เฮ้ย! โอ้ว! บร๊ะเจ้า! จริงดิ! หลายคนอุทานออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายทันทีที่เห็นภาพนางเอกสาวประวัติดีอย่าง “เอ๋-มณีรัตน์ คำอ้วน” สลัดผ้าสวมทูพีซรับลมร้อนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เล่นเอาอึ้ง ทึ่ง และงงกันไปเป็นแถว เกิดคำถามมากมายว่าอะไรทำให้ผู้หญิงใสๆ คนหนึ่งลุกขึ้นมาโชว์เซ็กซี่ได้ แถมยังดูสวยขึ้นอย่างผิดหูผิดตาอีกต่างหาก
บ้างก็ว่าเธอลงทุนไปฉีดผิวขาว ยกเครื่องหน้ามาใหม่ จึงได้ดูเจิดจรัสราวกับเป็นคนละคน ผู้ถูกกล่าวหาตอบรับทุกข่าวคราวด้วยรอยยิ้มจริงใจ “ถึงรูปลักษณ์การทำงานอาจจะเปลี่ยนไป แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนตัวตนข้างในของหนูได้หรอกค่ะ” และบทสัมภาษณ์นี้เองที่จะเผยให้เห็นทุกอณูชีวิตของเธอว่าเป็นอย่างไรกันแน่!
ฮือฮา เอ๋ ทูพีซ
(ยิ้มเขินๆ) จริงๆ แล้วหนูคิดอยู่นานมากนะพี่ว่าจะถ่ายหรือไม่ถ่ายดี แต่ทีมงานบอกว่าเขามีคอนเซ็ปต์ให้ ภาพจะออกมาดูไม่แรง จะออกแนวน่ารักใสๆ ไม่เน้นเซ็กซี่มาก หนูก็เลยกลับไปคิดดู แต่ก็คิดหนักเหมือนกันค่ะ แอบหวั่นๆ ว่าจะออกมาเป็นแบบไหนนะ แต่พอถ่ายเสร็จก็สบายใจแล้วค่ะ ผลตอบรับออกมาดีมาก ไม่มีใครว่าเราเลยแล้วก็ไม่เจอโรคจิตด้วย ทุกคนที่เจอชมหมดเลย คงเพราะหนูไม่ได้เป็นคนมี sex appeal อะไรอยู่แล้วด้วยมั้งคะ (ยิ้ม) ส่วนเรื่องคนอื่นจะมองเราเปลี่ยนไปไหมหลังจากถ่ายแบบนี้ หนูไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ค่ะ ส่วนหนึ่งหนูเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่ามันเป็นแค่งานงานหนึ่งที่หนูเลือกทำ
การใส่ชุดว่ายน้ำมันก็คือชุดหนึ่งชุด คืองานงานหนึ่งที่หนูต้องทำ ถ้าหนูใส่ชุดว่ายน้ำแล้วไปเดินห้าง อันนี้ด่าหนูได้ หนูผิด (ยิ้มมุมปาก) แต่ที่หนูออกมาถ่าย หนูแค่ทำงานค่ะ ส่วนกรณีเรื่องศาสนาว่าหนูนับถืออิสลามจริงหรือเปล่า ทำไมออกมานุ่งน้อยห่มน้อยแบบนี้ เรื่องนี้หนูไม่ขอพูดดีกว่าค่ะ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากๆ (สีหน้าเครียด) เรื่องทุกเรื่องมันมองได้หลายมุม ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกนี้เป็นธรรมดาที่จะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ อันนี้หนูยอมรับได้ค่ะ อีกอย่างหนูคงไปห้ามความคิดใครเขาไม่ได้ด้วย หนูแค่อยากให้รู้ว่าหนูกำลังทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่อยู่และหนูมีงานที่ต้องรับผิดชอบ
คนอาจจะตกใจว่าครั้งนี้เป็นแนวที่ฉีกไปเลยจากที่เราเคยทำ แต่หนูก็ยังอยากย้ำเหมือนเดิมค่ะว่ามันคืองาน สุดท้ายไม่ว่าจะเลือกสวมเสื้อผ้าแบบไหน ถ่ายหรือไม่ถ่ายชุดว่ายน้ำ มันก็ไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนความเป็นหนูเลยนะ คือรูปลักษณ์การทำงานมันอาจจะเปลี่ยนไป แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนตัวตนข้างในของหนูได้หรอกค่ะ มันเป็นโอกาสดีที่ทำให้ได้ทำงานที่แตกต่างออกไปจากเดิมมากกว่า อย่างน้อยหนูก็ได้ผลตอบรับดีๆ จากงานครั้งนี้ ได้คนดูที่น่ารัก แค่เขาชื่นชมกับภาพที่ออกมาก็ดีใจแล้วค่ะ อาจจะตอบเหมือนเป็นนางงามไปหน่อย แต่หนูรู้สึกอย่างนี้จริงๆ นะ (หัวเราะเบาๆ) ฟีดแบ็กออกมาดี คนส่วนใหญ่มองอย่างเข้าใจว่าหนูกำลังทำงาน แค่นี้หนูจบแล้ว หนูแฮปปี้แล้วค่ะ (ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มกว้างและจริงใจจนสัมผัสได้)
เขาลือกันว่าหนูฉีดผิวขาว
ถามเรื่องนี้กันอีกแล้ว แต่หนูไม่เบื่อนะ เพราะหนูรู้สึกว่าคำถามพวกนี้มันบ่งบอกถึงพัฒนาการความงามของหนู (ยิ้มแฉ่ง) ยังยืนยันเหมือนเดิมค่ะว่าไม่ได้ไปฉีดผิวให้ขาวมา หนูก็ดูแลตัวเองเหมือนที่ทุกคนทำนะ มีขัดตัวขัดผิวบ้าง แต่ที่ดูเปลี่ยนไปอาจจะเป็นเพราะแต่ก่อนเราไม่ทำอะไรเลย ยังไม่รู้วิธีดูแลตัวเอง ไม่รู้ว่าต้องแต่งตัวยังไง ทาครีม แต่งหน้าแบบไหน แต่ตอนนี้เรียนรู้มากขึ้นจากเพื่อนๆ และคนรอบข้าง เห็นอะไรดีก็หามาใส่ตัวหมด สิ่งไหนทำแล้วสวยทำแล้วดี หนูก็ทำสิ่งนั้น
มีสูตรดูแลผิวอยู่อันหนึ่งที่คุณย่าจะทำให้ประจำ เป็นสูตรสมุนไพร อาจจะเป็นเพราะสูตรนี้ก็ได้นะที่ทำให้คนทักว่าผิวขาวใสเหมือนไปฉีดมา จดไว้เร็ว (หัวเราะเบาๆ) ส่วนผสมมีขมิ้น โยเกิร์ต ดินสอพอง ผสมกับมะขามเปียก คลุกให้เข้ากัน เอามาขัดผิวแล้วก็พอกตัวทิ้งไว้ ทิ้งจนมันแห้งเลยค่ะ บางทีหนูก็นอนทั้งที่ยังแห้งกรังนั่นแหละ ทำแค่อาทิตย์ละครั้งก็ได้แล้ว แต่ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยมีเวลาทำเองเลยไปให้ที่ร้านทำให้แทน เข้าไปก็ประโคมทุกอย่าง ขัดผิว ทำสปา ไปนอนๆ แล้วมีคนมาขัดๆ ถูๆ ให้ก็สบายดีเหมือนกันค่ะ
ต้องบอกไว้ก่อนว่าหนูไม่ได้ทำเพราะกะจะขาวนะ หนูไม่เคยคิดว่าผิวที่ดีคือผิวขาวอยู่แล้ว สำหรับหนู ผิวที่ดีอาจจะเป็นสีแทนแบบนี้ก็ได้ แค่เปล่งและผ่อง ไม่จำเป็นต้องขาวแต่ซีด ทุกวันนี้หนูก็พอใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่นะ ส่วนคนอื่นจะคิดยังไงหนูไม่รู้ ถ้าใครคิดจะไปฉีดเพื่อให้ผิวขาวขึ้น คงต้องลองถามตัวเองก่อนว่าตัวเราพอใจสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่หรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทำใจยอมรับ อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น โอ๊ย! ดีจังเลย เธอขาวใส่เสื้อผ้าสีอะไรก็สวย มองแบบนั้นก็มีแต่จะไม่สบายใจ
จริงๆ แล้วคนผิวสีก็ยังมีหลายๆ อย่างที่เหมาะกับเราอยู่เหมือนกัน หนูมองว่าเราไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่นก็ได้ เราก็สวยในแบบของตัวเองก็ได้ป่ะ บางคนใส่สีเหลืองอาจจะไม่ขึ้นแบบหนูก็ได้ แต่ฉันใส่สวยแล้วจะทำไม (ทำท่าเริดเชิดล้อเลียนแล้วหัวเราะตบท้ายเบาๆ) มันอยู่ที่ความคิดค่ะ แค่มีความมั่นใจก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ถ้าเราไม่มั่นใจตั้งแต่แรก ถึงเดินออกจากบ้านไปแล้วผิวขาวสวยแค่ไหน ยังไงก็ดูไม่สวยอยู่ดี
แต่ก็เข้าใจค่ะว่าเรื่องสร้างความมั่นใจมันก็ยากเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าโดนล้อเรื่องสีผิวมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างหนูก็โดนล้อมาตลอดชีวิต แต่ก่อนก็คิดมากเหมือนกันนะ จะหยิบจะจับอะไรก็นอยด์ไปหมด จะหยิบชุดไหนมาใส่ก็โดนด่าหาว่าไม่ดูสีผิวตัวเองเลย ทำให้รู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง ต้องแต่งตัวตามคนอื่นเขาไปเรื่อย คนโน้นว่าดี เอ้อ! ใส่ คนนี้ว่าโอเค เอ้อ! เชื่อ แต่ไม่เคยหาตัวตนของตัวเองเจอเลยว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไร
พอหลังๆ เริ่มกลับมามองตัวเอง เปิดหนังสือดู เลือกจากชุดที่ชอบแล้วลองใส่ ถ้าลองแล้วดีเดี๋ยวเราจะมั่นใจเอง แต่ถ้าลองแล้วไม่ใช่ค่อยว่ากัน คือถ้าไม่ตัดสินใจเปลี่ยนไปหาสิ่งใหม่ๆ มันก็จะไม่มีวันรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นคนผิวสีอย่างพวกเราอย่าไปกลัวค่ะ (กำมือแล้วชูขึ้นทำท่าปลุกใจ)
ศัลยกรรมเปลี่ยนลุค!
ไม่ได้ศัลฯ นะ ทำไมอ่ะ มันเหมือนไปทำมาเหรอคะ (ชี้ชวนให้ร่วมพิจารณาส่วนประกอบบนใบหน้า) จริงๆ แล้วหนูไม่เคยแอนตี้การศัลยกรรมเลย หนูว่าทำสวยแล้วสวยก็ทำไปสิ ทำแล้วมั่นใจขึ้นก็เอาเลย แต่ที่คนอื่นคิดว่าหนูดูดีขึ้นเพราะศัลยกรรม อันนี้... (มองตัวเอง) หนูอาจจะดูสวยเพอร์เฟกต์ไปหรือเปล่าเลยทำให้คิดกันไปได้ (หัวเราะ)
ต้องถามว่าการยกกระชับหน้า นวดหน้า มันเป็นการทำศัลยกรรมด้วยหรือเปล่า ถ้านั่นเรียกว่าศัลยกรรม ก็ถือว่าหนูทำค่ะ หนูแยกไม่ค่อยออกว่าแบบไหนคือทำหรือไม่ทำ ถ้าเสริมจมูกคือศัลยกรรม แล้วฉีดโบทอกซ์ใช่ด้วยหรือเปล่า (ทำหน้าครุ่นคิด) ถ้าโบทอกซ์คือศัลยกรรม หนูก็ไปนวดหน้า ไปยกกระชับหน้ามาเหมือนกันนะ เคยไปฉีดให้หางตายกขึ้นด้วย เพราะหนูเป็นคนหางตาตกและหนังตาหย่อนมาก แต่ก่อนตาหนูเหมือนคนแก่เลยค่ะ ดูห้อยและเศร้าตลอดเวลา (ยิ้ม) ก็เลยต้องไปนวดให้มันตึงให้มันขึ้นมาบ้าง อย่างที่บอกแหละค่ะ ถ้าทำแล้วสวย หนูโอเค
ถ้าเลือกให้ศัลยกรรมสักจุดหนึ่งในร่างกาย ตอนนี้คิดไม่ออกเลยค่ะว่าอยากจะทำส่วนไหนดี บอกหนูหน่อยสิว่าหนูควรทำส่วนไหน (ผายมือให้ดูทั่วตัว) ถ้าเปลี่ยนแล้วสวยได้จริงๆ หนูคงเปลี่ยนตัวเองเป็น “นาตาลี พอร์ตแมน” ไปเลยดีกว่า (หัวเราะ) หนูชอบมากคนนี้ ถ้าทำได้หนูคงเปลี่ยนหน้าไปเป็นอย่างเขา แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม (ยิ้ม) ตอนนี้ได้แต่ศัลยกรรมการกินตัวเองไปก่อนค่ะ พยายามควบคุมอาหารแล้วก็ออกกำลังกาย เทียบกับตอนเด็กๆ เราอาจจะไม่ค่อยสนใจ ยังไม่รู้หรอกว่าเซลลูไลต์มันคืออะไร แต่พอแก่ เอ้ย! ไม่แก่ๆ แต่พออายุมากขึ้น มันก็เริ่มมา ก็เลยต้องคิดก่อนกินมากขึ้น
อย่างแต่ก่อนชอบกินหนังไก่ ทอดกรอบๆ มันๆ, เนื้อแดดเดียว, เนื้อย่างติดมัน, ข้าวมันไก่ก็ต้องสั่งเฉพาะเนื้อส่วนน่องกับสะโพก เน้นตูดเป็นหลักค่ะ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้ระบบย่อยเริ่มไม่ดี เริ่มย่อยยากแล้ว ก็เลยต้องกินผักแล้วก็ดื่มน้ำมากๆ ซึ่งมันมีผลจริงๆ นะ ถ้าช่วงไหนพักผ่อนไม่เพียงพอแล้วยิ่งดื่มน้ำน้อย จะเห็นเลยว่าหน้าจะดูโรย หน้าแห้ง แต่งหน้าก็ไม่ค่อยติด เครื่องสำอางไม่เกาะหน้า แต่ถ้าเราดูแลตัวเองดี ความสดใสมันจะออกมาจากข้างในสู่ข้างนอกเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปหาครีมแพงๆ อะไรหรอกค่ะ แค่มีวินัยกับตัวเอง ทุกอย่างจบ
ดังได้เพราะพ่อเสีย
หนูไม่เคยฝันเลยค่ะว่าจะมาเป็นดาราหรือนักแสดง ตอนเด็กๆ หนูขี้อายมาก เป็นเด็กขาดความมั่นใจ กลัวทุกอย่าง แล้วก็ขี้นอยด์ด้วย แต่ที่เริ่มกล้าขึ้นมาได้เพราะว่าคุณพ่อเสีย เหลือคุณแม่ทำงานคนเดียว แล้วแม่หนูก็ป่วยด้วย เป็นโรคความดันต่ำค่ะ ทำงานหนักมากไม่ค่อยได้ จะเป็นลมตลอดเวลา เลยคิดว่าถึงเวลาต้องช่วยหาตังค์แล้ว อยากให้แม่สบายกว่านี้ ก็เลยเริ่มทำงานจริงๆ จังๆ เพื่อเลี้ยงแม่ ส่วนพี่สาวหนู พอคุณพ่อเสีย ต่างคนก็ต่างแยกย้าย ทุกวันนี้ก็มีติดต่อกันบ้างแต่ไม่ได้มากมาย รู้แค่ว่าเขาเป็นแอร์ฯ อยู่ต่างประเทศ หนูก็อยู่ตรงนี้ มีหน้าที่ที่ต้องดูแลแม่ค่ะ (เอ๋ไม่ขอลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับพี่สาว จึงเปลี่ยนมาเล่าความหลังครั้งเก่าแทน)
ตอนเด็กๆ เราสนิทกันมากค่ะ เวลาคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่ ก็จะอยู่ด้วยกันสองพี่น้องตลอด คือที่บ้านขายโรตีค่ะ ตั้งแต่หนูจำความได้ ประมาณ ป.1-ป.2 เราก็นอนอยู่ใต้ท้องรถเข็นแล้ว เราสองคนจะช่วยคุณพ่อตั้งแต่เตรียมของไปขาย หมักแป้ง หั่นแป้ง ตีแป้ง ทอด แล้วก็ห่อใส่กระดาษ ทำเป็นกันทุกขั้นตอนเลย แต่ละวันเราก็จะแบ่งหน้าที่กัน อย่างช่วงวันหยุด ไม่ได้ไปโรงเรียน ตอนเช้าๆ หนูจะเตรียมแป้ง นวดแป้ง ส่วนพี่สาวจะเป็นคนหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ เอาไว้ให้คุณพ่อเอาไปขายตอนเย็น ส่วนคุณแม่ก็ช่วยเข็นรถไปขาย
พอเริ่มโตขึ้น คุณพ่อก็เปลี่ยนมาเป็นรับหมากตามต่างจังหวัดแทน เลื่อนขั้นงานให้ตัวเอง (หัวเราะเบาๆ) คือถ้าเทียบกับขายโรตีแล้ว รับหมากไปขายเป็นงานที่สบายกว่าค่ะ เหนื่อยน้อยกว่า รายได้ก็ดีขึ้นด้วย หนูกับคุณพ่อจะขับรถกระบะออกต่างจังหวัดตลอด คุณพ่อขับบ้าง หนูขับบ้าง ผลัดกันไป
อย่างบ้านหนูอยู่ร้อยเอ็ด เราก็ตระเวนไปรับซื้อหมากตามมหาสารคาม โคราช แล้วก็มาส่งที่โรงงานในกรุงเทพฯ ที่ต้องขับรถไปซื้อตามบ้านคนอื่นเพราะเราไม่มีเงินทุนสูงพอที่จะเปิดเป็นแหล่งรับซื้อแล้วให้ทุกคนเอามาส่งให้ค่ะ แล้วสมัยก่อน บ้านตามต่างจังหวัดเขาปลูกหมากกันอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าหมากมันเอาไปผลิตได้หลายอย่าง ทั้งทำเครื่องสำอาง ทำแป้ง ก็เลยไม่มีใครสนใจ คิดดูว่าตอนไปซื้อ เขายังให้เราปีนไปเก็บหมากจากต้นเองเลยค่ะ (เอ๋เล่าต่อด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน)
เราต้องเป็นคนปีนขึ้นไปตัดหมากมาเอง แต่หนูไม่ได้เป็นคนปีนนะ คุณพ่อค่ะเป็นคนปีนขึ้นไปเก็บ เอาเชือกไปมัดให้มันอยู่รวมๆ กันหลายๆ ลูก แล้วก็ใช้มีดฟันลงมาทีเดียว หนูก็ช่วยรอรับอยู่ข้างล่างแล้วก็แบกขึ้นรถ ทำอย่างนี้อยู่พักใหญ่ๆ เหมือนกัน แต่พอย้ายมาเรียนที่ขอนแก่นกับพี่สาวก็ไม่ได้ทำแล้ว ช่วงหลังๆ ก่อนคุณพ่อจะเสีย พ่อจะพาหนูเข้ามาในบ้านที่กรุงเทพฯ ทุกวันหยุด เป็นที่ดินที่ทางวัดให้มาค่ะ คุณพ่อเลยมาสร้างบ้านไม้เอาไว้เอง พอหนูเรียนจบม.ปลายปุ๊บ คุณพ่อแพลนไว้ว่าจะเลิกขายหมาก จะย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้วค่อยดูลู่ทางอีกทีว่าจะทำอะไรกันดี แต่เผอิญคุณพ่อมาประสบอุบัติเหตุเสียก่อน (ผู้สัมภาษณ์ปล่อยให้เธอนิ่งเงียบอย่างที่ต้องการครู่หนึ่ง จึงปูทางให้เล่าต่อ)
พอคุณพ่อเสีย ชีวิตพวกเราก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย (น้ำเสียงราบเรียบอย่างเห็นได้ชัด) แต่ก่อนคุณพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นคนหาสตางค์ พอคุณพ่อไม่อยู่ปุ๊บ ทุกอย่างเลยรวนไปหมดเลยค่ะ คุณแม่ต้องกลายเป็นเสาหลักของบ้านแทนซึ่งมันหนักมาก คุณแม่เริ่มกลับมาขายโรตี เข็นรถขายเหมือนเดิม หนูเลยเริ่มรู้สึกว่าต้องหาอะไรทำจริงๆ จังๆ สักอย่างเพื่อจะช่วยคุณแม่ ตอนนั้นหนูเอนท์ติดที่ม.อ.ปัตตานีด้วยนะ แต่ไม่มีสตางค์ไปเรียน (ยิ้มเศร้าๆ) ก็เลยตัดสินใจเรียนรามฯ แล้วก็เริ่มทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
ชีวิตแรงงาน หนูผ่านมาหมดแล้ว
ตอนนั้นคิดว่าทำอะไรก็ได้จริงๆ ขอให้เป็นงานเถอะ เป็นเด็กเซเว่นฯ เด็กเสิร์ฟ ทำมาหลายอย่างเหมือนกันค่ะ ช่วงแรกๆ ไม่รู้จะไปหางานที่ไหนดี หนูก็เสิร์ชตามเน็ตเลย เปิดหนังสือพิมพ์หน้ารับสมัครงานนั่งอ่าน เจออยู่อันหนึ่งเขียนว่างานดี รายได้เยอะ ไม่ต้องมีเวลาว่างมากก็ได้ แค่ต้องขยันและอดทน หนูก็คิดว่ามันตรงกับเราดี น่าสนใจ ก็ไปสมัครตามที่อยู่ที่เขาให้ไว้
พอไปถึงเห็นตึกสีส้มๆ ใหญ่มาก ตอนแรกตกใจมาก เพราะเราไม่ได้เตรียมตัวมาขนาดนั้น เดินเข้าไปแบบตัวดำเมี่ยม แต่งตัวก็ไม่เป็น ตอนนั้นยังใส่เสื้อโคร่งๆ กางเกงยีนตัวใหญ่ๆ อยู่เลยค่ะ เข้าไปเห็นเขาทำงานกันจริงจังมาก มีคอลเซ็นเตอร์เต็มไปหมด หนูก็งงๆ บอกเขาว่ามาสมัครงานค่ะพี่ เขาบอกโอเครับ เราก็แบบ (ทำหน้าเอ๋อ) ทำไมง่ายจังวะ บอกเริ่มงานพรุ่งนี้ ไปกับทีม ตอนนั้นไม่คิดอะไร ดีใจอย่างเดียว เอ้อ! งานหาง่ายดีเนอะ โอ๊ย! สบายแล้วๆ (เล่าไปยิ้มไป)
วันรุ่งขึ้นก็ไปรวมทีม นั่งรถเมล์กันไป จำได้ว่าไปแถวเซ็นทรัลบางนา เขาก็เริ่มอธิบายว่าเรามาทำงานเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นเราต้องอดทน พอไปถึงที่ปุ๊บ ถึงได้รู้ว่าเขาให้เรามาเป็นเซลล์ขายเครื่องกรองน้ำตามบ้าน (ทำหน้าเพลีย) ต้องไปเคาะตามบ้าน สรุปว่าเดินทั้งวันกลางแดดร้อนตอนบ่าย อ้อมหลังเซ็นทรัลบางนาเป็นวงกลมใหญ่มากเหนื่อยมาก (เน้นเสียง) แถมไม่มีใครซื้อเลย พอไปเคาะ ยังไม่ทันพูดอะไร เขาก็ไล่เลย รู้สึกเฟลมาก ถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่วะเนี่ย แล้วพอขายไม่ได้ เปอร์เซ็นต์เราก็ไม่ได้ ขายเครื่องกรองน้ำทั้งวันแต่ไม่ได้ดื่มน้ำเลย คิดดูว่าหนูเหลือตังค์กลับบ้านแค่ 10 บาท ต้องนั่งรถเมล์กลับ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึง วันต่อมาเลยหางานใหม่
ลองมาทำเซเว่นฯ ที่เห็นพนักงานเขาทำงานกันทุกวัน นั่นทำตั้งนานนะคะว่าจะได้เป็นแคชเชียร์ วันแรกหนูต้องเริ่มจากถูพื้น จัดของใส่ชั้นวาง แช่ของในตู้เย็น ต้องคอยเข้าไปเติมของในห้องเย็นแล้วก็ออกมาขนของข้างนอก ร้อนๆ เย็นๆ สลับกันทั้งวัน แล้วห้ามนั่งด้วยนะ ถ้านั่งถือว่าผิดมาก (ลากเสียง) ต้องคอยเช็กสต๊อก ถ้าของขาดเราต้องรับผิดชอบออกตังค์เอง ไปวันเดียวกลับมาป่วยเลยค่ะ แล้วก็หางานอื่นทำไปเรื่อยๆ เด็กเสิร์ฟก็เคยเป็น
ที่เคยไปทำงานแล้วรู้สึกแย่มากน่าจะเป็นตอนแสดงเป็นเอ็กซ์ตราค่ะ (ตัวประกอบ) เพื่อนชวนไป ได้วันละ 300 บ้าง 500 บ้าง แต่ไปอยู่ตั้งแต่เช้าจนค่ำเลยนะ แล้วโดนโมเดลลิ่งหักเปอร์เซ็นต์ไปอีก หนูโดน 30 เปอร์เซ็นต์จาก 300 คิดดู แล้วค่ารถไปกลับก็ต้องออกเองด้วย (ยิ้มเนือยๆ)
เคยไปเป็นเอ็กซ์ตราละครอยู่เรื่องหนึ่ง เขาพักกินข้าว หนูไปวันแรกยังไม่รู้อะไร เลยเดินตามคนอื่นไป แม่ครัวก็ตะโกนขึ้นมาเลยว่า “ของเอ็กซ์ตราน่ะฝั่งนู้น ที่นี่ดาราเขากินกัน” หนูเลยเดินไปกินข้าวกล่องที่ไก่นับชิ้นได้ ต้องขอบคุณเหตุการณ์นั้นจริงๆ ที่ทำให้หนูคิดว่าต้องลุกขึ้นมาทำอะไรให้ชีวิตมันดีกว่านี้แล้ว หนูรู้สึกว่าคนเรามันมีค่าเท่ากันนะ จะมาแยกการกินกันแบบนี้ได้ยังไง เอาอะไรมาวัดคุณค่าของคนวะ หนูรู้สึกว่าหนูมีค่ามากกว่านั้น มากกว่าที่เขาพูดมา
หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ไปเป็นเอ็กซ์ตรา หนูจะพยายามเก็บทุกอย่าง ดูว่าเขาแสดงกันยังไง ดูแล้วก็เรียนรู้ ทำแบบนี้อยู่สักพักหนึ่งเหมือนกัน เป็นทั้งเอ็กซ์ตรากองละคร เอ็มวี แล้วก็โฆษณา จากนั้นก็ไปแคสต์โฆษณาแล้วก็ได้มา 3 ตัว พอมีบทหนังเรื่อง “เพื่อนสนิท” หนูก็ไปแคสต์ เป็นวันสุดท้ายคนสุดท้ายพอดี
ไปถึงปุ๊บ พี่เขาให้เลือกว่าจะเป็นสาวแก่นหรือสาวเรียบร้อย ด้วยความที่เราไม่รู้เรื่อง เลยบอกเขาไปว่า “อะไรก็ได้ค่ะพี่” แล้วก็ยิ้ม เขาก็เลือกบทเรียบร้อยให้เราเล่น เสร็จก็ให้นั่งเล่นให้ดู มารู้ทีหลังว่าที่เขาเลือกเราเป็นเพราะรอยยิ้มครั้งแรกนั่นแหละค่ะ เพราะนุ้ยมีจุดเด่นที่รอยยิ้ม ยิ้มแล้วทำให้โลกสดใส (แล้วเอ๋ก็ตบท้ายด้วยรอยยิ้มอีกทีเพื่อเป็นการยืนยัน)
“หน้าที่” ลูกกตัญญู
พี่อย่าเพิ่งทำเสียงเห็นใจหนูขนาดนั้น ชีวิตหนูไม่ได้รันทดอะไรขนาดนั้นนะ (ยิ้มกว้าง) ชีวิตหนูก็เหมือนคนอื่นๆ แหละ มันก็เป็นเรื่องปกติที่คนเรามีหน้าที่ที่ต้องทำ หนูไม่เคยคิดว่าชีวิตตัวเองแย่ ครอบครัวลำบาก ฉันต้องหาตังค์เพิ่ม ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย รู้สึกว่าตัวเองโชคดีด้วยซ้ำที่เกิดมาเป็นแบบนี้ เพราะถ้าหนูมีชีวิตที่สบาย หนูก็คงไม่รู้จักชีวิตแบบนี้หรือเปล่า
รวมๆ แล้วชีวิตหนูก็สนุกดีนะ ไม่ได้รู้สึกแย่จนต้องมานั่งร้องไห้ฮือๆ บ่นว่าชีวิตแย่จัง มันก็อาจจะมีอารมณ์เหนื่อยๆ บ้าง แต่ไม่ถึงกับไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว เพราะยังไงเราก็ต้องทำอยู่ดี มันเป็นหน้าที่อยู่แล้วค่ะ (ยิ้มเย็นๆ) ชีวิตคนเราเกิดมามันก็ต้องทำงานอยู่แล้วป่ะ ต่างจากคนอื่นแค่หนูไม่มีใครส่งเสียให้เรียน ก็เลยต้องหาเอง แค่นั้นเองค่ะ
หนูคิดเสมอว่าคนเราเหนื่อยได้ ท้อได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับความคิดของเราว่าเราจะเอาตรงนั้นไปย้ำซ้ำเติมตัวเองให้เรารู้สึกแย่มากขึ้นไปอีกหรือเปล่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม บางคนชอบโทษว่าทำไมฉันต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ ต้องเจออะไรอย่างนี้ แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องเป็นไปค่ะ แค่เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่และเรากำลังจะทำอะไรก็พอแล้ว ท้อได้นะแต่อย่าคิดวน ต้องพยายามหาทางออกให้ตัวเอง มองให้เห็นว่าหน้าที่ของเราคืออะไรแล้วก็ทำมัน และหนูเชื่อว่ามันจะดีขึ้นๆ แล้วจะดีกว่าเดิมเรื่อยๆ ด้วย (แววตามุ่งมั่น)
ทุกวันนี้ก็รู้สึกกดดันบ้างเหมือนกันค่ะที่กลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวแล้ว แต่หนูว่าหนูก็ไม่เด็กเกินไปนะที่จะทำหน้าที่นี้ อยากทำให้ทุกอย่างดีขึ้นค่ะ อยากทำให้ชีวิตหนู ชีวิตแม่ดีขึ้น และหนูก็มีความสุขที่จะทำ แค่นั้นเอง ตอนนี้ก็มีบ้านให้คุณแม่แล้ว เป็นทาวน์โฮมหลังเล็กๆ มีพื้นที่สวนให้ด้วย (ยิ้มปลาบปลื้ม) คุณแม่ชอบค่ะ ชอบปลูกผักกินเอง ก็ดีใจค่ะ และหนูก็รู้ว่าแม่หนูภูมิใจ ถึงแม่จะไม่เคยพูดก็ตาม
ตอนนี้งานในวงการอาจจะเลี้ยงเราสองคนได้ แต่อะไรๆ มันก็ไม่แน่นอน งานในวงการไม่มั่นคงค่ะ เปลี่ยนแปลงได้ตลอด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถรักษาคุณภาพของตัวเราไว้ได้นานสักแค่ไหน และใครอยากจะหยิบเราไปใช้งานบ้าง หนูเองก็ต้องทำตัวให้ดีขึ้น ให้น่าสนใจขึ้น แต่ก่อนหนูอาจจะไม่เคยดูแลตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับตัวเองยังไง แต่ตอนนี้หนูดูแลตัวเองมากขึ้น ใส่ใจตัวเองมากขึ้นแล้ว ออกจากบ้านหนูก็เริ่มแต่งตัวแต่งหน้า เพราะแค่ก้าวออกจากบ้านมันก็คืองานของหนูแล้ว ถ้าหนูออกจากบ้านโดยไม่ดูแลตัวเองมันก็เหมือนดูถูกอาชีพตัวเองเหมือนกัน ยังไงรูปลักษณ์ภายนอกมันก็ยังเป็นสิ่งที่เราต้องขายอยู่ดี
ที่หนูลุกขึ้นมาถ่ายชุดว่ายน้ำก็เพราะอยากจะเปลี่ยนสภาพการทำงานของตัวเองให้โตขึ้นด้วยค่ะ ด้วยอายุการทำงานของหนูก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เพราะฉะนั้นหนูควรจะทำอะไรได้หลากหลายมากขึ้น แต่หนูไม่ได้ถ่ายเพราะเรื่องเงินจริงๆ นะ (น้ำเสียงอ้อน) ก่อนหน้านี้หนูยอมรับว่าหนูทำงานในวงการเพราะต้องหาเงิน แต่ตอนนี้เงินเป็นแค่เหตุผลส่วนหนึ่ง หลักๆ แล้ว พอเริ่มมาทำงานตรงนี้ปุ๊บ หนูรักในงานที่หนูทำ หนูมีความสุขกับการได้ทำมัน ได้เจอคนที่หนูรัก ทำงานออกมาแล้วคนชอบ เคยลองไปทำอย่างอื่นก็ไม่มีความสุขเท่านี้ หนูก็เลยอยากทำมันอย่างเต็มที่และมีความสุขกับมันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ
---ล้อมกรอบ---
ขอแค่ “จริงใจ”
คุณสมบัติเด่นๆ ข้อแรกที่สัมผัสได้จากตัวเอ๋คือ “ความจริงใจ” เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอต้องการจากคนรอบข้างย่อมเป็นคุณสมบัติเดียวกันนี้เอง “หนูเป็นคนจริงใจ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เป็นคนดูง่าย เข้าใจง่าย ไม่มีชั้นเชิงค่ะ แล้วหนูก็โชคดีที่หนูได้รู้จักแต่คนดีๆ โดยเฉพาะเพื่อนสนิทในวงการอย่าง พีทพล (เดอะสตาร์), พี่บอม ดีเจ Met 107, พี่โอปอลล์ แล้วก็อีกหลายคนจากกลุ่มอื่นอีก เดี๋ยวถ้าไล่ชื่อไม่หมดอาจจะน้อยใจหรือเปล่า (ยิ้มเกรงใจ)”
“อย่างพีทนี่ก็สนิทมากค่ะ รู้จักผ่านพี่อ๊อฟ-ปองศักดิ์ กับพี่โอปอลล์ ได้คุยกันแล้วรู้สึกว่าคนนี้จริงใจ เป็นคนคิดดี มีความมุ่งมั่น แล้วก็เป็นคนดี ที่สำคัญเขาเป็นที่ปรึกษาเรื่องการแต่งตัวให้หนูได้ดีมาก เขาจะรู้สัดส่วนหนูหมดเลยแม้กระทั่งเบอร์รองเท้า จะช่วยดูเรื่องสไตล์การแต่งตัวให้ตลอดว่าควรใส่เสื้อผ้าแบบไหน แต่งตัวยังไงดีให้เข้ากับตัวเอง เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนูดูดีขึ้นค่ะ (หัวเราะ)”
คิดดูว่าสนิทกันขนาดไหน ล่าสุดเอ๋ยอมร่วมโปรเจกต์เอ็มวี “เรียนรู้อยู่คนเดียว” ที่พีทพลร้องเอง เล่นเอง ช่วยกันกำกับเองร่วมกับดีเจบอมอีกคน อย่างนี้ไม่ซี้กันก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว “ก่อนหน้าจะถ่ายก็มีมานั่งคุยๆ กันว่าจะให้อารมณ์และโทนของเอ็มวีมันออกมายังไงดี หนูก็ให้ตัวเองอยู่ในฐานะคนดูและนักแสดงด้วย อยากให้มันสื่ออารมณ์ได้มากๆ ไม่ใช่แค่ภาพสวยอย่างเดียว นี่ไม่ได้พยายามจะทำหน้าที่พีอาร์นะ (ยิ้ม) แค่รู้สึกว่าเรื่องมันดี ภาพมันดี และเป็นงานที่หนูทำกับเพื่อนกันเองด้วย ก็เลยภูมิใจนำเสนอค่ะ”
ส่วนเรื่องหัวใจนั้น “เรื่องนิสัยต้องมาเป็นอันดับแรกเลยค่ะ การที่เราจะทำความรู้สึกกับใคร เขาต้องนิสัยดี คุยกันรู้เรื่อง หนูเหมือนผู้หญิงทั่วไปค่ะ ชอบคนดี (ยิ้ม) คนที่ดูแลเราได้ ส่วนเรื่องฐานะไม่ต้องดีก็ได้ ขอแค่เป็นคนขยันและรู้จักทำมาหากินก็พอ ที่สำคัญต้องจริงใจ” แว่วมาว่ามีหนุ่มคนหนึ่งมีคุณสมบัติตรงตามนี้เป๊ะและกำลังทำให้หัวใจเอ๋เบิกบานอยู่ ขอให้ลงเอยกันเร็วๆ นะจ๊ะ
ไม่เหลือเชื้อลูกครึ่ง
ถึงจะบอกว่าคุณพ่อเป็นคนบังกลาเทศ คุณแม่เป็นคนไทย เรียกง่ายๆ คือเป็นลูกครึ่งนั่นเอง แต่เอ๋ยืนยันหนักแน่นว่าแทบไม่มีเลือดภารตะหลงเหลืออยู่ในตัวเลย
“คุณพ่ออยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กและไม่เคยกลับบ้านเลยตั้งแต่หนูจำความได้ คุณพ่อใช้ชีวิตแบบไทยๆ ความเป็นลูกครึ่งในตัวหนูเลยไม่ค่อยมีค่ะ ส่วนเรื่องวัฒนธรรม คุณพ่ออาจจะมีหวง มีข้อบังคับเป็นกฎเกณฑ์ของที่บ้านบ้าง หลักๆ ที่ได้รับมาน่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน พ่อชอบกินแกงขมิ้นรสจัด แต่ความเป็นอยู่ก็เป็นแบบไทยๆ เลยค่ะ”
“ที่ได้มาจากคุณพ่อน่าจะเป็นเรื่องร่างกาย หนูเหมือนคุณพ่อหมด ยกเว้นหน้าอกกับตรงนั้น (หัวเราะ) พี่สาวก็เหมือนคุณพ่อ ไม่มีใครเหมือนคุณแม่เลย ตอนเด็กๆ หนูไปทำวีซ่ากับคุณแม่สองคน มีคนมาสะกิดถามคุณแม่ว่าทำงานบ้านเขาได้เงินเดือนเยอะไหม คิดดูสิว่าหน้าหนูไม่มีเค้าคุณแม่เลย เพราะคุณแม่เป็นคนอีสาน ไม่มีดั้งไงคะ แต่หนูจะได้ตากับดั้งคุณพ่อมา ส่วนเรื่องนิสัยหนูจะเหมือนคุณแม่มากกว่า เป็นผู้หญิงมากๆ แต่พี่สาวจะเหมือนคุณพ่อ ออกแมนๆ หน่อย”
แต่ที่ได้จากคุณแม่มาเต็มๆ คือฝีมือปลายจวัก ตอนนี้เอ๋กำลังมองๆ อยู่ว่าจะเปิดร้านอาหารสักร้านหนึ่ง เพราะเธอเองชอบทำกับข้าวและคุณแม่ก็ทำอร่อย ส่วนจะเป็นร้านเนื้อย่างหรือข้าวแกงคงต้องดูอีกที “ตอนนี้คุณแม่เริ่มไปเรียนทำไอศกรีมเพิ่มแล้วด้วยค่ะ” เธออัปเดตให้ฟัง
ยังมีโปรเจ็กต์อีกหนึ่งอย่างที่เอ๋อยากทำคือ “บริษัททัวร์” ความคิดนี้น่าจะสืบทอดสายเลือดนักเดินทางมาจากคุณพ่อ จากที่ได้นั่งรถขึ้นเหนือล่องใต้ด้วยกันบ่อยๆ ตั้งแต่ยังเด็ก และ “อาจจะเป็นเพราะช่วงเด็กๆ หนูไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเลยมั้งคะ ส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวแล้วก็ทำงาน น้อยมากจะได้ไปกับเพื่อนๆ ก็เลยอยากทำทัวร์ค่ะ ชอบเที่ยวทั้งต่างประเทศ-ในประเทศ อยากไปทุกที่ที่มีธรรมชาติเลย แต่จะเปิดบริษัทมันเป็นเรื่องยาก ต้องใช้งบประมาณสูง ก็เลยยังดูๆ อยู่ค่ะ” ขยันคิดโปรเจกต์ขนาดนี้ ใครได้ไปเป็นศรีภรรยารับรองไม่อดตายแน่นอน
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : เอ๋-มณีรัตน์ คำอ้วน
วันเกิด : 11 พ.ย. 2528
ส่วนสูง : 170 ซม.
น้ำหนัก : 49 กก.
การศึกษา : บัณฑิตจากคณะมนุษยศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ผลงานเด่นๆ : บท “นุ้ย” จากภาพยนตร์เรื่อง “เพื่อนสนิท”, ละครเรื่อง “ธาราหิมาลัย” และ “เทวดาสาธุ”
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... ธนารักษ์ คุณทน