เป็นเรื่องน่าวิตกขึ้นทุกวัน สำหรับปัญหาเยาวชนของชาติที่นับวันมีแต่จะดิ่งลงเหว ยิ่งข่าวหน้าหนึ่งเกือบทุกวันต้องมีคดีเกี่ยวกับเยาวชน แล้วมันถึงเวลาหรือยังที่พวกผู้ใหญ่จะเข้ามาทำความเข้าใจและใส่ใจดูแลแก้ไขปัญหาวัยรุ่นที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต
ปัญหาน่าห่วงของวัยรุ่น
จากการเปิดเผยของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ที่ออกมาพูดถึงสถานการณ์วิกฤตของวัยรุ่นไทย ที่พบว่าปัญหามีตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงปัญหาใหญ่ที่เรื้อรังมานาน อย่างปัญหาที่ใครหลายคนไม่นึกเมื่อเด็กไทยส่วนใหญ่ไม่กินอาหารเช้า ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความคิดที่ว่าอาหารมื้อเช้าไม่ได้สำคัญและคิดว่าน่าจะช่วยลดความอ้วนได้หากกินน้อยมื้อลง แต่ความจริงแล้วการไม่กินอาหารเช้าจะส่งผลต่อสมาธิและประสิทธิภาพการเรียน เนื่องจากอาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดและจำเป็นต่อร่างกาย เพราะถ้าหากมีพลังงานไม่เพียงพอจะทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนล้า เหนื่อย สารอาหารในเซลล์สมองลดลง สูญเสียสมาธิในการเรียนเพราะความหิว
ค่านิยมสวยผอม โดยมีวัยรุ่นถึง 1 ใน 3 คิดจะใช้ยาลดความอ้วนและทำศัลยกรรม ก็เคยมีข่าวที่เป็นอุธาหรณ์สอนใจหลายครั้งสำหรับวัยรุ่นที่กินยาลดความอ้วนจนเสียชีวิต หรือศัลยกรรมเติมอีกนิดแต่งอีกหน่อยจนหน้าเน่าเพราะซิลิโคนไม่ได้มาตรฐานหรือแม้กระทั่งดัดฟันแฟชั่นก็เคยมีวัยรุ่นต้องสังเวยชีวิตไปเพราะความอยากสวยนี่เอง อีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือวัยรุ่นไทยส่วนมากมีอาการซึมเศร้าและหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาจเป็นอาการเริ่มแรกสู่การฆ่าตัวตายได้ ดังที่ช่วงหลังมีข่าวว่านักศึกษามหาวิทยาลัยจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายอยู่ค่อนข้างบ่อยทีเดียว นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ราชนครินทร์ก็มองว่าเรื่องของการเรียนดูเป็นเรื่องที่น่ากดดันและสร้างความเครียดให้กับวัยรุ่นมากที่สุด
“ความเครียดเรื่องการเรียนก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะมีส่วนทำให้เด็กสมัยนี้ก้าวร้าวมากขึ้นและมีความสุขกับตัวเองน้อยลง คือถ้าเป็นเด็กสมัยก่อน จะมีเวลาวิ่งเล่นอยู่ในสนามหญ้า ทำกิจกรรมอยู่กับเพื่อนๆ หยอกล้อมีความสุขตามวัย พอเด็กไม่ได้ปลดปล่อยความสนุกตามวัย ก็อาจจะทำให้เขาเครียดง่าย”
และปัญหาน่าห่วงอีกเรื่องคือ เด็กไทยใช้เวลาว่างไม่ค่อยเป็นประโยชน์ จากข้อมูลของสสส.เผยว่า เด็กไทยใช้เวลาดูโทรทัศน์ คุยโทรศัพท์ เล่นอินเทอร์เน็ตรวมกันกว่า 7 ชั่วโมง/วัน ที่น่าสนใจคือ เด็กจำนวนกว่าร้อยละ 50 นิยมดูละครโทรทัศน์ ทีมงาน Live จึงได้สอบถามเพิ่มเติมไปยัง ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาวิชาการ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน (สสค.) ว่าจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างไร
“ต้องเปิดพื้นที่ให้เยอะๆ แล้วดึงพ่อแม่เข้ามาร่วมด้วย อย่างกิจกรรมในโรงเรียนทั้งบำเพ็ญประโยชน์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา ถ้าเด็กสามารถมีพื้นที่ทำกิจกรรมปัญหาก็จะลดลงไปเยอะ ซึ่งมันเป็นปัญหาที่ผูกเกี่ยวกันไปหมด ทางแก้ง่ายๆคือการเปิดโอกาสให้เด็กมีที่ยืน”
ฟันแล้วท้อง ท้องแล้วทิ้ง
ปัญหาใหญ่ที่มีมาช้านานซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปีจนน่าตกใจและต้องเร่งแก้ไขเป็นเรื่องแรกๆคือเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น ที่ตามเทศกาลสำคัญอย่างวาเลนไทน์ วันลอยกระทง มักมีโพลออกมาชี้เป้าทุกครั้งว่า เด็กวัยรุ่นมักจะชักชวนกันไปมีเพศสัมพันธ์ พวกผู้ใหญ่ก็รีบออกมาแถลงนโยบาย ป้องกันกวดขัน ไม่ให้เด็กออกจากบ้านหลังสี่ทุ่ม ห้ามอย่างนั้นห้ามอย่างนี้ แต่พอจบเทศกาลการกวดขันเรื่องนี้ก็ซาไปไม่ต่างอะไรจากวัวหายล้อมคอก แล้วสุดท้ายปัญหาก็ยังรุงรังอยู่เหมือนเดิม ทั้งที่หน้าหนังสือพิมพ์ปรากฏให้เห็นข่าวรายวันอยู่บ่อยๆ
“นักเรียนเพชรบุรีเปิดม่านรูดสวิงกิ้งเด็กราชบุรีไม่น้อยหน้านัวในโรงหนัง”
“คลิปวีดีโอนร.ชายดูดหน้าอกเนตรนารีว่อนเน็ต”
“วัยรุ่นไทย โจ๋งครึ่ม กอดจูบนัวเนีย กลางสวนสาธารณะ”
จากข่าวเหล่านี้ที่คิดว่าเป็นเรื่องเลวร้ายแล้ว ยังพบข่าวที่เลวร้ายมากกว่านี้อีกหลายเท่าสำหรับเรื่องของเด็กที่ทำแท้งซึ่งพักหลังเริ่มเบาบางลงไป แต่กลับพบว่ามีปัญหาของเด็กทารกถูกทิ้งเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งก็สอดคล้องกับงานสำรวจหลายๆชิ้นที่ว่า วัยรุ่นชายไม่นิยมพกถุงยางอนามัย และส่วนใหญ่ไม่ชอบใส่ถุงยางอนามัยขณะร่วมเพศ รวมถึงข้อมูลที่สสส.ออกมาเผยว่า “ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เด็กและเยาวชนเข้าสู่การมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 24 ในปี 2551 เป็นร้อยละ35” และยังมีข้อมูลจากศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านเพศภาวะและสุขภาพสตรีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุเพิ่มเติมอีกว่า “แม่วัยใสส่วนใหญ่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุ 15 ปี และตั้งครรภ์ที่อายุน้อยที่สุดคือ 11 ปี”
วัยรุ่นเลือดร้อน นิยมใช้ความรุนแรง
กระฉ่อนไปทั่วสื่อนอกเลยทีเดียวกับคลิปวิดีโอ วัยรุ่นชายเอาเก้าอี้ฟาดหญิงสูงวัย ที่ไม่รู้ว่ไปทำอะไรให้ไม่ถูกใจหรือโกรธเคืองอะไรกันปานนั้น ถึงได้บ้าเลือดเอาเก้าอี้ฟาดหน้าคุณป้าเขาไปเต็มเปา หรืออีกหลายครั้งที่วัยรุ่นใช้ความรุนแรงเข้ามาเป็นตัวตัดสินในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการต่อยเตะกัน หรือแม้กระทั่งเด็กผู้หญิงตบตีกันก็มี จนเห็นแววว่าวัยรุ่นนักเลงหลายคนน่าจะไปเอาดีทางต่อยมวยเสียเลย
จากการใช้ความรุนแรงที่ผ่านมาทุกครั้งก็สร้างความสูญเสียไปไม่น้อยกับทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะเรื่องของศึกสถาบันของเด็กอาชีวะที่มักจะเปิดศึกกันโดยไม่สนใจเวลาและสถานที่ทำให้คนบริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อมาหลายครั้ง ซึ่งสาเหตุที่ทำให้วัยรุ่นไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ และควบคุมอารมณ์โมโหของตนเองไม่ได้ นายแพทย์ทวีศิลป์ ก็อธิบายว่าเกิดจากสาเหตุหลักอยู่ 3 ประการ
“ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนในสังคมของเรา โดยเฉพาะนิสัยก้าวร้าว รุนแรง ขี้หงุดหงิด ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หรือแม้กระทั่งโรคซึมเศร้า ทั้งหมดทั้งมวลเกิดจาก 3 ปัจจัยหลักๆ ด้วยกันคือ 1.ตัวเด็กเอง 2.การเลี้ยงดูของครอบครัว และ 3.สังคม
ประการที่หนึ่ง ที่บอกว่ามีสาเหตุมาจากตัวเด็กเอง ก็มองได้หลายกรณีด้วยกัน อย่างเด็กประเภทที่ก้าวร้าว เอะอะก็ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา ที่เพิ่งออกข่าวว่ามีเด็ก 18-19 ปีใช้เก้าอี้ฟาดคนแก่เพราะทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นก็ด้วย เราก็ต้องมาดูว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไร เป็นเพราะความผิดปกติทางสมองของเขาหรือเปล่า เขาอาจจะมีความผิดปกติทางสุขภาพจิตอยู่แล้วตั้งแต่ยังเล็กแล้วไม่ได้รับการแก้ไข
ประการที่สองคือการเลี้ยงดูของครอบครัว เดี๋ยวนี้อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด เลยทำให้พ่อแม่หลายรายไม่มีเวลาดูแลลูกของตัวเอง เด็กก็เลยไม่ได้รับความรักและความอบอุ่นเท่าที่ควร ก็ต้องออกไปหาเอาจากข้างนอก พอหาไม่ได้ก็ไปเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น และวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการสร้างปัญหาให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจ หรือพอมาอยู่กับคนในสังคม อยู่กับเพื่อนแล้วเพื่อนไม่ตามใจก็ไม่พอใจ มีเรื่องชกต่อยกัน
ประการที่สามคือสังคม สภาวะแวดล้อมเด็กนี่แหละคือตัวการสำคัญอีกอย่างที่จะหล่อหลอมให้เขาเป็นไปในทิศทางที่ดีหรือแย่ ที่สงสัยกันว่าทำไมเด็กสมัยนี้ถึงความอดทนต่ำ นั่นก็เป็นเพราะสังคมหล่อหลอมให้เขาเป็นแบบนั้น สังคมให้สิ่งอำนวยความสะดวกแก่เขามากเกินไป มีเทคโนโลยีรวดเร็วทันใจ”
ต้นเหตุเด็กไทยทำไมชอบมีปัญหา
เหตุการณ์ทั้งหมดล้วนย่อมมีเหตุผลในตัวของมันเอง อย่างปัญหาเยาวชนของชาติที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้น แต่การรณรงค์แก้ปัญหาก็ยังไม่สามารถแก้ได้ในยะเวลาชั่วข้ามคืนซึ่งถ้าจะแก้ปัญหาให้ออกก็ต้องมองลึกไปยังต้นตอของปัญหาถึงจะสามารถแก้ได้ถูกจุด
“ครอบครัวคือรากฐานเลย เป็นต้นตอใหญ่ของปัญหา แล้วในปัจจุบันมีอัตราการหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้น เด็กไม่ได้อยู่กับพ่อ-แม่ ภูมิปัญญาเดิมๆในการเลี้ยงลูกมันหายไป กลายเป็นสมัยนี้เลี้ยงลูกด้วยเงิน ด้วยวัตถุ บางครอบครัวมีการกดดันลูกก็เครียด การอบรมจากครอบครัวมีผลเยอะ พ่อแม่บางคนเลี้ยงลูกแบบตามใจทำให้ขาดภูมิต้านทานในชีวิต แพ้ไม่เป็น ขอโทษไม่เป็น รับความผิดพลาดไม่ได้ซึ่งเด็กสมัยนี้เปราะบางทางอารมณ์มาก ทางครอบครัวจำเป็นต้องใส่ใจชีวิตประจำวันให้มากขึ้นก็มีการรณรงค์ทางสังคมเยอะ แต่มันก็ทำได้ยากที่จะให้พ่อแม่ปรับนิสัยในการเลี้ยงลูก” ดร.อมรวิชช์ กล่าว
นอกเหนือไปจากสาเหตุหลักที่ครอบครัวเลี้ยงลูกแบบผิดๆ อีกประการหนึ่งคือการที่เด็กไม่มีที่ยืนในสังคม เพราะระบบการศึกษาที่เปลี่ยนไปต้องแข่งขันกัน ต้องเกรดสูงๆถึงจะได้อยู่ในโรงเรียนที่ดี ซึ่งดร.อมรวิชช์ระบุว่าในแต่ละปีจะมีเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาถึงครึ่งหนึ่ง หากประมาณการแบบหยาบๆ เด็กนักเรียนหนึ่งรุ่นจำนวนหนึ่งล้านคน ไม่จบม.3 สองแสนคน ไม่จบม.6 สามแสนคน ไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยสามแสนคน ซึ่งจำนวนนักเรียนที่หลุดออกนอกระบบคือเด็กที่ส่วนมากออกไปสร้างปัญหาให้กับสังคมแทบทั้งนั้น
“พอเด็กถูกบีบ ต้องเรียนเก่ง ต้องสอบได้โรงเรียนดีๆ เค้าก็ไม่มีที่ยืนในสังคม และเด็กทุกคนก็ไม่อยากเป็นเด็กขี้แพ้ ทีนี้ก็เลยออกไปประกาศชัยชนะด้วยการลงมือทำในสิ่งผิด ก็ออกไปสร้างปัญหา ทั้งเล่นยา เป็นเด็กแว้น เข้าสู่เรื่องเซ็กซ์เป็นเด็กล่าแต้ม เล่นการพนัน คือเด็กทุกคนไม่ได้เกิดมาเลวแต่เป็นเพราะเค้าไม่มีที่ยืนในสังคม หากจะแก้โรงเรียนต้องเป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรับเค้า โรงเรียนรองรับด้วยความรักความเมตตา คอยดูแลให้กำลังใจจนกว่าจะเรียนจบ”
วันรุ่นยุคใหม่ “พ่อ-แม่รังแกฉัน”
สาเหตุใหญ่ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้สำหรับ ครอบครัว สถาบันพื้นฐานแรกและสถาบันหลักของเราที่เป็นสถานที่ปลูกฝังความคิด ความรู้สึก และหล่อหลอมสติปัญญาแรกเริ่มให้กับเรา ซึ่งถ้าครอบครัวใดมีพื้นฐานที่ดี มีความอบอุ่นให้เต็มที่ ลูกหลานในบ้านนั้นก็ย่อมประพฤติดี คิดดีไปด้วย แต่ในบางครั้งความรักของพ่อแม่ที่มีมากเกินไปก็เปรียบเสมือนดาบสองคมนั่นเอง
หากยังจำกันได้ คดีความที่ตกเป็นข่าวดังและมีการถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่อง แพรวา 9 ศพ สาวตีนผีอายุ 15 ปีที่ซิ่งรถไปชนกับรถตู้โดยสารอนุเสาวรีย์-รังสิต จนต้องมีคนสังเวยชีวิตให้เด็กนรกคนนี้ถึง 9 ศพ ซึ่งจนถึงปัจจุบันคดีความนี้ก็ยังไม่ถึงที่สุด ทั้งที่ความจริงเธอน่าจะเข้าไปนอนกินข้าวแดงในคุกไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอิทธิพลเงินและบารมีของพ่อแม่ที่เป็นโล่ป้องกันให้เธอยังได้ลอยหน้าลอยตาในสังคมอย่างสบายใจ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะบอกว่าพ่อแม่ก็มีส่วนผิดที่ซื้อรถเก๋งให้ลูกขับตั้งแต่อายุ 15 จนฆ่าคนตายไป 9 ศพ ทั้งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ
ตัวอย่างอีกคดีหนึ่งที่พ่อแม่รังแกฉันเมื่อลูกคนรวยพ่นพิษอีกแล้วกับคดีโจ๋มินิคูเปอร์ป้ายแดง ชนพลเมืองดี น.ศ.ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ขณะที่ลงไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนกันบนสะพานพระราม 9 ซึ่งโจ๋แสบรายนี้ก็มีอายุแค่ 18 ปี แต่ก็โฉบมินิคูเปอร์ไปเสยคนอื่นจนต้องบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทั้งสองคดีก็มีมูลเหตุที่ใกล้เคียงกันคือ การที่พ่อ-แม่หรือครอบครัวตามใจลูกจนเกินเหตุนั่นเอง ทั้งที่พ่อแม่น่าจะรู้ดีว่าวัยรุ่นขนาดนี้ยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอสำหรับการขับรถยนต์ ซึ่งถ้าพ่อแม่ฉุกใจคิดสักนิด เหตุการณ์ร้ายๆและการสูญเสียแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น
สุดท้ายเมื่อมองกลับมายังรากเหง้าของปัญหาก็พบว่าแท้จริงแล้วครอบครัวและสังคมต่างหากที่กดดันให้เด็กมีปมปัญหาและออกไปสร้างปัญหา จากการที่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้มีที่ยืน จากพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยเงินและวัตถุ ซึ่งตัวเด็กเองนั้นก็ไม่ได้อยากจะเลวตั้งแต่เกิดแต่ด้วยสิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นเป็นเบ้าหล่อหลอมให้พวกเขานั่นเอง ดังที่ดร.อมรวิชช์กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ที่เห็นว่าเด็กทำอะไรงี่เง่า ก็เพราะสังคมนี่แหละที่งี่เง่า !!”
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต