สะอึกไปตามๆ กัน เมื่อเรื่องในมุ้งของ “ข้าราชการ” ถูกเอามาไขในที่แจ้ง!! ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด หลายอัตราถูกโยกย้ายด้วยเหตุว่า “มีหลายเมีย” เมียหลวงรายแล้วรายเล่าแห่มากราบกราน อ้อนวอนให้ผู้บังคับบัญชาย้ายสามีสุดที่รักกลับบ้าน เพื่อแก้ปัญหาแอบไปมีเตียงเล็กเตียงน้อยซุกอยู่ตามจังหวัดต่างๆ
ลองหันไปถามอดีตข้าราชการระดับสูง จึงได้ล่วงรู้ความจริงอันแสนเน่าเฟะว่า “เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่ไม่มีใครเปิดเผยกัน บางคนเป็นระดับผู้บริหารกรมฯ มีภรรยาถึง 7 คน ตื่นขึ้นมา ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่บ้านไหน!!” ส่วนสาเหตุของการนอกใจนั้น พูดเป็นเสียงเดียวว่าเป็นเพราะออกราชการต่างจังหวัด มันเปล่าเปลี่ยว ว้าเหว่ ชวนเหงาใจจัง...
เมียหลวงร่ำไห้ ขอสามีคืน
“ผอ.ทสจ. (ผู้อำนวยการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด) และพวกป่าไม้มีการโยกย้ายบ่อย เปลี่ยนพื้นที่แต่ละครั้ง ก็มีภรรยาใหม่ คนหนึ่งมีภรรยาหลายคน บางคนมีถึง 3-4 คน เพราะทนความเหงาไม่ไหว แถมห่างบ้านด้วย ทำให้คิดถึงเวลาต้องประจำในต่างพื้นที่ พอไม่ได้กลับบ้านก็เกิดปัญหาครอบครัว มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ภรรยาของพวกเขาหลายคนหอบลูกมานั่งร้องไห้กับผมเลย บอกว่าอยากให้ย้ายสามีกลับมาประจำที่เดิม ย้ายกลับมาอยู่บ้าน ดังนั้น เพื่อตัดปัญหาเรื่องนี้ ผมจึงต้องย้ายครอบครัวที่มีปัญหาว่าสามีไปมีภรรยาน้อย ให้กลับมาทำความเข้าใจกับครอบครัว ไม่มีเหตุผลอย่างอื่น”
โชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดใจพูดถึงสาเหตุสำคัญข้อใหญ่ๆ ที่ทำให้ต้องโยกย้ายข้าราชการระดับ 9 ทั้งหมด 15 ตำแหน่งจากทั่วประเทศว่า นอกจากเหตุผลของการครบวาระในการดำรงตำแหน่งแล้ว สาเหตุหลักอีกข้อคือปัญหาครอบครัวนี่เอง ทั้งที่การแอบคบชู้ของข้าราชการระดับสูง ถือเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ถึงขั้นสามารถให้ออกราชการได้ แต่เท่าที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะมีใครเกรงกลัว
ถึงแม้ตนจะพยายามตักเตือนแค่ไหน เคยจัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้เหล่าลูกน้องชายเจ้าชู้หลาบจำ แต่สุดท้ายก็ไม่มีภรรยาของพวกเขามาร้องเรียนหรือเอาหลักฐานมายืนยัน เพราะใจอ่อน ไม่อยากเห็นคุณสามีสุดที่รักถูกไล่ออก ปัญหาเหล่าข้าราชการจอมเจ้าชู้จึงแก้ไม่ตกเสียที
อีกหนึ่งเสียงสะท้อนความมักมากของชายไทยในเครื่องแบบราชการได้อย่างชัดแจ้งตรงจุดที่สุดคือ อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อย่าง ดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่ออกมาแฉปัญหาเรื้อรังนี้ว่ามีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยยังดำรงตำแหน่ง มีผู้หญิงมาตบตีกันถึงในหน่วยงานจนแขกในอุทยานฯ ต้องโทร.มาร้องเรียน เจ้าตัวจึงต้องลุกขึ้นมาออกกฎว่าห้ามให้ผู้บังคับบัญชาพาทั้งเมียน้อยและเมียหลวงมาเข้าพักในพื้นที่ ให้ไปเช่าบ้านพักข้างนอกแทน
“เรื่องแบบนี้อยู่ที่การจัดการ ใครมีศิลปะแยบยลก็ควบคุมได้ ใครไม่มีก็ไม่มีเรื่อง เป็นเรื่องปกติที่ไม่มีใครเปิดเผยกัน บางคนเป็นระดับผู้บริหารกรมฯ มีภรรยาถึง 7 คนก็มี ตื่นขึ้นมายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่บ้านไหน ส่วนที่มีการพูดกันว่าคนทำงานในกรมป่าไม้เจ้าชู้นั้น อาจจะเป็นเพราะถูกบรรจุให้อยู่ในที่ห่างไกล อยู่ในป่าเขา ดื่มสุราแล้วเกิดอาการเปล่าเปลี่ยว ว้าเหว่ เลยปล่อยเลยตามเลย หลายคู่ก็แต่งงานกันไปขณะอยู่ในป่า หรือหลายคู่ก็ไปมีภรรยาอีกคน ขณะอยู่ในป่าเหมือนกัน พอออกมาจากป่าก็เจอแสงสี เจอสาวที่งามกว่าก็มามีใหม่ แต่เรื่องแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนะ ไม่ได้เป็นกันทุกคน”
สัมมนา พาขึ้นเตียง
ตอกย้ำสังคมคาวโลกีย์ เบื้องหลังอันแสนเน่าเฟะของพฤติกรรมการเสพเซ็กซ์ของข้าราชการระดับสูง ด้วยเรื่องเล่าผ่านประสบการณ์ตรงจากม่ายสาวเจ้าเสน่ห์วัย 40 รายหนึ่งทางแถบอีสาน เธอเผยทุกมุมจากการคลุกวงในว่า เคยคบมาหมดแล้วทั้งศึกษานิเทศก์, อบต., ผอ., ไปจนถึงข้าราชการยศใหญ่ในเครื่องแบบ ทั้งสีกากีและสีเขียว เรียกได้ว่ารู้เช่นเห็นชาติชายไทยในระบบข้าราชการหมดแล้วว่า ร้อยทั้งร้อย “เจ้าชู้ไม่เลือกที่” โดยเฉพาะตำแหน่งสูงๆ ที่มักอ้าง “สัมมนา” บอกต้องประชุมงาน ออกต่างจังหวัดวุ่นทั้งวัน ทั้งที่ความจริงคนในสถานที่เดียวกันก็เห็นๆ กันอยู่ว่า แทบจะไม่ได้เจียดเวลาให้งานเลย แต่ขยันจองห้อง-ขึ้นเตียงกันมากกว่า
“ตอนคบกับศึกษานิเทศก์คนหนึ่ง วันๆ เขาแทบไม่ทำอะไรเลยค่ะ อยู่กับเราได้ทั้งวัน ตอนแรกๆ เราก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาไม่ต้องทำงานเหรอ แต่พอคบไปสักพักถึงเข้าใจว่าข้าราชการระดับซีสูงๆ เขาทำงานกันแบบนี้นี่เอง แต่งานของเขาจะมีสัมมนาบ่อยมาก จัดตามต่างอำเภอ ต่างจังหวัดตลอด แรกๆ เราก็ปล่อยเขาไปทำงาน หลังๆ มาได้ยินว่าเขาพาผู้หญิงไปด้วย เลยตามสืบดู ถึงรู้ว่าเขามีกิ๊กทุกที่ที่ไปเลย ทั้งศรีสะเกษ, โคราช, อุบลฯ, หรือแค่ไปต่างอำเภอ ห่างกับที่เราอยู่ไม่ถึง 70 เมตรก็ยังมี หนีบผู้หญิงเข้าไปประชุม-ไปพักในรีสอร์ตด้วยกันตลอด
ตอนแรกที่รู้ก็ตกใจมากเหมือนกันค่ะ เพราะไม่คิดว่าจะเจ้าชู้ขนาดนี้ แค่ปกติเขามีภรรยาจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายแล้วมาคบกับเรา ก็คิดว่ามากแล้ว แต่นี่ยังคบคนอื่นเพิ่มอีก ตอนหลังเลยต้องตามคุม บอกถ้าไม่ยอมก็เลิกกัน เขาเลยให้เราไปด้วยเพราะก็รักเรามากเหมือนกัน ตั้งแต่นั้นมาเลยรู้เลยว่า ห้ามปล่อยไปสัมมนาคนเดียวเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่มันเป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนคู่นอนของเขา แค่นั้นเอง”
แต่ถึงเธอจะรู้เท่าทันฝ่ายชายเท่าไหร่ สุดท้ายก็ทนความเจ้าชู้ของเขาไม่ไหว จึงตัดสินใจร่ำลา-แยกย้ายกันไป กระทั่งผู้ชายคนใหม่เดินเข้ามาในชีวิต เป็นข้าราชการเหมือนกัน แต่ครั้งนี้อยู่ในตำแหน่งผอ.กรมป่าไม้ คิดไว้ว่าคบคนนี้แล้วคงไม่ซ้ำรอยความเจ้าชู้ แต่ก็ซ้ำอีกจนได้ แถมยังจัดหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่าเลยทีเดียว
“คนนี้มีเวลาอยู่กับเรามากกว่าคนอื่นทั้งหมด ตื่นเช้ามาก็เข้าไปเซ็นชื่อ แล้วก็ออกมา แค่นั้น อาทิตย์หนึ่งเห็นเขาเข้าไปทำงานจริงๆ แค่ 2 วันเองค่ะ แล้วก็ไม่ได้ทำเต็มวันด้วย แค่ไปดูๆ เฉยๆ เข้าไปบอกให้ลูกน้องดู มีอะไรสำคัญค่อยโทร.เรียก ตอนออกจากบ้านก็ใส่เครื่องแบบเจ้าหน้าที่ไป แต่พอเซ็นชื่อเสร็จ ขึ้นรถก็เปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ หรือไม่ก็สวมแจ็กเกตทับแล้วก็ไปนั่งก๊งเหล้ากับเพื่อนๆ ป่าไม้ด้วยกัน เป็นแบบนี้แทบทุกวัน
เท่าที่คบมา มีคนนี้แหละที่มีเวลาให้เราเยอะที่สุด แต่ก็เลิกไป เพราะมารู้ทีหลังว่าแกติดเด็ก จ้างนักสืบไปตามถึงได้รู้ว่าหลังจากเข้าไปเซ็นชื่อ แกก็ไปนอนอยู่กับเด็กรุ่นลูกประจำทุกวัน แล้วค่อยกลับมาหาเรา ก็เลยรับไม่ได้
เคยคบมา 6-7 คน เห็นมาหมดแล้ว พูดได้เต็มปากเลยค่ะว่าข้าราชการเจ้าชู้แทบทุกคน ตีไปเลยว่า 99.99 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะตำแหน่งสูงๆ นี่ ไม่มีเหลือแน่นอน ที่เห็นในละครแรงเงานั่น มันไม่ได้เศษเสี้ยวของเรื่องจริงเลย ถามว่าถ้าข้าราชการเจ้าชู้แล้วทำไมยังคบ ก็เพราะเขามีเวลาให้เราไงคะ เทกแคร์เราได้ วันๆ แทบไม่ต้องไปทำงานก็ยังมีเงินเดือน ใครจะไม่ชอบ”
ตัวอย่างการคบชู้ของคนในราชการไม่ได้มีให้เห็นแค่ม่ายสาวรายนี้รายเดียว แต่เพื่อนของเธอซึ่งเคยผ่านการแต่งงาน มีลูก และเลิกกับสามี ก็เผชิญชะตากรรมเดียวกันทั้งนั้น เธอคนนี้เป็นอาจารย์ประจำโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอเล็กๆ แอบคบกับ ผอ.ของโรงเรียนอย่างลับๆ เพราะต้องการคนดูแลหัวใจ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าฝ่ายชายมีภรรยาอยู่แล้ว แต่ก็ยอมเป็นคู่รัก “สมภารกินไก่วัด” คบกันเพื่อขับไล่ความเหงา
และยังมีผู้หญิงอีกจำนวนไม่น้อยตามต่างจังหวัดที่ยอมเป็นเมียน้อยของข้าราชการชายไทย โดยเฉพาะบรรดาคนยศสูงๆ เพราะนอกจากจะได้อยู่กินอย่างสบายๆ แล้ว ยังอวดเพื่อนๆ ญาติๆ ให้หน้าบานเล่นๆ ได้อีกด้วย
สำนึก “ผัวเดียวเมียเดียว”
แน่นอนว่าเวลาพูดถึงเรื่องผัวๆ เมียๆ และการนอกใจ คนที่จะลืมนึกถึงไปไม่ได้เลยก็คือ ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข เจ้าของคอนเซ็ปต์ “ผัวเดียวเมียเดียว” แห่งประเทศไทย เธอยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำว่าปัญหาคบชู้ในระบบราชการมีมานานและแก้ไม่หายเสียที เพราะทั้งผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็ช่วยปกปิด-งุบงิบกัน
“พี่ทำงานด้านสังคม เห็นมาตลอดว่ามีเมียหลวงมาร้องต่อผู้บังคับบัญชา ให้ระบบข้าราชการช่วยจัดการ แต่ผู้ใหญ่เขาสอบแล้วช่วยกัน ผลก็เลยออกมาไม่มีมูล ไม่มีความผิด จึงเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงว่า ถ้าผู้บังคับบัญชาคิดว่าการมีเมียน้อยเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องนี้ก็จะไม่มีวันได้รับการแก้ไขเลย ก็จะมุบมิบกันไปเรื่อยๆ ช่วยกันไป เพราะตัวผู้บังคับบัญชาก็มี ลูกน้องก็มี ทั้งที่จริงๆ แล้วการกระทำแบบนี้เป็นความผิดร้ายแรง ผิดวินัยถึงขั้นให้ออกแบบไม่ได้รับบำเหน็จบำนาญเลยนะคะ เพราะฉะนั้น ต้องมีการลงโทษกันอย่างจริงจัง สังคมไทยถึงจะกลัว ไม่ทำเป็นเยี่ยงอย่าง
พี่ขอตำหนิความคิดเห็นของผู้ใหญ่ที่คิดว่าพฤติกรรมไร้ศีลธรรมในเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องธรรมดา คนระดับผู้บริหารองค์กร-บริหารหน่วยงานได้ ถ้ามีแนวความคิดเช่นนี้แล้ว มันหมายความว่ามีความเมตตาต่อมนุษย์มันน้อยลง ศีลธรรมตกต่ำ พูดได้ยังไงว่าผมเองยังมีตั้ง 7 คน ยังไม่เป็นอะไรเลย คิดแบบนี้ แล้วคุณจะมาปกครองลูกน้องได้ยังไง สังคมมันก็ชั่วไปหมด มีเงินเยอะๆ ก็เอาไปข่มขืนเด็ก เด็กอายุ 10 กว่าขวบ มองเห็นรุ่นหลานรุ่นเหลนกลายเป็นยาชูกำลังไปหมดแล้ว นี่ถ้าเรื่องนี้ไม่ดังมาเข้าหูสื่อมวลชน ก็จะไม่เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมา และคงไม่ได้รับการแก้ไข”
มีให้เห็นมานักต่อนักแล้ว ข้าราชการเอาเมียน้อยเข้าไปพักในอุทยานฯ แล้วเมียหลวงตามมาทวงสิทธิ เกิดการตบตี ทะเลาะเบาะแว้ง กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาภายในหน่วยงานนั้นๆ เหตุการณ์แบบนี้คุณระเบียบรัตน์แนะนำว่าให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษให้สาสม ไม่ควรมาเข้าข้างฝ่ายชายด้วยกันด้วยคำพูดที่ว่า สามีอยู่ไกลบ้านก็เลยเหงา ต้องมีเมียน้อย “พูดแบบนี้ก็เท่ากับส่งเสริมให้คนประพฤติชั่ว คือถ้าคุณไม่มีคุณธรรม ก็อย่ามารับตำแหน่งที่ใหญ่โตเลยดีกว่า”
ส่วนแนวความคิดการโยกย้ายคุณสามีกลับมารับราชการที่บ้านนั้น เธอเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงแม้จะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ได้ผลทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะอย่างไรเสีย ถ้าคนจะนอกใจ ถึงจะย้ายมาใกล้บ้านแค่ไหนก็ยังทำได้ “แต่พอมีมาตรการออกมาแบบนี้ ทำให้เห็นไปเลยว่าถ้าคุณประพฤตินอกใจก็จะถูกย้ายให้ไปอยู่ใกล้ครอบครัว ถือเป็นการคาดโทษให้เห็นชัดๆ และอย่างน้อย โซ่ทองคล้องชีวิต เมียหรือลูกก็อาจจะดึงพ่อกลับมาได้เหมือนเดิมถ้าได้อยู่ใกล้กัน”
ถึงแม้ปัญหาเรื่องการมีชู้-มีกิ๊ก-นอกใจ-มีบ้านเล็กบ้านน้อย อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แถมยังสร้างความเคยชินในสังคมไทยมาเนิ่นนานแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรมองมันอย่างชินชาและเฉยเมย เพราะปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ใหญ่ระดับประเทศ
เมื่อส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในสังคมอย่าง “ครอบครัว” แตกแยก ลูกๆ ก็ย่อมขาดความอบอุ่น กลายเป็นเด็กมีปัญหา หันไปเสพยา ออกไปตามหาความรักข้างนอก เกิดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ฯลฯ และอีกมากมายหลายหลากเรื่องแย่ๆ ที่พร้อมจะถาโถมเข้ามา จึงอาจถึงเวลาที่ควรปฏิรูปความคิดกันเสียใหม่ อย่างน้อย “เจ๊เบียบ” ของทุกคนก็ขอฝากถ้อยคำทิ้งท้ายเอาไว้ให้ระดับผู้บังคับบัญชาพึงระลึก ในฐานะข้าราชการคนหนึ่ง
“บุคคลธรรมดา ถ้าจะให้งดงามต้องมีศีลห้า แต่ข้าราชการต้องมีคำว่า “ระเบียบ” และ “วินัย” เพิ่มเข้าไปด้วย การประพฤตินอกใจคู่สมรสเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โทษถึงขั้นปลดออก-ให้ออก โดยไม่มีบำเหน็จบำนาญ โดยเฉพาะ ถ้าคุณคือข้าราชการระดับสูง ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งมาแล้ว สิ่งที่คุณยิ่งต้องมีมากกว่าคนอื่นๆ ก็คือ สำนึก”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE