xs
xsm
sm
md
lg

“โล้นห่มเหลือง” มารทำลายศาสนา-โจรในคราบนักบุญ!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปวดใจทุกครั้งเมื่อเห็นว่า “ผ้าเหลือง” ที่พุทธศาสนิกชนอย่างเราๆ นับถือบูชา ต้องมาแปดเปื้อนเพราะคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นพระ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นโจร... “โจรในคราบพระ” ทำลายศาสนาด้วยวิถีแห่งบาปต่างๆ นานา โดยไม่เกรงกลัวต่อเวรกรรมแม้แต่นิดเดียว
ล่าสุด ช่างน่าอนาถกับข่าวพระควงมีด-ถือปืน เข้าปล้นร้านขายของชำ ซ้ำร้ายยังใช้จีวรเป็นเครื่องมือช่วยสร้างบาป มัดมือ-อุดปากเจ้าของร้านก่อนโกยเงินแล้วหลบหนีไป ชวนให้นึกย้อนมองข่าวคาวๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ จนสร้างรอยช้ำให้แก่วงการพระพุทธศาสนาขั้นหนัก... หนักถึงขนาดทำให้ชาวพุทธแทบไม่กล้าจะก้มลงกราบไหว้พระภิกษุสงฆ์อีกต่อไปแล้ว!!



ประวัติศาสตร์ความเสื่อม...
27 กันยายน 2555 “โจรในคราบพระ”... ช่วงเช้า “พระไพร กิตตุธัมโม” ยังนุ่มเหลืองห่มเหลือง พำนักอยู่ในสำนักสงฆ์ เขาห้วยขัน จ.นครศรีธรรมราช อยู่เลย แต่หลังอิ่มท้อง สันดานโจรที่ห่อหุ้มด้วยผ้าเหลืองเอาไว้ไม่มิดก็โผล่ออกมาทันที
พระรูปเดียวกันนี้ที่ชาวบ้านเพิ่งถวายเพลด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เดินไปที่ร้านขายของชำซึ่งห่างจากสำนังสงฆ์ประมาณ 50 เมตร ใช้มีดและปืนจี้ชิงทรัพย์เจ้าของร้านซึ่งเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่ร่วมถวายเพลด้วยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ชายนุ่งเหลืองรูปนี้ยังใช้ผ้าจีวรมาเป็นเครื่องมือสร้างบาปอย่างไม่ละอายด้วย โดยนำมามัดมือมัดเท้าและปิดปากผู้เคราะห์ร้าย รื้อค้นทรัพย์สินเสร็จสรรพ ได้ทองรูปพรรณหนัก 5 บาท และเงินสดอีก รวมมูลค่ากว่า 2 แสนบาท หลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย
 

6 กันยายน 2555 “หนังโป๊-ของปลอมเกลื่อนกุฏิ”... เป็นถึงรักษาการเจ้าอาวาสที่ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธา วาดหวังว่าจะให้ขึ้นปกครองวัดใหญ่ในจ.มุกดาหารแทนเจ้าอาวาสคนก่อนที่เพิ่งมรณภาพไป แต่อยู่ไปๆ กลิ่นคาวเริ่มส่อเค้าให้ตาสว่าง จึงมีผู้หวังดีแจ้งตำรวจบุกค้นกุฏิและต้องผงะเข้ากับ “หนังลามก ชุดชั้นใน และอวัยวะเพศชายเทียม” อัดแน่นอยู่เต็มพื้นที่ อีกทั้งสุรา เสื้อผ้าผู้หญิง และทรัพย์สินอีกมากมายซึ่งผู้ที่เรียกตัวเองว่า “พระ” ไม่ควรมีในครอบครอง เจ้าหน้าที่จึงพาไปดำเนินการสึกและดำเนินคดีต่อไป
  

28 สิงหาคม 2555 “ทั้งเสพทั้งค้าภายใต้ผ้าเหลือง”... ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสถานที่แห่งความเลื่อมใสศรัทธาจะกลายเป็นแหล่งผลิตความเสื่อมอย่างยาเสพติดไปได้ แต่ก็เกิดขึ้นแล้วที่วัดดังประจำ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี “พระปมุตโต” หรือนายวิรัตน์ ชมศรี คือเอเยนต์รายใหญ่ภายในนั้น ทั้งผลิตและเสพยาบ้าจำนวนมากโดยใช้กุฏิเป็นแหล่งมั่วสุมและปล่อยของ จากการสอบสวนจึงทราบภายหลังว่าพระรูปนี้เคยเป็นเด็กขี้ยา หลบหนีการจับกุม กระทั่งแฝงตัวเข้ามาโกนหัว-นุ่งเหลือง และใช้แหล่งธรรมแห่งนี้เป็นที่ทำมาหากิน
  

28 มิถุนายน 2555 “ร่วมประเวณีกับสีกากลางวัด”... เหตุการณ์น่าอนาถนี้เกิดขึ้นในรั้วธรรมแห่งวัดดังในเมืองลำปาง กลางวันแสกๆ แต่กลับมีเสียงกระเส่าประหลาดๆ ดังออกมาจากห้องน้ำภายในวัดเนิ่นนานเป็นระยะๆ ชาวบ้านอดรนทนไม่ไหว ไม่อยากจะจินตนาการภาพ จึงตัดสินใจพังประตูห้องน้ำเข้าไป พบว่าภายในคือ “พระณัฐทฤษฏ์” กำลังเสพสมอารมณ์ใคร่กับสีการายหนึ่งอยู่ จึงจัดการแจ้งเจ้าอำเภอให้มาสึกและแจ้งตำรวจให้ดำเนินการ โดยมีชาวบ้านพยายามรุมประชาทัณฑ์ให้หายช้ำใจ
  

ยังมีข่าวอีกมากมายซึ่งเกิดจากบรรดาชายนุ่งเหลืองห่มเหลืองที่ไม่เคยซึ้งในรสพระธรรมเลยแม้แต่นิดเดียว หนักกว่านั้นยังทำร้าย-ทำลายให้สถาบัน “เสื่อม” ลงเรื่อยๆ จนส่งผลกระทบ-กระเทือนใจพุทธศาสนิกชนทั่วไปให้หมดศรัทธาต่อผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็น “พระ” ลงทุกขณะ
เกิดเป็นคำถามค้างคาในใจมานานแสนนานว่า เราต้องทนเห็นสภาพเหตุการณ์เช่นนี้ไปอีกนานเท่าไหร่? ผู้เกี่ยวข้องที่ควรดูแลจัดการพฤติกรรมในรั้วแห่งธรรมหายไปไหนหมด?




รั้ววัด = แหล่งซ่อนอบายมุขชั้นเยี่ยม
“ต้องยอมรับว่าพระสมัยนี้ต่างไปจากสมัยก่อนมาก จากพระซึ่งเป็นผู้อุทิศตน เผยแผ่ เรียนรู้พระศาสนา เดี๋ยวนี้ส่วนหนึ่งคนที่มาบวชกลับกลายมาเป็นคนที่ขาดโอกาสทางสังคมไปแล้ว เกือบร้อยทั้งร้อยไม่ได้บวชเพราะอยากอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ไปตลอดชีวิต
ส่วนคนที่อยากอยู่นานก็มีแต่คนแก่-พระแก่ คนที่ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไรแล้ว แล้วพระแก่เหล่านี้จะให้เขามานั่งเรียนพระธรรมวินัย เขาก็ไม่เอาแล้ว ส่วนพระหนุ่มที่มาบวชก็มาบวชได้แป๊บๆ ก็สึก หาแทบไม่ได้แล้วที่จะเรียนโรงเรียนพระปริยัติธรรมมา เพราะอยากออกมาเป็นพระจริงๆ” เอนก สนามชัย ผู้อำนวยการส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม เปิดอกพูดถึงสภาพนักบวชเมืองพุทธทุกวันนี้อย่างตรงไปตรงมา
 

ปัญหาเสื่อมๆ ที่เกิดขึ้นกับคนนุ่งเหลืองห่มเหลืองมีให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสังคมเอือมระอา ทั้ง “โจรในคราบพระ” สบโอกาสก็อาศัยผ้าเหลืองเข้าหาผู้คนให้ชะล่าใจ เผลอหน่อยก็ปล้นชิงทรัพย์ ทั้ง “ไอ้หื่นภายใต้จีวร” ที่ละทางกามไม่ได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์หลอกให้ครอบครัวและคนที่พบเห็นเลื่อมใสศรัทธา สุดท้ายก็ประกอบกามกิจให้แปดเปื้อนผ้าเหลืองและแหล่งธรรม
นี่ยังไม่รวมพฤติกรรมต่างๆ นานาของภิกษุกับอาการไร้ความสำรวมที่พบเห็นได้ตามถนนหนทาง, ห้างสรรพสินค้า รวมถึงสถานบันเทิงด้วย หลายคนคงสงสัยว่าเหตุใดสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงไม่รู้จักคัดกรองคนให้ดีก่อน ก่อนจะอนุญาตให้พวกเขาเหล่านี้บวชเพื่อเข้ามาสร้างความเสื่อมให้แก่สถาบันอย่างที่เห็น ผอ.เอนกมีคำอธิบาย
  

คนทั่วไปอาจจะคิดว่าทำไมสำนักพุทธอ่อนแอ ไม่ทำอะไรเลย แท้ที่จริงแล้วเราไม่สามารถเข้าไปออกคำสั่งกับวัดหรือพระได้นะ เพราะคณะสงฆ์หรือวัดแต่ละที่เขาก็ปกครองตัวเอง ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐบาล ยกเว้นว่าพอมีปัญหาขึ้นมาทีหนึ่ง เราถึงเข้าไปประสานงานได้ ส่วนเรื่องการคัดกรองคนเข้ามาบวช ต้องบอกว่าศาสนาเราไม่ได้เคร่งครัดขนาดนั้นครับ แล้วคนที่ตัดสินใจได้ว่าจะให้บวชหรือไม่ก็คืออุปัชฌาย์หรือพระผู้บวชให้ ว่าท่านจะกลั่นกรองคนแค่ไหน แต่ปัญหาคือทั้งวัด ทั้งคณะสงฆ์และสำนักพุทธ ก็อยากได้คนมาเป็นพระ บางทีก็ละเลยเรื่องของคุณภาพไป อยากได้ปริมาณ การตรวจสอบก็เลยลดน้อยลง
 

ถ้าเป็นโบราณ คนที่มาบวชจะอยู่ใกล้ๆ บ้าน เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไว้ใจได้ แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่ ใครจากไหนก็ไม่รู้เดินทางมาบวช แต่ถ้าจะตรวจสอบกันจริงๆ ก็ทำได้ สามารถตรวจประวัติกับทางตำรวจได้ว่าหนีคดีมาหรือเปล่า แต่พระอุปัชฌาย์ส่วนใหญ่จะไม่ทำหรอกครับ ถึงแม้ท่านจะรู้ว่าคนนี้อาจจะเคยเป็นโจร แต่ท่านก็ให้โอกาสกลับใจ มันก็เลยเป็นดาบสองคม กลายเป็นปัญหาว่าถ้าเขาไม่ได้กลับใจจริงๆ วันดีคืนดีก็กลายเป็นโจรขึ้นมาอีก กลายเป็นพระโจรไป

หนักกว่านั้นคือพวกที่ตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะตั้งแต่แรกแล้วว่าจะใช้รั้ววัดปกปิดความชั่วร้าย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีกระบวนการค้ายาที่วางแผนเข้ามาบวชเพื่อใช้แห่งธรรมเป็นที่ผลิตและส่งยาทอดตลาด ทำเป็นกิจการขนานใหญ่กันเลยทีเดียว

“เราเคยเข้าไปตรวจยาเสพติดภายในวัดจากที่ชาวบ้านให้ข้อมูลมา เขาทำกันเป็นขบวนการเลย ผลิตยา-ขายยากันเองในนั้น เขาคงคิดว่าวัดเป็นแหล่งหลบซ่อนที่ดีที่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง เห็นแล้วก็น่าอนาถใจเหมือนกัน




พระแท้-พระเทียม
ยิ่งหาคำตอบให้แก่ข้อสงสัยมากเท่าไหร่ เมื่อพบสภาพความจริงที่เห็นที่เป็นอยู่ ก็ยิ่งเสื่อมศรัทธาต่อพระภิกษุสงฆ์จอมปลอมมากขึ้นเท่านั้น เชื่อว่าหลายคนหมดความเชื่อใจจนอาจถึงขั้นไม่อยากก้มลงกราบไหว้ชายผู้นุ่งเหลืองห่มเหลืองกันอีกต่อไปแล้ว
แต่ “พระราชรัตนาภรณ์” เจ้าอาวาสวัดเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ขอไว้ว่าอย่าเพิ่งหมดหวังและมองพระทุกรูปด้วยสายตาแบบเดียวกันหมด ที่สำคัญขอจงใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข่าวสารด้วยสติ คิดแยกแยะเหตุและผลให้ถี่ถ้วนเสียก่อน เพราะนั่นคือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
 

“เดี๋ยวนี้มันง่ายมากนะโยม ไปซื้อผ้าเหลืองแล้วก็โกนผม คนก็มองว่าเป็นพระแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อรับข่าวสารอะไรมา จึงอยากจะให้แยกแยะ พิจารณาให้ถี่ถ้วนว่านั่นพระจริงหรือพระปลอม ส่วนเรื่องที่จะกราบไหว้พระต่อไปดีไหมนั้น ถ้าโยมไม่รู้จักพระรูปนั้นเป็นการส่วนตัว ไม่รู้ว่าท่านมาจากที่ใด
ประการแรกคือให้โยมสังเกตปฏิกิริยาของท่านว่าท่านดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยไหม ประการที่สองคือโยมก็ต้องมาปรับที่ตัวโยมเอง เพราะการทำบุญในทางพระพุทธศาสนานั้น คือการทำด้วยศรัทธาอันประกอบด้วยปัญญา ทำถวายแก่พระสงฆ์ซึ่งถือเป็นตัวแทนของพระสงฆ์ทั้งหมด อย่าไปนึกว่าถวายพระรูปนั้นเป็นตัวบุคคลไป อย่าไปยึดมั่นถือมั่น"
 

ส่วนคนที่ใช้ผ้าเหลืองปกคลุมร่างกายเพื่อสร้างความเสื่อมนั้น พระราชรัตนาภรณ์ หัวหน้าพระวินยาธิการคณะสงฆ์กรุงเทพฯ ผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบดูแลพระสงฆ์ผู้ประพฤติปฏิบัติมิชอบทั่วกรุงเทพฯ ได้แต่ขอไว้ว่า “อย่าทำเลย มันไม่ใช่แค่เป็นการทำลายตัวบุคคล ตัวพระรูปนั้นรูปเดียว ไม่ใช่แค่ทำลายสังคมใดสังคมหนึ่ง แต่เป็นการทำลายสถาบันพระศาสนา ทำลายองค์กร เป็นบาปหนัก
หรือแม้แต่ตัวพ่อแม่ผู้ปกครองเอง บางคนรู้แล้วว่าลูกมีปัญหา ติดยา หรือเพิ่งเลิกได้ไม่กี่วันก็รีบพาลูกมาเข้าวัด โกหกพระ เพราะคิดว่าผ้าเหลืองจะช่วยรักษาลูกได้ ก็อยากจะบอกว่าถ้าคนมันดี อยู่ที่ไหนมันก็ดี แต่ถ้าลูกไม่ดี ผลักเข้ามาในพุทธศาสนา ยิ่งจะทำให้ความเสียหายมันเพิ่มมากขึ้น แทนที่จะเป็นความชั่วเฉพาะตัว กลับกลายเป็นความชั่วทำลายสังคม ทำลายสถาบัน ดังนั้น ถ้ารู้ว่าคนที่จะมาบวชยังพฤติกรรมไม่สู้ดี ก็อย่าเพิ่งเอามาเข้าวัดเลยดีกว่า


หรือถ้ารู้ว่าไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาในศาสนาอย่างแท้จริง บวชเพื่อให้มีข้าวกิน หรือบวชเพื่อเป็นช่องทางในการหากิน ก็ไม่ควรที่จะเข้ามา เพราะการเข้ามาโดยไม่ศรัทธา เข้ามาเพื่อหวังอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เข้ามาแล้วมันก็จะสร้างความเสียหายให้แก่หมู่พระสงฆ์และพระพุทธศาสนา ก็อย่ามาทำบาปกรรมต่อเลย เพราะตัวเองก็ถือว่ามีกรรมมากอยู่แล้ว เป็นฆราวาสที่ไม่มีอาชีพทำมาหากินก็บาปอยู่แล้ว อย่ามาสร้างกรรมให้มันมากขึ้นต่อไปให้ทุกข์ลำบากมากกว่านี้เลย
 

บุคคลที่ควรค่าแก่ผ้าเหลือง จึงควรเป็นผู้ที่พร้อมทั้งกายและใจเท่านั้น “คือกายต้องพร้อม สุขภาพพร้อม ง่อยเปลี้ยเสียขาเขาไม่ให้บวช และที่สำคัญคือใจต้องพร้อม พระคือผู้ที่มีจิตใจสงบและประเสริฐ เพราะฉะนั้น เราต้องทำใจของเราให้ได้ตามวินัยที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางไว้ ไม่ไปทำตัวเยี่ยงฆราวาส ให้มีสติ มีสัมปชัญญะ ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอว่าขณะนี้เราทำอะไร จะทำอะไร เป็นพระต้องสำรวม ต้องเป็นพระแท้ ไม่ใช่พระเทียม ต้องปฏิบัติกิจของสงฆ์ให้เต็มที่ ถ้าทำอย่างนี้ นั่นแหละเรียกว่าเป็นพระแท้ที่คนควรกราบควรไหว้”

ดังนั้น ถ้าตัดสินใจจะละทางโลกแล้วก็ขอจงตั้งสติให้มั่น พึงระลึกถึงหลักธรรม อย่าสักแต่โกนหัว นุ่งจีวร แต่กลับมีมารเวียนว่ายวนอยู่ในจิตใจ หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่สมควรได้รับการกราบไหว้ และอาจเป็นได้เพียง “โล้นห่มเหลือง” ไม่ใช่ “ผู้มีธรรมะห่มใจ” ที่แท้จริง

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE











ถูกจับกุมในที่สุด
คลิปหลุดพระจริง มีอะไรกับสีกา
เต้นโคโยตี้คลายเครียดจากน้ำท่วม
พลอดรัก ณ น้ำตก
กามล้นกุฏิ
กำลังโหลดความคิดเห็น