ไฟเขียวให้แล้วสำหรับการขยายระยะเวลาให้โครงการ รถคันแรก ที่คอนเซปต์ดูดี แต่พอมาคิดอีกทีเหมือนว่าโครงการนี้จะซ้ำเติมปัญหาการจราจรโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ให้ย่ำแย่มากขึ้น รวมถึงปัญหาป้ายแดงที่มีไม่เพียงพอสำหรับการถอยรถใหม่ จึงยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมนโยบายเจ้าปัญหานี้เข้าไปอีก
ดีใจถ้วนหน้า ยืดเวลารถคันแรก
เปิดเฟสสองให้ดีใจกันยกใหญ่สำหรับคนต้องการซื้อรถคันแรก หลังจากได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายในครั้งแรกเมื่อ 13 กันยายน 2554 กับโครงการสานฝันคนจำนวนไม่น้อยให้มีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์คันแรกในชีวิต โดยโครงการมีระยะเวลากว่า 15 เดือน คือ ตั้งแต่ 16 ก.ย.2554 ไปจนถึง 31 ธันวาคม 2555
โดยวัตถุประสงค์ของโครงการรถคันแรกคือ สนับสนุนให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยซึ่งไม่เคยมีรถยนต์มาก่อน สามารถซื้อรถยนต์ได้ จึงกำหนดกลุ่มเป้าหมายคืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท/คัน ให้ผู้ซื้อรถยนต์ขนาดไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร รถยนต์กระบะ(Pick up) และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab) โดยคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 500,000 คัน และรัฐบาลใช้งบทั้งสิ้นประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งก็ได้เสียงตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี
จนเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลมีมติเห็นชอบการขยายเวลาการรับส่งมอบรถยนต์รวมถึงเอกสารหลักฐานของราชการออกไป สำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดย ครม.มีมติผ่อนผันการส่งมอบรถยนต์ใหม่ในโครงการรถคันแรกออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ผู้ขอใช้สิทธิ์ต้องทำการซื้อหรือจองรถยนต์ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2555 และต้องยื่นคำขอใช้สิทธิ์และเอกสารประกอบการใช้สิทธิ์ภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2555 หรือภายในระยะเวลา 90 วันนับจากวันรับมอบรถยนต์ โดย นางเบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องมีการขยายเวลาออกไปว่า
“เนื่องจากผู้ประกอบการรถยนต์ยังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ทำให้ไม่สามารถส่งมอบรถให้ผู้ซื้อรถคันแรกได้ทันภายในปีนี้ ดังนั้นกรมสรรพสามิต จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขยายโครงการรถคันแรกออกไปอีก 3 เดือน ถึงเดือนมี.ค.2556 จากเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.2555 เพื่อให้ผู้ที่ถือใบจองรถภายในปีนี้ สามารถรับรถภายในเดือนมีนาคมปีหน้า
เบื้องต้น จากการตรวจสอบข้อมูลในปัจจุบัน พบว่า มีผู้ใช้สิทธิ์รถคันแรกจำนวน 400,000 ราย โดยจดทะเบียนกับกรมขนส่ง 170,000 คัน และยื่นเรื่องขอคืนเงิน 40,000 รายจากเป้าหมาย 500,000 ราย โดยสาเหตุเนื่องมาจากปัญหายังไม่ได้รับส่งมอบรถ ส่วนการขยายระยะเวลาดังกล่าว ผู้ถือใบจอง จะต้องเป็นชื่อเดียวกับผู้ซื้อรถ เพื่อป้องกันการซื้อขายใบจองเพื่อให้สิทธิคืนเงินรถคันแรกจำนวน 100,000 บาท”
โดยหลายฝ่ายก็ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าการขยายเวลาอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชนที่มองว่าการขยายเวลาออกไปเป็นเรื่องดี แต่อีกหลายคนก็มองว่าโครงการนี้ไม่ได้เป็นการตอบโจทย์ประชาชนที่มีรายได้น้อย แต่กลับไปช่วยในกลุ่มคนชั้นกลางเสียมากกว่า ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่เปิดโครงการมาจนถึงวันนี้ รัฐบาลได้ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 6,823 ล้านบาท จำนวนรถที่ออกไป 93,833 คัน และมีรถที่รอใช้สิทธิ์รถคันแรกอีก 425,000 คัน เป็นเงินประมาณ 31,875 ล้านบาท รวมแล้วต้องใช้เงินรวมประมาณ 40,000 ล้านบาท
ช่วยแก้หรือยิ่งสร้างปัญหา
ตามข่าวอาจดูเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับคนอยากได้รถในช่วงปีนี้ที่จะได้คืนเงินภาษีกว่าหนึ่งแสนบาทเท่ากับว่าเป็นการลดราคาที่ต้องจ่ายในการซื้อรถ ซึ่งหากมองผิวเผินมันก็เป็นเรื่องดีในการกระตุ้นยอดการซื้อขายรถขนาดเล็ก แต่เมื่อมองให้ลึกลงไปดีๆจะพบว่าโครงการนี้อาจสร้างปัญหาหลายประการตามมา โดยเฉพาะปัญหาเรื่องของการจราจรที่ยิ่งติดขัดเข้าไปอีก
เมื่อนโยบายรถคันแรกไม่ต่างอะไรกับการเพิ่มรถยนต์บนท้องถนน ซึ่งขัดกับแนวคิดการบริหารจำนวนรถบนท้องถนนให้มีน้อย ใช้บริการขนส่งสาธารณะให้มาก พอปริมาณรถมากขึ้น ก็ต้องสร้างถนนมารองรับมากขึ้น ต้องมีที่จอดรถมากขึ้น ทำให้ประเทศต้องแบกรับภาระเรื่องของการเพิ่มถนน และต้องนำเข้าน้ำมันมากขึ้น ถึงแม้ประชาชนจะได้ประโยชน์จากเงินที่ได้คืนมาเกือบแสนบาทในรูปของภาษีที่ลดลงไปก็ตาม และอีกเรื่องที่ตอกย้ำได้ดีว่าโครงการนี้ยิ่งสร้างปัญหาเพิ่มคือเรื่องป้ายแดงขาดแคลนไม่เพียงพอ หลังจากที่แห่ถอยรถใหม่ออกมาให้แน่นท้องถนนกันเล่นๆ ทำให้ตอนนี้การส่งมอบรถก็ยิ่งช้า จำนวนรถที่รอต่อคิวถอยออกมาก็ยังไม่หมดสิ้นสักที แต่อย่างไรก็ตามกระทรวงคมนาคมก็คาดว่าจะเร่งให้ได้รับป้ายทะเบียนภายในเดือนสิงหาคมนี้จำนวนกว่า 7 ล้านแผ่น
เมื่อมีรถมากขึ้นและถนนไม่พอรองรับ ปัญหาการจราจรก็จะยิ่งหนักมากเป็นทวีคูณ โดย นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งจราจร ได้เปิดเผยข้อมูลที่คาดการณ์ว่า “ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีปัญหาการจราจรติดขัดเพิ่มขึ้น” โดยดูจากปัจจัยปริมาณรถที่ในปี 2554 ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อน 396,540 คัน เฉลี่ยมีการจดทะเบียนรถใหม่วันละ 1,225 คัน ซึ่งเมื่อรวมรถที่จดทะเบียนทั้งหมดที่มีในกรุงเทพฯ ก็รวมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 6,841,171 คัน !! ซึ่งตอนนี้ยังมีเวลาจองได้อีกประมาณ 5 เดือนก็ไม่รู้ว่ายอดจองจะเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าไหร่
ซ้ำเติมจราจรติดขัด
ปัจจัยหนึ่งที่คาดว่าตอนนี้สร้างผลกระทบอย่างมากโดยทำให้จำนวนรถในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมาย ก็เนื่องจากเหตุผลที่กล่าวมาว่ารัฐบาลได้ผลักดันโครงการรถคันแรก ทำให้กระตุ้นยอดการซื้อ-ขายรถยนต์ เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งประชาชนก็รีบแห่กันไปซื้อจนตอนนี้ถนนทั่วกรุงเทพฯอาจไม่สามารถรองรับปริมาณรถได้
นอกจากปริมาณรถยนต์ที่มีเพิ่มขึ้นแล้ว ปัญหาการจราจรยังเกิดจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อการจราจร ทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่-บางซื่อ, โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ หัวลำโพง-บางแค, โครงการก่อสร้างทางลอดแยกบรมราชชนนี และแยกไฟฉาย บนถนนจรัญสนิทวงศ์, โครงการขยายถนนศรีนครินทร์, โครงการก่อสร้างสะพานลอยที่วงเวียนหลักสี่ ฯ อีกด้วย ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการที่มีรถเพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีเลย แต่ถ้าหากทนกับสภาพปัญหาการจราจรนี้ได้ก็คงไม่เป็นไร
ถึงแม้โครงการรถคันแรกจะดูดีและช่วยให้คนหลายคนที่ยังไม่เคยมีรถได้สมใจหวัง แต่รัฐบาลก็ลืมมองถึงปัญหาที่จะตามมากับปริมาณรถที่มากขึ้น โดยนางสร้อยทิพย์ ก็กล่าวถึงการแก้ปัญหาจราจรไว้ว่า “การแก้ปัญหาระยะยาว ต้องผลักดันโครงการขนส่งสาธารณะ รวมถึงระบบรางให้เป็นรูปธรรมและครอบคลุมทั่วพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนเกิดความสะดวกที่จะทิ้งรถไว้บ้านและเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัดได้อย่างเห็นผล”
แต่ก็คงเป็นเพียงลมผ่านไปเบาๆเท่านั้น เพราะรัฐบาลก็ทุ่มสุดตัวในการโปรโมตโครงการรถคันแรก ที่จะช่วยพอกพูนปัญหาการจราจรให้แย่ยิ่งไปอีก คงอาจเพราะรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลอกให้ประชาชนซื้อรถ แล้วก็ถีบราคาน้ำมันให้สูงขึ้น กลายเป็นว่าผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับรัฐบาลแบบแนบเนียนนั่นเอง