xs
xsm
sm
md
lg

โจอี้... "เจ้าแสงมณี" แสนงอน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นาทีนี้ ไม่ว่าหนุ่มๆ หน้าไหนก็อยากจะเพาะกล้าม ฟิตร่างเพื่อมาเป็นบอดี้การ์ดให้แก่เธอคนนี้กันทั้งนั้น “โจอี้-อรวิภา กนกนทีสวัสดิ์” ด้วยท่าทีงามสง่าในบท “เจ้าแสงมณี” บวกกับความแสบเล็กๆ ที่ฝากเอาไว้ในละครเรื่อง “ภูผาแพรไหม” ทำเอาหลายคนหลงรักปนหมั่นเขี้ยวเจ้าแสนงอนคนนี้กันไปเป็นแถว
 
และรับรองว่าจะยิ่งรักเธอมากขึ้นไปอีกเมื่อได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ที่จะชวนให้ลองหันมามองโลกในมุมที่สวยขึ้นและปรุงแต่งน้อยลง ผ่านมุมมองนักสังคมสงเคราะห์ เจ้าของตำแหน่งผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศคนนี้





เหมาะจะเป็น “เจ้า”
โห! (หัวเราะเขินๆ) มีคนพูดอย่างนั้นด้วยเหรอคะ ก็รู้สึกดีใจค่ะที่มีฟีดแบ็กว่ามีคนชอบละครที่โจอี้เล่นบ้าง ต้องขอบคุณทีมงาน ขอบคุณทุกคนเลยที่ให้โอกาส ได้เล่นละครเรื่องนี้ก็เหมือนได้พิสูจน์ตัวเองไปในตัวด้วยว่า เราก็มีความสามารถด้านการแสดงอยู่บ้างเหมือนกันนะ เพราะก่อนหน้านี้คนอาจจะมองว่าเป็นนางสาวไทย (ประจำปี 2552) ทำได้แค่ยิ้มหรือเปล่านะ (แล้วเธอก็ยิ้มปิดท้าย)

จริงๆ แล้วเรื่อง “ภูผาแพรไหม” ไม่ใช่ละครเรื่องแรกของโจอี้ เพราะโจอี้เคยเล่นซิตคอมเรื่องหนึ่งมาก่อนค่ะ แต่แค่ไปเล่นรับเชิญ เรื่อง “บริษัทสร้างสุข” นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้สึกตกหลุมรักการแสดง รู้สึกว่านี่คือศิลปะอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมาก การที่คนเราจะสร้างอารมณ์-ความรู้สึกขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง มันยากมากนะคะ พอมีโอกาสได้มาลองทำแบบเต็มๆ ตัวในละครเรื่องล่าสุดก็เลยรู้สึกดีใจมากเลยค่ะ
 
ตอนแรกๆ เครียดมาก คิดว่าตัวเองคงทำไม่ได้แน่ๆ เพราะได้เรียนการแสดงอยู่ประมาณ 3-4 คลาส คลาสละ 3-4 ชั่วโมง แค่นั้นเองค่ะ พอจะถ่ายแต่ละครั้งก็ต้องคอยโทร.ปรึกษาครูเงาะ (รสสุคนธ์ กองเกตุ) ตลอด ครูเขาก็ต้องใช้จิตวิทยาเยอะมากที่จะช่วยเรา มีคำหนึ่งที่จำได้ขึ้นใจเลย ครูเงาะบอกว่า ฉันไม่สามารถสอนให้คุณเป็นบางคนได้ แต่ว่าสามารถค้นบางคนที่อยู่ในตัวคุณได้ ทุกวันนี้เวลาแสดงก็พยายามจะดึงบางคนในตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุดค่ะ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมาก (เน้นเสียง)

ซีนแรกที่ถ่ายทำ จำได้ว่าตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นกว่าตอนเล่นซิตคอมครั้งแรกอีกค่ะ เพราะที่เล่นซิตคอมตอนนั้น เรายังไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ก็เลยไม่ได้เกร็งมาก แต่พอมาเป็นละครเต็มตัวเรื่องแรกจริงๆ ได้ลงเรียนการแสดงอย่างจริงจังแล้ว เราก็เริ่มรู้ว่าศาสตร์นี้มันมีรายละเอียดเยอะมาก จำได้ว่าซีนแรกที่ถ่าย เขาให้พูดประโยคเดียว แค่ “คุณแพรใส่ชุดนี้สวยจังเลยนะคะ” แต่แค่นั้นเรายังดูเกร็งมากๆ เลยค่ะ ลิ้นแทบจะพันกันเอง (หัวเราะเบาๆ) แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้
 
โชคดีที่บทเจ้าแสงมณีจะมีส่วนคล้ายโจอี้อยู่มากเหมือนกัน คือขี้น้อยใจคล้ายๆ กันค่ะ (ยิ้มตาหยี) จะดูเรียบร้อยหน่อย ขี้เล่นบ้างบางเวลา แล้วก็ค่อนข้างมีความเป็นผู้ญิ๊งผู้หญิงเหมือนกันเลย แต่การแสดงออกอาจจะต่างกันนิดหน่อย เพราะเจ้าแสงมณีจะค่อนข้างสำรวม เก็บความรู้สึกเก่ง เพราะถูกสอนมาให้ใช้ชีวิตแบบเจ้า ไม่ว่าจะโกรธยังไงก็กรี๊ดไม่ได้ ต้องใช้พ่นลมหายใจแทน ซึ่งตรงนี้ต่างกับตัวเรามากๆ อย่างฉากโดนพี่บอย (พิษณุ นิ่มสกุล) สาดน้ำ ถ้าเป็นตัวโจอี้เอง โดนแบบนี้ ต้องมีตอบโต้กลับไปบ้างแน่ๆ (รอยยิ้มเล็กๆ มุมปาก ตีความได้ว่าผู้หญิงหน้าหวานๆ คนนี้ก็มีมุมแก่นเซี้ยวในตัวอยู่ด้วยเหมือนกัน)




อยากมีสังกัด
ตอนนี้โจอี้ยังไม่ได้เซ็นสัญญากับที่ไหนค่ะ ยังเป็นนักแสดงไร้สังกัดอยู่ แต่แค่มีพี่ไก่ (วรายุทธ มิลินทจินดา) ช่วยดูแล-รับงานให้ ก็ต้องขอบคุณพี่เขาจริงๆ ที่ช่วยดูแลโจอี้ แล้วก็ให้โอกาสให้ได้แสดงเรื่องนี้ พี่ไก่ใจดีมาก ขนาดฉากดราม่าหนูเค้นน้ำตาอยู่นานมาก ยังร้องไม่ได้ แต่พี่ไก่ก็ไม่ว่าอะไรสักคำ รู้สึกนับถือพี่เขามากจริงๆ ค่ะ ตอนนี้ก็ตู่ไปแล้วว่าเป็นเด็กพี่เขา ใครมาถามก็บอกเป็นเด็กพี่ไก่ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าพี่เขาจะอยากรับเราเป็นเด็กหรือเปล่านะ (ยิ้มขี้เล่น)
 
พูดเล่นค่ะ จริงๆ แล้วโจอี้ก็ไม่อยากถูกมองว่าเราเป็นเด็กใครนะ เพราะสมัยนี้อาจจะไม่เหมือนสมัยก่อนแล้วที่ทุ่มเทปั้นคนคนหนึ่งเพื่อให้เป็นดาวดวงหนึ่งอย่างจริงจังไปเลย แต่สมัยนี้ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับโอกาสที่เข้ามามากกว่า ถ้าคุณแคสต์บทผ่านก็ได้เล่น แคสต์ไม่ผ่านก็ไม่ได้เล่น วัดกันจากความสามารถมากกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่านักแสดงที่มีสังกัดอาจจะมีโอกาสได้งานมากกว่า เพราะมีคนสนับสนุน มีคนป้อนงานให้สม่ำเสมอ แต่ก็แล้วแต่ผู้ใหญ่ค่ะ ถ้าเราได้เซ็นบ้างก็คงดีเหมือนกัน (ยิ้ม) คงต้องรอจังหวะและโอกาสจริงๆ ค่ะ  

อย่างตอนเป็นนางสาวไทย ตอนนั้นเราได้ตำแหน่งแล้ว แต่ก็ไม่ได้ออกสื่ออะไรมากมายเลย สาเหตุหนึ่งเพราะเวทีนั้นสังกัดช่อง 9 ช่องทาง ส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันกับหน่วยงานราชการมากกว่า หนทางที่จะมาสู่งานในวงการก็เลยแทบไม่มีเลย ซึ่งมันก็ทำให้โจอี้เรียนรู้ที่จะไม่คาดหวังอะไรมากมายจากแต่ละจุด แค่คิดว่าเมื่อมีโอกาสเข้ามา เราก็ทำให้ดีที่สุด แค่นั้นก็พอแล้ว ถามว่าหวังบ้างไหมที่จะได้เป็นนางเอกเต็มตัว ตอบตรงๆ ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากมากค่ะ ตรงไปไหม (หัวเราะร่วน)
 
จากที่เห็นพี่แต้วแสดงเรื่องนี้ รู้สึกเลยว่าบทนางเอกมีความซับซ้อนทางอารมณ์สูงมากๆ ถ้าเทียบกับบทรองที่เราเล่นอยู่ ส่วนใหญ่จะออกแนวยิ้มๆ มีมิติของตัวละครน้อยกว่าเยอะ เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสให้ลองบทที่ท้าทายมากขึ้น โจอี้ก็อยากลองเหมือนกันค่ะ แต่ถามว่าตอนนี้คิดจริงๆ จังๆ เลยไหมว่าจะต้องเป็นนางเอกให้ได้ ไม่เคยคิดเลยค่ะ เพราะโจอี้แค่อยากเป็นนักแสดง และการเป็นนักแสดงก็ไม่ได้วัดที่ว่าต้องรับบทนางเอกถึงจะเรียกว่านักแสดง แต่คือการเล่นบทที่เรารับให้ออกมาดีที่สุด เอาเท่านี้ก่อนดีกว่า แค่นี้ก็ยากมากแล้ว (ท่าทีของเธอดูนอบน้อมถ่อมตัวอย่างเห็นได้ชัด)



ไม่อยากชิงดีชิงเด่น
เชื่อว่าทุกคนที่ได้โอกาสมาทำงานตรงนี้ คงอยากอยู่ในวงการให้ได้นานๆ เหมือนๆ กัน โจอี้เองก็เหมือนกันค่ะ แอบหวังเอาไว้ไกลๆ ว่าอยากอยู่จนได้เป็นเบื้องหลัง แต่ระหว่างทางที่จะไปถึงจุดนั้นได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เลยค่ะ โจอี้ยังต้องพัฒนาฝีมือด้านการแสดงให้ดีขึ้นกว่านี้อีกเยอะ ต้องไม่หยุดอยู่กับที่หรือประมาทว่าตัวเองเล่นดีแล้ว ต้องมองทุกคนให้เป็นครู ที่สำคัญคือต้องเคารพบท เคารพพี่ๆ เบื้องหลัง และเพื่อนร่วมงานทุกคนด้วย เพราะตัวเราคนเดียวคงไม่สามารถทำให้ทุกอย่างออกมาเป็นละครหนึ่งเรื่องได้แน่ๆ 

 
โจอี้ว่าคนที่จะทำงานในวงการนี้ได้ต้องอึดจริงๆ ค่ะ แล้วก็ต้องมีใจรักด้านการแสดง เคารพบทที่เราได้รับ ที่สำคัญคือต้องทำงานเป็นทีม ถ้าได้อยู่ในกระบวนการถ่ายทำจะรู้เลยว่าทุกคนทำงานหนักกันจริงๆ ทั้งผู้กำกับ ช่างกล้อง ไฟ ฝ่ายแสง ซาวนด์ พอนับถอยหลัง 5-4-3-2 แอ็กชั่น ทุกคนต้องหายใจพร้อมกัน คือถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งหายใจผิดไปแค่หนึ่งจังหวะปุ๊บ คัต! เอาใหม่หมด
 
ถ้าดูผ่านหน้าจอทีวี ผู้ชมอาจจะเห็นแค่ตัวละครแค่ไม่กี่ตัว แต่ความจริงแล้ว คนเบื้องหลังทำงานกันเยอะมาก เป็นร้อยๆ คนเลยค่ะ ทุกคนเต็มที่กับงานเพื่อดันให้พวกเรานักแสดงได้เป็นที่รู้จัก รู้สึกว่าอาชีพนี้มันไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ ไม่ใช่แค่ความสนุกแบบฉาบฉวย แต่เป็นความรัก ความสามัคคีที่ขับเคลื่อนให้สิ่งเหล่านี้ดำเนินต่อไปได้ มันคือการทำงานที่มหัศจรรย์มากจริงๆ ค่ะ

ทุกวันนี้โจอี้ก็พยายามเรียนรู้จากรุ่นพี่หลายๆ คนค่ะ อย่างพี่แอน ทองประสม ถึงยังไม่เคยทำงานร่วมกัน แต่พี่เขาคือไอดอลทางการแสดงของหนูเลย และเชื่อว่าคงเป็นแบบให้แก่หลายๆ คนในวงการอีกเยอะ พูดง่ายๆ คือพี่เขาอยู่บนหิ้งแล้วค่ะ (ยิ้ม) อีกหนึ่งคนที่ประทับใจมากคือพี่จอย รินลณีค่ะ ก่อนจะได้ทำงานร่วมกัน เราก็ปลื้มพี่เขาระดับหนึ่งอยู่แล้ว เคยดูผลงานพี่เขาหลายเรื่อง ล่าสุดที่เล่นเป็นคุณนายที่สอง (ละครเรื่องมงกุฎดอกส้ม) พี่เขาก็สุดยอดมาก แล้วยิ่งได้มาเจอตัวได้คุยกันจริงๆ ยิ่งประทับใจ คือปกติแล้วพี่จอยเป็นคนที่น่ารักและอ่อนหวานมาก แต่พอแสดงเป็นตัวละครปุ๊บ เขาจะเปลี่ยนเป็นอีกคนไปเลย ไม่รู้ไปเอาพลังมาจากไหน เก่งจริงๆ ค่ะ
 
หรือแม้กระทั่งพี่แต้วเอง โจอี้ก็นับถือฝีมือการแสดงของเขา ถามว่ากดดันไหม กลัวถูกเปรียบเทียบบ้างไหม... ไม่เลยค่ะ อยากบอกว่าโจอี้เป็นคนมองโลกสวยมากนะ (หัวเราะเบาๆ) คือไม่เคยมองว่าเราจะต้องชิงดีชิงเด่นกับใคร ไม่เคยคิดเรื่องเปรียบเทียบอยู่ในหัวเราเลย ไม่เคยคิดว่าวันนี้มีซีนกับพี่แต้ว ฉันจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ (ทำน้ำเสียงเลียนแบบตัวร้ายในละคร) ความรู้สึกเดียวที่มีคือดีใจที่ได้ร่วมงานกันค่ะ และเราเองก็พยายามทำส่วนของตัวเองให้ออกมาดีที่สุด เท่านั้นเอง (เธอยิ้มหวานๆ ปิดท้าย)




 
ชายล้วนชวนทะลึ่ง!
ในกองฯ ภูผาแพรไหมจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มค่ะ กลุ่ม “โรงเรียนชายล้วน” กับกลุ่ม “โรงเรียนหญิงล้วน” (ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาตอบรับด้วยสีหน้างงๆ จากนั้นจึงเริ่มไขปริศนาให้ฟัง) โรงเรียนหญิงล้วนที่ว่าก็จะมีพี่จอย (รินลณี) พี่แต้ว (ณฐพร) แล้วก็โจอี้ค่ะ ส่วนโรงเรียนชายล้วนก็มีพี่บอย (พิษณุ) พี่ปอ (ทฤษฎี) แล้วก็พี่เป๊ก (เปรมณัช) เวลาหญิงล้วนอยู่ด้วยกันก็จะคุยกันสนุกตามประสาผู้หญิงค่ะ อย่างแต้วเขาจะชอบชวนดูเพลงเกาหลีค่ะ ส่วนโจอี้ก็จะมีของเล่นผู้หญิงๆ ติดมาทำงานด้วย แต้วเขาก็ชอบมาค้น-มาเล่นด้วยกัน หรือไม่ก็คุยเรื่องออกกำลังกาย 

แต่ถ้าอยู่กับกลุ่มโรงเรียนชายล้วนเมื่อไหร่ก็จะเป็นอีกแนวหนึ่งเลยค่ะ โดนแกล้งตลอด โดยเฉพาะพี่บอย เวลาเข้าฉากด้วยกันทีหนึ่งนี่ ต้องควบคุมสมาธิดีๆ ค่ะ ไม่งั้นหลุดแน่ เขาจะชอบทำอะไรให้เราหัวเราะตลอด ทำงานด้วยกันทุกอย่างดีหมด คอยสอนน้องตลอดเลย ต้องจังหวะแบบนี้นะ มุมกล้องแบบนี้ แต่ยากตรงที่ต้องกลั้นหัวเราะนี่แหละค่ะ (ยิ้ม) หรืออย่างพี่ปอ พี่เขาเป็นพระเอกแถวหน้าก็จริง แต่เขาไม่เก๊กเลยค่ะ ไม่เคยขีดเส้นคั่นว่าเราเป็นนักแสดงน้องใหม่เลย แถมยังรวมหัวกับพี่บอยแกล้งเราตลอดด้วย (น้ำเสียงโอดครวญ)

 
อาจจะเพราะเป็นน้องใหม่ในกองด้วย และเราคงดูเป็นคนน่าแกล้งด้วยมั้งคะ (เกาหัว) เราไม่ค่อยตอบโต้มาก บางทีก็ทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ เขาก็เลยยิ่งสนุกสนานกันใหญ่ คือปกติคุณแม่จะไปกองถ่ายด้วยตลอด พอวันไหนไม่ไป ก็แจ็กพอตวันนั้นแหละค่ะ โดนหนักเลย (ยิ้ม) พี่ๆ เขาชอบแหย่เราด้วยการพูดมุกทะลึ่งในกองค่ะ ซึ่งโจอี้ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ (ยิ้ม) ฟังไม่ได้เลยค่ะ (ทำหน้าเขิน) พี่เขาชอบมาพูดให้เราฟัง บอกโจอี้ต้องรับให้ได้นะ ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นคนไม่แข็งแรงบนโลกใบนี้ ซึ่งโจอี้ว่ามันไม่จริง (หัวเราะแก้เขิน) เพราะแม่โจอี้ก็มีลูกตั้ง 4 คน แต่ก็ไม่ได้ต้องมานั่งพูดทะลึ่งตึงตังอะไรกันเลย 

 
พี่บอย-พี่ปอจะชอบบอกให้โจอี้ลองพูดภาษาพ่อขุนรามกับพี่ๆ ดูซิ เราก็เฮ้ย! มันไม่ได้นะ คือพูดกับเพื่อนน่ะพูดได้ แต่นี่เขาเป็นพี่เรา แล้วจะให้พูดต่อหน้าพี่ไก่ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ด้วย ยิ่งไปกันใหญ่เลย คือเราไม่ได้แอ๊บแบ๊วนะคะ แต่จะถูกเลี้ยงมาแบบเรียบร้อยนิดหนึ่ง แล้วที่บ้านชอบทำบุญด้วย พอทุกคนเห็นเราเป็นแบบนี้ก็เลยถูกล้อ ถูกเรียกว่าเป็น “แม่ชี” ไปเลย

 
คือปกติโจอี้จะชอบอยู่บ้านค่ะ ว่างๆ ก็จะชอบไปเดินซื้อต้นไม้กับคุณแม่ อาจจะเพราะติดนิสัยมาจากการอยู่ในไร่ในสวนตั้งแต่ตอนอยู่ต่างจังหวัดค่ะ บางอารมณ์ก็จะชอบชอปปิ้งมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเน้นเข้าวัดฟังธรรม ชอบฟังธรรมของหลวงพ่อสมชาติ ธัมมโชโตค่ะ เคยไปบวชชีพราหมณ์ที่สระบุรีตอนปีใหม่ด้วย บ้านหนูชอบไปวัดกันทุกช่วงเทศกาลอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วก็มีสวดมนต์ข้ามปีด้วย ดูจริงจังเนอะ (ยิ้มเย็นๆ) 

 
เรื่องธรรมะ ถ้าเกิดเรามองว่ามันไกลตัว มันก็จะไกลมาก แต่ถ้าลองมองให้ใกล้ตัว ก็จะใกล้มากเหมือนกันค่ะ เพราะเราไม่ได้วัดจากแค่ว่า ธรรมะคือการเข้าวัด เราสามารถมีชีวิตทางโลกไปพร้อมๆ กับการปฏิบัติธรรมได้ เวลาใช้ชีวิตทางโลก เราก็ใช้ปกติ ส่วนเวลาสวดมนต์ ไหว้พระ น้อมนำหลักธรรมมาสงบจิตสงบใจ มันช่วยให้เราผ่อนคลายลงได้เยอะเลย สามารถแก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตด้วยธรรมะได้ ทำให้จิตใจดี ผ่องใส อยากทำเรื่องดีๆ ให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

โจอี้มีความเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ค่ะ คิดว่าตอนที่มีลมหายใจอยู่ก็ควรจะสะสมบุญเอาไว้ เพื่อให้เมื่อตายไป จะได้อยู่ในที่ที่อยากจะอยู่ ไม่ต้องตกนรก ถ้าว่างๆ ก็จะพาตัวเองเข้าวัดค่ะ รู้สึกว่าปฏิบัติในวัดแล้วช่วยให้มีสมาธิมากกว่า ฟุ้งซ่านน้อยลง อยู่กับลมหายใจตัวเองได้มากขึ้น ส่วนเรื่องถูกล้อว่าเป็นแม่ชีหรือเชย โจอี้ไม่รู้สึกอะไรนะ (ยิ้ม) รู้สึกขำๆ เฉยๆ ค่ะ เวลาใครถามอะไรเกี่ยวกับธรรมะ ก็จะรู้สึกดีที่เราสามารถให้คำแนะนำคนอื่นได้บ้าง




เข้าเรือนจำ บุกสลัม ทำมาแล้ว!
แต่โจอี้ก็ไม่ได้เป็นคนเรียบร้อย นั่งธรรมะธัมโมอยู่กับบ้านอย่างเดียวนะ จริงๆ แล้วก็เป็นคนลุยๆ ด้วยเหมือนกัน (เธอชิงออกตัวก่อนที่จะถูกตั้งข้อสงสัยเสียอีก ว่าแล้วก็เริ่มเล่าประสบการณ์เหล่านั้นให้ฟัง) อย่างช่วงที่เรียนคณะสังคมสงเคราะห์อยู่ ตลอด 3 ปีครึ่ง เราต้องฝึกงาน ต้องไปคุก ไปสลัม แล้วก็ตอนปฏิบัติภารกิจเป็นนางสาวไทย ก็เคยไป 3 ชายแดนภาคใต้มาแล้วนะ 

 
เรียนเรื่องสังคมสงเคราะห์ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเรียนเกี่ยวกับอะไร แจกของหรือเปล่า (ยิ้ม) ต้องบอกว่าที่โจอี้เลือกคณะนี้เพราะตั้งใจจะทำบุญด้วยแรงกายและแรงใจ ตอนไปติวสอบตรงประทับใจคำพูดหนึ่งของรุ่นพี่มาก บอกว่าคณะของเราคือ การช่วยเหลือเขาเพื่อให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งเป็นแนวคิดของพ่อหลวงของเรา ก็เลยเลือกคณะนี้เลยค่ะ 

 
อาจารย์จะเน้นเสมอว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิ มีโอกาส มีความรู้สึก มีทุกอย่างเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าจะเคยทำผิดพลาดมาแล้ว เขาก็สามารถจะกลับมาเป็นคนดีได้ ถ้าเกิดสังคมให้โอกาส เราก็ต้องลองเรียนรู้จิตใจเขาดู ไปช่วยบำบัด ซึ่งการบำบัดก็จะมีขั้นตอนหลากหลาย อย่างตอนฝึกงานอยู่ โจอี้ก็ไปดูงานในเรือนจำ ชวนเขาทำกิจกรรมนันทนาการในนั้น ได้ไปดูแล้วรู้สึกเลยว่าโลกที่เราเคยมองมันแคบมากๆ เคยวาดภาพไว้ว่าคนในเรือนจำจะต้องน่ากลัว แต่มันไม่ใช่เลย เขาก็เหมือนพวกเรานี่แหละค่ะ เพียงแต่เขาอาจจะทำผิดไปเท่านั้นเอง ก็อยู่ที่สังคมว่าจะให้โอกาสเขากลับตัวมากน้อยแค่ไหน 

 
ที่รู้สึกประทับใจมากที่สุดในชีวิตคือตอนที่ได้เป็นตัวแทนนางสาวไทย ไปให้กำลังใจทหาร ตำรวจ และน้องๆ ที่อยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ค่ะ ตอนนั้น พอได้ตำแหน่งปุ๊บ เราก็คิดไว้แล้วว่าอยากใช้เวลา 1 ปีเต็มในการให้คืนสู่สังคม โจอี้ไปงานการกุศลทุกงานเลย จนมีคนติดต่อมาให้เราไปมอบกำลังใจให้คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราก็ตัดสินใจไปเลยค่ะ ตอนนั้นไม่บอกคุณแม่ด้วยนะว่าไปที่ไหน เพราะถ้าบอก เขาคงไม่ให้ไปแน่นอน พี่ที่ดูแลเราก็ถามว่าแกจะไปหรือเปล่า ฉันไม่อยากไปนะ แต่พอเห็นเราตั้งใจมากว่าจะไป พี่เขาก็เลยฮึดขึ้นมาแล้วก็ไปเป็นเพื่อน

 
งานวันนั้นจัดที่โรงแรมค่ะ ไปมอบรางวัลเยาวชนดีเด่น มอบทุนการศึกษาให้น้องๆ ตอนไปถึง เห็นเลยค่ะว่าร้างมาก แทบไม่มีคนเลย คิดดูว่าน้องๆ เห็นเราแล้วเขาร้องไห้เลย ดีใจที่มีคนไปหา เพราะน้องๆ เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้มีดาราบอกว่าจะไป แต่สุดท้ายก็ไม่ไป ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าโดนทอดทิ้ง (กะพริบตาปริบๆ) หรืออย่างพี่ๆ ทหาร ตอนนั้น โจอี้ก็เข้าไปหาในบังเกอร์ของพี่ๆ เขาเลย ก็รู้สึกดีใจมากค่ะที่ได้ไปให้กำลังใจคนในพื้นที่ ดีใจที่รอยยิ้มของเรากับคำว่า “นางสาวไทย” สามารถทำให้พวกเขามีความหวังขึ้นมาได้บ้าง ทั้งๆ ที่เราไม่ใช่คนดังอะไร ก็ดีใจที่ได้ใช้ตำแหน่งตอนนั้นทำให้คนมีความสุขได้
 

พอไปถึงแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมคนจังหวัดอื่นๆ ถึงไม่กล้าไปเที่ยวที่นั่นแล้ว เพราะมันเงียบมากและร้างมาก แต่คนที่นั่นเขาก็ใช้ชีวิตกันปกตินะคะ ส่วนตัวแล้วก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังไงเหมือนกัน เพราะสเกลมันใหญ่มาก ไม่ใช่ความรับผิดชอบของประชาชนอย่างเราที่จะมาแก้ไขอะไรได้ อาจจะต้องอาศัยหน่วยงานของภาครัฐที่จะมาสร้างความมั่นใจตรงนี้ให้ ก็เลยไม่โทษคนที่ไม่ไปเที่ยวที่นั่น แล้วก็ไม่โทษปัญหาที่เกิดขึ้นที่นั่น
 
มันเป็นเรื่องซับซ้อนค่ะ ต้องอาศัยเวลา ต้องอาศัยความทุ่มเทของคนที่จะลงมาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง ให้คนที่นั่นรู้สึกว่าเขาก็คือคนไทย คือพี่น้องของเราเหมือนกันนะ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้เขารู้สึกว่าเป็นคนที่ถูกทอดทิ้ง (ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้กำลังพูดกับเรา แต่กำลังพยายามสื่อสารไปถึงใครสักคนอยู่)




ผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศ
ช่วงที่ได้ตำแหน่งนางสาวไทย (ประจำปี 2552) ใหม่ๆ ถูกเรียกด้วยคำนี้ตลอดเลยค่ะ ได้ยินแล้วอยากจะบอกว่า “ไม่จริงอะ” (หัวเราะ) แต่ก็ปฏิเสธออกไปไม่ได้ค่ะ ต้องให้เกียรติมงกุฎ ให้เกียรติคณะกรรมการที่อุตส่าห์เลือกเรา แต่ถามว่าตัวเองมั่นใจไหมว่าฉันคือผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศ ไม่เลยจริงๆ ค่ะ และที่โจอี้รวบรวมความกล้ากรอกใบสมัครได้ก็ไม่ใช่เพราะตัวเองนะคะ แต่เป็นเพราะอยากทำให้ฝันของคุณแม่เป็นจริง

ถ้าลองไปสัมภาษณ์นางสาวไทยรุ่นก่อนๆ บางคนอาจจะบอกว่าเป็นความฝันตั้งแต่ตอนเด็กๆ อยากใส่มงกุฎ (ยิ้ม) แต่สำหรับโจอี้ โจอี้ทำตามความฝันคุณแม่ค่ะ คุณแม่ชอบนางงามมาก ชอบถึงระดับคลั่งไคล้เลยแหละ (หัวเราะเบาๆ) บอกลูกทุกคนว่าอยากให้เป็นนางสาวไทยให้ได้นะ แล้วครอบครัวโจอี้มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน โจอี้เป็นคนที่ 2 พี่สาวคนโตกับน้องสาวคนที่ 3 ก็ไม่ใช่คนเรียบร้อยมาก ก็ไม่น่าจะเหมาะ ส่วนน้องคนเล็ก โจอี้ว่าเขาหน้าตาสวยสุด แต่อายุยังไม่ถึง แถมเล่นกีฬาจนตัวดำเมี่ยมเลย (ยิ้ม) ก็เลยเหลือเราคนเดียว เลยลองดู ถือว่าได้ทำหน้าที่ลูกกตัญญูแล้วหนึ่งอย่างค่ะ (หัวเราะ)

ตอนก่อนประกวดทีแรก ถึงกับทะเลาะกับคุณแม่เลยนะ เพราะเราเคยสมัครเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์มาก่อน ไปลองสมัครเล่นๆ เพราะคุณแม่บอกให้ไปชิมลางดูก่อน ปรากฏว่าไม่เข้ารอบตั้งแต่แรกเลย ไปถึงเราตัวเล็กสุดเลย เราก็เลยคิดว่ามันไม่ใช่ทางของเราแล้วล่ะ อีกอย่างเราไม่อยากใส่ชุดว่ายน้ำด้วย เพราะไม่มีอะไรจะเอาไปโชว์ค่ะ (หัวเราะ) แต่เวทีนางสาวไทย ไม่ต้องสวมชุดว่ายน้ำ ก็เลยตัดสินใจลองดูอีกทีตามความต้องการของคุณแม่ แล้วก็ได้ตำแหน่งมาแบบงงๆ



ทันทีที่ถูกเรียกว่านางสาวไทย รู้สึกกดดันมากเลยค่ะ เพราะตอนนั้นอายุ 20 เอง ตัวเราเองก็ยังไม่นิ่งเลย ยังแอบเครียดว่าคนอื่นเขาจะเชื่อไหมว่าเราคือตัวแทนประเทศไทย ไม่อยากให้ภาพลักษณ์ออกมาไม่ดี มีครั้งหนึ่งต้องไปพรีเซนต์ผ้าไทยที่ญี่ปุ่น ต้องเดินตลอดเวลา วันหนึ่งตระเวนไป 7 เวทีได้ แล้วชุดไทยก็หนักมาก แล้วความรู้สึกเราก็หนัก เหมือนแบกประเทศไทยเอาไว้ด้วย (ยิ้ม) แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ก็ดีใจค่ะที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปเผยแพร่วัฒนธรรมบ้านเราให้ต่างชาติได้รับรู้

มาถึงตอนนี้ เราไม่ได้ดำรงตำแหน่งนางสาวไทยแล้ว แต่คนอาจจะยังติดภาพเดิมๆ ของเราอยู่ว่าจะต้องเรียบร้อย ต้องรักษากิริยามารยาท คือคนที่เคยเห็นเราตอนนั้นก็จะไม่คิดว่าจะได้เห็นโจอี้ที่เป็นแบบนี้ (ยิ้ม) ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้ทุกคนเข้าใจนะคะ และอยากจะให้ยอมรับเราที่เป็นเรา ยอมรับเราในฐานะนักแสดงบ้าง อย่างถ้าต่อไปมีฉากกุ๊กกิ๊ก ฉากเลิฟซีน ก็อยากจะให้มองให้มันเป็นการแสดง แต่จริงๆ แล้ว ถ้าถามโจอี้ ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากจะจูบจริงหรอกนะ เพราะขนาดทุกวันนี้ยังไม่มีฉากจูบจริง โจอี้ก็จะแย่แล้ว (น้ำเสียงบ่งบอกว่ารู้สึกแย่จริงๆ)

มีอยู่ฉากหนึ่ง ตอนที่พี่บอยยื่นหน้ามาใกล้ๆ ลองกลับไปดูจะเห็นเลยว่าคิ้วโจอี้เต้นอย่างนี้เลยค่ะ (กระตุกหัวคิ้วรัวๆ ให้ดู) หน้าซีดจนพี่ไก่ต้องสั่งคัต บอกพอแล้ว ไม่เอาแล้ว กลัวเราจะเป็นลม มันเป็นสิ่งที่ร่างกายแสดงออกมาค่ะ ตัวเราก็พยายามจะเก็บนะ เพราะเราก็โตขนาดนี้แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องเด็กๆ แล้ว แต่เราก็เก็บไม่อยู่จริงๆ อาจจะเป็นเพราะเรายังไม่สามารถอินไปกับการแสดงได้ขนาดนั้น ก็เลยหลุดแล้วก็เกร็ง เลยแอบรู้สึกว่าฉากเลิฟซีนกลายเป็นฉากคุกคามทางเพศไปในความรู้สึกตอนนั้น (หัวเราะ) ก็ถือเป็นข้อบกพร่องที่ยังต้องกลับไปแก้ไขตัวเองอีกค่ะ ถ้ายังอยากจะพัฒนาตัวเองในสายอาชีพนี้




สถาบันครอบครัวล้มเหลว
ถ้าจะให้พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราตอนนี้ คงพูดไม่หมดค่ะ มันมีเยอะมาก (ยิ้มเนือยๆ) โจอี้ขอพูดถึงปัญหาเด็กและเยาวชนในฐานะที่เรียนด้านนี้มาโดยตรงแล้วกันนะคะ เอาแบบจริงจังเลยนะ (แจกยิ้มอีกครั้งก่อนเข้าโหมดเคร่งขรึม)

โจอี้มองว่ายุคนี้เป็นยุคที่สถาบันครอบครัวอ่อนแอมากค่ะ เหมือนความเจริญทางจิตใจมันถอยหลังลงเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ความเจริญด้านวัตถุกำลังพัฒนา โดยเฉพาะจิตใจของเยาวชน มองเรื่องเซ็กซ์ เรื่องยาเสพติด หรือแม้กระทั่งการซื้อของฟุ่มเฟือยเป็นเรื่องธรรมดา เน้นการเลียนแบบเป็นสำคัญ คือถ้าฉันไม่ได้ทำตามคนนั้นคนนี้ ฉันไม่อินเทรนด์ ฉันไม่ยอม ซึ่งมันเป็นความคิดที่ผิดนะ แล้วเราจะโทษใครได้ ก็ต้องมองไปที่ความอ่อนแอของสถาบันครอบครัวค่ะ เพราะถ้าครอบครัวแข็งแรง ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบ เราก็จะสำนึกได้ว่าสิ่งนี้ถูกสิ่งนี้ผิด

 
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่มีเด็กเข้าไปมีเซ็กซ์กันในโรงหนัง เหตุการณ์นี้ควรจะทำให้สังคมกลับมามองได้แล้วว่าเด็กของเราขาดความยั้งคิดนะ ขาดความเข้าใจเรื่องวัฒนธรรมไทย ถ้าเกิดใช้คำแรงๆ คือไม่รู้ผิดชอบชั่วดีกันแล้ว อันไหนควรทำ อันไหนไม่ควรทำ ไม่ค่อยพิจารณากันเท่าไหร่ แล้วเด็กในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ถ้าเด็กวันนี้เป็นอย่างนี้ แล้วผู้ใหญ่ในสังคมในอนาคตจะเป็นยังไงล่ะคะ แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่อยากให้โทษไปที่ตัวเด็กอย่างเดียว เพราะถ้าเกิดสังคมรุมประณามแล้วเด็กที่ทำผิดเกิดฆ่าตัวตายขึ้นมา ก็กลายเป็นปัญหาสังคมอีก

 
บางทีเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็เกิดคำถามเหมือนกันว่ากลุ่มที่ดูแลเรื่องสิทธิสตรี สิทธิเด็ก หายไปไหนหมด ทำอะไรกันอยู่ ถ้าเป็นแต่ก่อนจะเห็นองค์กรพวกนี้จะออกมาเรียกร้อง รับผิดชอบอย่างรวดเร็ว แต่สมัยนี้องค์กรทุกอย่างกลายเป็นการค้า องค์กรที่บอกว่าทำเพื่อเด็ก เพื่อสตรี เพื่อคนชรา ทุกอย่างมีเรื่องผลประโยชน์ เรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหมดแล้ว แล้วคิดดูว่าสังคมไทยมันจะไปรอดได้ยังไง ในเมื่อองค์กรและบุคคลที่ต้องดูแลสังคมยังขาดความจริงใจต่อประเทศชาติแบบนี้ ทุกคนเอาแต่แย่งชิงเพื่อตัวเอง 

 
ก็เข้าใจนะคะว่าข้าวของมันแพงขึ้น จะให้พ่อแม่มานั่งสอนลูกอย่างเดียวคงจะไม่ทันกิน ทุกคนก็ต้องทำงานหาเงิน อาจจะต้องให้ผ่านยุคนี้ไปก่อน ยุคที่ต้องชิงดีชิงเด่น แย่งอยู่ แย่งกิน แย่งกันทำเงิน แล้วสังคมไทยอาจจะกลับมาเรียบง่ายเหมือนเดิม แต่จริงๆ แล้วถ้าคนไทยทุกคนทำอย่างที่ในหลวงทำ ทำโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำแค่จุดเล็กๆ ของตัวเอง แค่ทุกคนช่วยเป็นคนดีหน่อย เดี๋ยวประเทศก็จะดีขึ้นเองและสังคมน่าจะสงบสุขกว่านี้เยอะเลยค่ะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดโจอี้จะคบใคร คิดไว้เลยว่าคงไม่ได้คบเล่นๆ ค่ะ เพราะเรื่องการสร้างครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อยากคบสะเปะสะปะ อยากจะรอวันที่หน้าที่การงานประสบความสำเร็จแล้วระดับหนึ่ง ถ้ามาเจอคนที่ใช้แล้วมาคลิกกันพอดี ก็แล้วแต่โอกาสดีกว่า เพราะถ้าจะตกลงลองคบใคร เราคงมองไกลไปถึงเรื่องแต่งงานเลย (ยิ้มบางๆ) อยากคบคนที่ใช่ ดีกว่าจะต้องมาเสียเวลามาคบกันเล่นๆ ส่วนเรื่องสเปกไม่มีค่ะ ขอแค่มีความเป็นสุภาพบุรุษแล้วก็มีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ก็พอ





---ล้อมกรอบ---
นิยาม “ความสวย” ฉบับนางงาม
“ผู้หญิงที่สวยสำหรับโจอี้ต้องวัดกันที่จิตใจค่ะ ดูง่ายๆ เลย บางคนที่ขี้เหร่มาก แต่เวลาเห็นเขาแสดงออกกับเด็ก ดูเป็นคนจิตใจดี โอบอ้อมอารี ไม่ริษยา ไม่เคียดแค้นซึ่งกันและกัน ทุกคนก็จะสัมผัสได้เองว่าเขามีจิตใจที่งดงามจริงๆ งดงามได้โดยไม่ต้องปรุงแต่งเลย โจอี้ว่าผู้หญิงมีความสวยในตัวทุกคนถ้าเกิดว่าเขาจิตใจดีค่ะ



“ครูใหญ่” ของเพื่อนๆ
ที่เป็นคนจริงจังและมีเหตุมีผลได้ขนาดนี้ เป็นเพราะโจอี้เป็นเด็กมีสาระมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จนได้รับฉายาจากเพื่อนว่าๆ “ครูใหญ่” ตั้งใจและจริงจังกับทุกเรื่องตัวจริง!
“เวลาเคารพธงชาติแล้วเห็นเพื่อนไม่ร้องเพลงชาติ เราจะไปดุเขาเลย บอกว่าแก! ตั้งใจสิ ร้องเพลงชาติ ร้องเพลงสรรเสริญห้ามเอามือไพล่หลังนะ (หัวเราะเบา) เป็นคนอินมาก รักในหลวง รักประเทศไทย รักประวัติศาสตร์ชาติไทย อินเนอร์แรงค่ะ
 
 
“หรืออย่างเรื่องของแบรนด์เนม แต่ก่อนโจอี้แอนตี้มากๆ เพราะเป็นคนอนุรักษนิยม เขียนเรียงความวิเคราะห์เรื่องค่านิยมตะวันตกที่มาครอบงำบ้านเมืองเรามาตั้งแต่เด็กๆ (หัวเราะ) แต่พอเริ่มซื้อเสื้อผ้ามาใช้เองก็ได้เรียนรู้ว่า บางครั้งของถูกมันก็ใช้ได้ไม่นาน ถูกก็จริงแต่ต้องซื้อบ่อยๆ แต่กับการซื้อดีๆ หนึ่งตัวแล้วใช้ได้นานกว่า มันก็น่าจะดีกว่า ก็เลยเปิดใจใช้แบรนด์เนมได้มากขึ้น”

“บางคนที่ซื้อของแบรนด์เนมเพราะมันช่วยเสริมบุคลิก ช่วยเสริมหน้าที่การงานของเขา อาจจะถูกมองว่าเวอร์เกินไป แต่ทุกอย่างบนโลกนี้ก็มองได้สองด้านทั้งนั้น บางคนเป็นดาราก็ต้องเป็นผู้นำแฟชั่นด้วย จะมาแต่งตัวเชยๆ ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนทั่วๆ ไป เดี๋ยวก็โดนวิจารณ์อีกว่าไม่มีรสนิยม ก็เลยเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ค่ะ เพราะฉะนั้นใครจะใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมยังไงก็แล้วแต่เขาเลยค่ะ อยากให้มองกันในอีกด้านหนึ่งมากกว่า มองว่าเขาซื้อเสื้อผ้าแพงๆ กินดีอยู่ดีแล้ว เขาคืนสู่สังคมบ้างไหม ถ้าเขารู้จักทำเพื่อสังคม รู้จักตอบแทนคุณของแผ่นดิน แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ



ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล: โจอี้-อรวิภา กนกนทีสวัสดิ์
วันเกิด: 26 ก.ค. 2532
ส่วนสูง: 168 ซม.
น้ำหนัก: 49 กก.
การศึกษา: นักศึกษา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ สาขา เด็ก-เยาวชนและครอบครัว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ความสามารถพิเศษ : ร้องเพลง, เชียร์ลีดเดอร์ และตีสควอช
ผลงาน: ละครเรื่อง "บริษัทสร้างสุข" ทางช่อง 9 และล่าสุด "ภูผา แพรไหม" ทางช่อง 3
รางวัลที่ได้รับ: นางสาวไทยประจำปี 2552

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พลภัทร วรรณดี


 







เจ้าแสงมณี


คู่กัดทั้งในและนอกจอ
โรงเรียน หญิงล้วน
ประชันความสวย




รางวัลแห่งเกียรติยศ

กำลังโหลดความคิดเห็น