เห็นชื่อเล่นแปลกๆ แหวกแนวแบบนี้ เชื่อว่าหลายคนคงพอจะเดาบุคลิกของเธอกันออก โดยเฉพาะลูกบ้าในตัวที่อาจจะมีมากกว่าคนอื่นหลายเท่า

"หนูเป็นคนที่ค่อนข้างอินดี้ค่ะ อยากทำอะไรก็ทำ ถ้าไม่อยากทำอะไรก็จะไม่ทำ ส่วนตัวจะเป็นคนตลก เฮฮา และชอบสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้อื่น ส่วนเรื่องอารมณ์ ก็มีมุมชีวิตคิดเยอะ หรือเซ็ง ๆ บ้าง ถ้าวันไหนหัวเราะไม่ไหวก็จะพาตัวเองออกไปพักในมุมชิลล์ ๆ กับเพื่อน ถามว่า อินดี้ ๆ แบบนี้ เป็นคนเครียดง่ายไหม เครียดง่ายค่ะ ส่วนตัวถ้าคิดจะทำอะไรแล้ว ต้องทำออกมาให้ดีที่สุด เพราะไม่อยากโชว์ห่วยให้คนอื่นเห็น (หัวเราะ)"

เธอให้เหตุผลต่อไปว่า ที่เติบโตมาบนบุคลิกดังกล่าวได้นั้น เป็นเพราะครอบครัวให้อิสระในการคิด และการใช้ชีวิต แต่ก็ต้องไม่หลุดกรอบของความดีงามด้วย

"ตั้งแต่เล็กจนโต คุณแม่จะตามใจลูกมาก ซึ่งการตามใจของท่าน จะออกแนวให้เกียรติลูกมากกว่า แต่ไม่ได้ตามใจจนเสียเด็กนะ นอกจากนั้น ท่านจะให้อิสระกับลูก ๆ ทุกคน อยากทำอะไร ทำ แต่ต้องทำอย่างเต็มที่ อย่างช่วงหนึ่งอยากเรียนกลอง แม่ก็บอกว่า เรียนอะไรไร้สาระ หนูก็เลยเก็บเงินเรียนเอง เก็บจากเงินค่าขนมที่แม่ให้นี่ล่ะค่ะ พอแม่เห็นว่าเราเรียนจริงจังนะ ไม่ได้เรียนเล่น ๆ แม่ก็ส่งให้เรียน" เธอเล่า

"ปั๊บ-โปเตโต้" คนบันดาลใจของ "เบบี้มายด์"

"หนูมีพี่ปั๊บ-โปเต้โต้ เป็นไอดอลค่ะ พี่เขาถือเป็นประประตูด่านแรกให้รู้จักกับคณะนิเทศศาสตร์เลยก็ว่าได้ ซึ่งในความจริงแล้ว ถ้าเรียนคณะทางสายวิทย์ก็เรียนได้เลยที่สงขลา แต่พี่ปั๊ปเป็นคนทำให้ตัดสินใจเลือกเรียนคณะสายศิลป์ที่กรุงเทพฯ และในใจตอนนั้น คิดแค่ว่า ถ้าได้เรียนแล้วก็จะได้ไปดูคอนเสิร์ตโปเตโต้ด้วย (หัวเราะ) ซึ่งยอมรับว่า เป็นความคิดแบบเด็ก ๆ มาก (ลากเสียงสูง) แต่ด้วยความที่เป็นเด็กชอบการแสดง และทำกิจกรรม ซึ่งก็เหมาะสมแล้วกับคณะนิเทศศาสตร์ และเป็นเกียรติของชีวิตที่สอบติดนิเทศจุฬาฯ" เธอเล่า

"แต่ตอนแรกสนใจคณะนิติศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่พ่อแม่อยากให้เรียน ตัดสินใจตอนม.6 เทอม 2 เลยว่า จะเข้านิเทศศาสตร์ เหมือนมีครูคนหนึ่งบอกว่า ทำใจให้ชอบ ทำไม่ได้หรอก ซึ่งส่วนตัวเริ่มรักนิเทศศาสตร์เข้าให้แล้ว สุดท้ายก็เลือกเรียนนิเทศศาสตร์ แรก ๆ ที่บ้านก็ไม่เห็นด้วย แต่พอเราสอบติดจริง ๆ รู้กันทั้งหมู่บ้านเลย (หัวเราะ) ซึ่งท่านก็ยินดี และพร้อมสนับสนุนเราอย่างเต็มที่" เบบี้มายด์เผย

สีสีนชีวิตในรั้วจามจุรี

ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ประกอบกับมี "ปั๊บ-โปเตโต้" เป็นแรงผลักดัน ทำให้เธอสามารถสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์ (สาขาวิชาการสื่อสารการแสดง) ที่จุฬาฯ ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่สอบได้ แม้ว่าช่วงแรก ๆ จะรู้สึกเคว้งคว้าง แต่การเป็นคนสนุก และอัธยาศัยดี ไม่นานก็มีกลุ่มเพื่อนที่รักในความจริงใจของเธอ

"หนูเป็นเด็กต่างจังหวัดที่สอบติดและเดินทางมาเรียนคนเดียว ไม่มีเพื่อนเลย แต่ด้วยความโชคดีมีโอกาสเล่นละครเปิดบ้านในช่วงรับน้อง ทำให้มีคนเริ่มรู้จักเรามากขึ้น เริ่มมีกลุ่มเพื่อน และทำกิจกรรมร่วมกันมาเรื่อย ๆ ซึ่งเพื่อนของหนูแต่ละคนน่ารัก มีบ้างที่บางคนจะเป็นลูกคุณหนู บ้านรวย แต่ก็ไม่ถือตัว หรือดูถูกดูแคลนอย่างที่ใครหลายคนคิด ที่สำคัญ สังคมในคณะนิเทศจุฬาฯ น่ารักด้วยค่ะ เพราะเราอยู่กันแบบพี่น้องจริง ๆ"

นอกจากนั้น การเข้ามาเรียนในรั้วจามจุรี ทำให้เธอได้ทำกิจกรรมอย่างเต็มตัวมากขึ้นด้วย

"สมัยเรียนโครงการ SMA (Science Math Ability) ซึ่งเป็นห้องเรียนพิเศษของโรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา หนูผ่านกิจกรรมมาค่อนข้างมาก อย่างกีฬาสีก็เคยเป็นพี่คุมสแตนด์ หรือก็มีเล่นละครบ้าง แต่หลังสอบเข้าจุฬาฯ ได้ก็เริ่มทำกิจกรรมมากขึ้น ยกตัวอย่าง ละครนิเทศจุฬาฯ ซึ่งเป็นละครที่ได้เล่นตั้งแต่ปี 1 ถึงปี 4"

"ปีแรก เรื่องวิมานมายา เล่นเป็น หัวหน้าคนใช้ ปีสอง เดอะฟินนาเล่ โรงละครความรัก นักประพันธ์ เล่นเป็นลูกสาวคนใช้ ปีสาม เวสตันฮู้ด เล่นเป็นเพื่อนเจ้าของร้าน ซึ่งไม่ต่างอะไรจากคนใช้ เพราะต้องทำหน้าที่เก็บร้าน ส่วนปีสี่ เรื่องวงกฎ เล่นเป็นคุณเท้าเรือนอำไพ ซึ่งเป็นคุณท้าวหัวโบราณ ด้านการเปลี่ยนแปลง เรียกได้ว่า ไม่มีปีไหนที่ไม่ได้เป็นคนใช้ (หัวเราะ) ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหน เพราะให้ในเรื่องความสัมพันธ์ การทำงานร่วมกัน ช่วยเหลือกัน หรือแม้ว่าละครจะจบไปแล้วแต่ก็ขอความช่วยเหลือกันได้ตลอด"

ปธ.เชียร์งานบอล ความทุ่มเทเพื่อจุฬาฯ

ไม่เพียงแต่ละครนิเทศฯ เท่านั้น เวทีการประกวดนางนพมาศ พิธีกรในงานประเพณีฟุตบอลธรรมศาสตร์-จุฬา และประธานเชียร์ของนิเทศศาสตร์จุฬาฯ ปี 54 เธอก็เคยผ่านมาหมดแล้ว ปัจจุบัน ได้รับคัดเลือกให้เป็นประธานเชียร์ของจุฬาฯ ในงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬ่าฯ ครั้งที่ 69 ซึ่งนับเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่สำหรับเธอมาก

"งานบอลเป็นงานที่ใหญ่มาก ๆ ในจุฬาฯ เป็นงานที่ทุกคนช่วยกันจริง ๆ ส่วนตัว แทบจะไม่เคยทำอะไรให้จุฬาฯ เลย เพราะส่วนใหญ่จะทำอยู่แต่ในคณะ และตอนนี้ก็อยู่ปี 4 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายแล้ว จึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่อยากทำอะไรเพื่อตอบแทนจุฬาฯ บ้าง และการเป็นประธานเชียร์นี่แหละ คือสิ่งที่อยากจะทำ และอยากให้คนทั้งสแตนมีความสุข ตลอดจนประทับใจกับงานบอลปี 69 ที่จะถึงนี้"

อย่างไรก็ดี การได้เป็นประธานเชียร์ของจุฬาฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่คิด และนี่คือสิ่งที่เบบี้มายด์กำลังจะเล่าต่อไป

"กว่าจะได้เป็นประธานเชียร์ของจุฬาฯ ต้องผ่านหลายด่านมาก เริ่มจากส่งใบสมัคร จากนั้นคัดเลือกเหลือ 4 คน และคัดต่อไปผ่านการทำข้อสอบ ซึ่งวัดความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับงานบอล กระทั่งเหลือ 2 คนสุดท้ายที่ผ่านรอบคัดเลือก ผลปรากฎว่า หนูได้เป็นประธานเชียร์ ซึ่งตำแหน่งนี้หนัก แต่สนุก เพราะไม่ง่ายเลยที่จะคุมคนทั้งสแตนด์ ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว ยิ่งต้องทำการบ้านหนัก ส่วนตัวมายด์จะเป็นคนไม่จิกกัดใคร แต่สิ่งที่หนูเป็นคือ การได้สร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้แก่ทุก ๆ คน พร้อมกับทำทุกอย่างให้เต็มที่ค่ะ"

สำหรับ งานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 69 ในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลักว่า "เปิดเทศ 69 ชามขาวคว่ำเช้า ชามเขียวคว่ำค่ำ" เป็นการเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหา "มองมุมกลับ ปรับมุมมอง" เพื่อปรับเปลี่ยนและเปิดรับมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับงานฟุตบอล โดยเน้นเรื่องความสมัครสมานสามัคคีของ 2 สถาบัน ซึ่งในปีนี้ ฝั่งธรรมศาสตร์เป็นเจ้าภาพ ส่วนจะมีความพิเศษอะไรนั้น วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ณ สนามศุภชลาศัย คงได้รู้กัน

ชีวิตใน 1 วันของ "เด็กกิจกรรม"

เมื่อถามลึกลงไปถึงตารางชีวิตในแต่ละวัน แม้ว่าจะยุ่ง และมีภาระให้ทำมากมาย แต่การแบ่งเวลาคือตัวจัดสมดุลชีวิตที่ช่วยเธอได้มาก

"ชีวิตในแต่ละวัน จะเป็นคนกลับดึก นอนดึก ตื่นสาย ตื่นมาก็บ่ายแล้ว แต่ในวันใหม่ จะเข้ามาตั้งต้นที่คณะก่อน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เพราะคณะก็เปรียบเหมือนบ้าน ถ้าเกิดมีเรียนก็เข้าเรียนปกติ แต่ถ้าไม่มีเรียนก็จะนั่งอยู่ที่คณะไปเรื่อย ๆ คิดงานบ้าง วางแผนงานบอลบ้าง หรือนั่งทำวิทยานิพนธ์บ้าง ซึ่งเป็นละครเพื่อจบการศึกษา พอตกเย็นก็อาจต้องไปกำกับละครจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม จากนั้นก็ไปหาอะไรกินกันกับเพื่อน และรุ่นน้อง กว่าจะเข้านอนก็ตี 2 เป็นกิจวัตรแบบนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว เหนื่อยบ้าง ท้อบ้างแต่ก็สนุกมาก"

"ส่วนตัวก็มีโดดบ้างนะ (หัวเราะ) วิชาไหนที่ไม่เช็กชื่อแล้วสามารถอ่านเองได้ก็จะไม่เข้า ซึ่งจะชั่งน้ำหนักระหว่างวิชาเรียนนั้นกับกิจกรรมที่ต้องทำตอนนั้นว่า อะไรสำคัญกว่า ถ้าเกิดเราละมันไป เราจะชดเชยอย่างไร ถ้าไม่เข้าแล้วอ่านหนังสือเองไหวก็โอเคค่ะ ซึ่งเกรดเฉลี่ยที่ได้อยู่ที่ 3.2 นิด ๆ ช่วยตัวเองด้วย เพื่อนช่วยด้วย ยิ่งปี 4 มีกิจกรรมเข้ามามาก จริง ๆ บอกแม่ไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เข้าคณะนี้แล้วไม่เรียนแล้วนะ (หัวเราะ) แม่ก็บอกว่า แม่จะเอาเกียรตินิยมลูก แต่ในเมื่อพี่สาวเอาให้แม่ได้แล้ว หนูก็คงไม่ต้องแล้วกัน (หัวเราะ)"

ฝันอยากจะเป็นโปรดิวเซอร์ทำเพลง

สำหรับอนาคต การได้เป็นโปรดิวเซอร์ทำเพลง คือความใฝ่ฝันที่เธอจะต้องไปให้ถึง

"ความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กอยากเป็นนักร้องค่ะ พอโตขึ้น อยากเป็นโปรดิวเซอร์ทำเพลง ส่วนตัวชอบแต่งเพลงด้วย ซึ่งเป็นหนทางคลายเครียดที่ดีอย่างหนึ่ง ส่วนเสียงพากษ์นั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่มาพากษ์เสียงให้ฟัง ตอนนั้นฟังแล้ว รู้สึกว่ามันเก๋จังเลย หลังจากนั้นก็เล่นกันจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถามว่าเป็นพรสวรรค์ไหม ไม่ถึงขนาดนั้นค่ะ ทำขำ ๆ"

ทุกวันนี้ เธอได้รับโอกาสดี ๆ จากผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านที่เห็นถึงความพิเศษในตัวเธอ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต

"มีคนมาทาบทามบ้างค่ะ ตอนนี้เพิ่งถ่ายภาพยนตร์เสร็จไป 1 เรื่อง ชื่อเรื่องว่า รักโง่โง่ ซึ่งก็คงได้ติดตามกันเร็ว ๆ นี้ คาดว่าน่าจะปลาย ๆ เดือนกุมภาพันธ์น่าจะได้ชมกัน หนูแสดงเป็นเพื่อนของคู่พี่ยิปซีค่ะ หนูต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทุก ๆ ท่านที่ให้โอกาสด้วยค่ะ"

ทำให้เต็มที่ ไม่โกหกความรู้สึกตัวเอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุก ๆ ต่างมีคติการใช้ชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เช่นเดียวกับ "เบบี้มายด์" การทำสิ่งต่าง ๆ ให้เต็มที่ และไม่โกหกความรู้สึกตัวเอง คือ คติที่เธอยึดถือมาตลอด

"พี่ปั๊บ-โปเตโต้ เคยบอกเอาไว้ว่า การมีชีวิตอยู่บนโลกต้องไม่โกหกความรู้สึกตัวเอง สำหรับเรา ประโยคนี้มันเป็นอะไรที่ใช่มาก เพราะถ้าเราโกหกความรู้สึกตัวเอง แล้วเราจะหาความศรัทธาได้จากตรงไหน วิธีคิดนี้เองที่มายด์นำมาเป็นคติในการใช้ชีวิต พูดง่าย ๆ คือ คนเราต้องซื่อสัตย์กับตัวเองก่อนว่าเราอยากทำอะไร หรือไม่อยากทำอะไร"

"หรือคำพูดของพี่วุ้นซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เล่นละครด้วยกัน เคยบอกว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ขอให้เชื่อว่าเราทำได้ และต้องทำได้ดีด้วย คำพูดของพี่ในวันนั้น ติดตัวมายด์มาตลอด และไม่ว่าจะทำอะไรก็จะพูดประโยคนี้กับตัวเองก่อนทุกครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เราทำได้จริง ๆ และทำออกมาได้ดีด้วย"

อ่านถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะได้รู้จักเด็กจุฬาฯ คนนี้มากขึ้น สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ "เอกลักษณ์" หรือการมีตัวตนในสไตล์เธอ ซึ่งแทบจะหาได้ยากในสังคมปัจจุบันที่เด็กและเยาวชนมักจะให้ความสำคัญกับความสวย ความหล่อ หรือมองแต่คนอื่นจนลืมคุณค่าที่แท้จริงของตัวเองไป

ทั้งหมดนี้ คือชีวิตของนิสิตธรรมดา ๆ ที่มีคุณค่าและความสุขในแบบของเธอ แม้จะไม่สวย และดูมีลูกบ้าที่มักจะทำอะไรบางอย่างที่คนปกติไม่ค่อยทำหรือทำไม่ค่อยได้ แต่เธอก็มี "สมอง" ที่สวยมาก

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Lite















ติดตามวีดีโอทั้งหมดได้ที่ Babymild69 Chanel และ Facebook Page ของ Beauty Barbie Baby Missing Mild










กำลังโหลดความคิดเห็น