“โรบอตพูดไม่ชัด” คือสมญานามที่คอละครตั้งให้หลังจากงานแสดงเรื่องแรกในชีวิตของเธอออกอากาศไปได้เพียงตอนเดียว หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอเล่นแข็งเหมือนหุ่นยนต์ แถมยังพูดไม่ชัดด้วยสำเนียงแปลกๆ กว่าลูกครึ่งทั่วๆ ไป สรุปง่ายๆ คือนอกจากจะแสดงไม่เข้าตาแล้ว ยังชวนให้ขัดทั้งหูขัดตาคนดูอยู่ไม่น้อยทีเดียว
งานนี้ “พรีม-รณิดา เตชสิทธิ์” ได้แต่น้อมรับด้วยรอยยิ้มใสๆ ของสาววัย 15 แล้วตอบว่า “หนูก็เซ็งตัวเองเหมือนกันค่ะ แต่จะพยายามต่อไป ยังไงก็ขอโอกาสหน่อยแล้วกันนะคะ” อ้อนกันขนาดนี้ อีกไม่นานหุ่นยนต์ตัวนี้คงกลายเป็น “หุ่นยนต์ที่รัก” ของใครหลายๆ คนได้ไม่ยากอย่างแน่นอน
ไม่ต้องจับสังเกตก็พอจะเห็นได้ว่า “พรีม-รณิดา” นางเอกใหม่แกะกล่องของช่อง 3 พยายามพูดให้ช้าและชัดที่สุดตลอดการสัมภาษณ์ครั้งนี้ แต่ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งจึงทำให้สำเนียงของเธอยังคงแปร่งๆ ในหลายๆ คำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากคำที่ควรทอดเสียงยาวก็ตัดเสียงสั้น บางทีก็หยิบคำผิดๆ มาใช้จนทำให้ความหมายผิดเพี้ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็มี
จึงถือเป็นหนึ่งในน้อยครั้งนักที่ผู้สัมภาษณ์จะมีอารมณ์ลุ้นไปกับคำตอบของผู้ถูกสัมภาษณ์มากขนาดนี้ รวมถึงอดหัวเราะไปกับท่าทางโก๊ะๆ เปิ่นๆ ของเธอไม่ได้ ทุกครั้งที่นึกคำศัพท์ไม่ออก พรีมจะหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้จัดการส่วนตัวเพื่อช่วยเติมคำในช่องว่างให้ เมื่อผู้ช่วยสรรหาถ้อยคำที่สื่อความหมายได้โดนใจ พรีมจะพยักหน้ารับหงึกหงักให้แล้วปิดประโยคว่า “นั่นแหละค่ะที่อยากจะพูดล่ะ (หัวเราะ)” ถึงแม้ตอนนี้หลายคนอาจมองว่าปัญหาเรื่องภาษาคือจุดด้อยที่ควรแก้ไขโดยด่วน แต่หากลองเปิดใจทำความรู้จักเธอในบรรทัดต่อจากนี้แล้ว เชื่อว่าคุณจะ “หลงรักและเอ็นดู” ในสิ่งที่เธอเป็นได้โดยไม่ยากนัก
นางเอกหุ่นยนต์
ทันทีที่บอกสมญานาม “โรบอตพูดไม่ชัด” ออกไป เจ้าตัวก็ยิ้มรับด้วยสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด “จริงเหรอ เดี๋ยวต้องกลับไปเช็กดูซะแล้ว” น้ำเสียงของพรีมไม่มีอารมณ์ขุ่นมัวใดๆ แฝงอยู่ มีเพียงรอยยิ้มขี้เล่นและแววตานอบน้อมอย่างเห็นได้ชัด “พูดจริงๆ หนูก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้นเหมือนกันนะ ตอนนี้ก็พยายามปรับตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ แต่หนูเพิ่งย้ายเข้ามา ยังไงก็ขอโอกาสหน่อยแล้วกันนะคะ บางทีเห็นการแสดงของตัวเอง ตัวหนูเองยังรับไม่ได้เลย เอ๊ะ! ทำไมเล่นแข็งอย่างนี้เนี่ย อยากจะขอผู้กำกับว่าขอถ่ายใหม่ได้ไหมแล้วค่อยไปฉายใหม่ แต่ละครเรื่องนี้มันออนไปด้วยถ่ายไปด้วย ก็เลยต้องเร่งหน่อยหนึ่งเลยทำอย่างนั้นไม่ได้”
สำเนียงภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ได้รับอิทธิพลมาจากเชื้อชาติไหนกันแน่? “อิตาลีค่ะ” พรีมช่วยตอบให้หายข้องใจ “หนูเกิดที่เมืองไทย พออายุได้ขวบหนึ่งก็ย้ายไปอยู่ที่อิตาลี เพราะคุณพ่อเป็นคนอิตาลี เขาเลยอยากกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่นู่นค่ะ ส่วนคุณแม่เป็นคนจีนที่มาอยู่ที่ไทย เพราะฉะนั้นถ้าถามเรื่องเชื้อสายจริงๆ หนูไม่ใช่ลูกครึ่งอิตาลี-ไทยนะ แต่เป็นอิตาลี-จีน (ยิ้ม) ไปอยู่นู่นจนอายุ 10 ขวบ คุณพ่อเห็นว่าเศรษฐกิจยุโรปไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เรามีบ้านอยู่ที่ไทยอยู่แล้วด้วย ก็เลยย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยอีกรอบ แต่ตอนอยู่อิตาลีหนูไม่ได้พูดภาษาไทย ไม่ได้เขียน ไม่ได้ฝึกเลย พอย้ายกลับมาก็เลยต้องมาเริ่มทุกอย่างใหม่หมด”
จากที่พูดภาษาไทยไม่ได้เลย เธอใช้เวลาเพียง 3-4 เดือนในการพัฒนา ถือว่าเป็นหลักสูตรเร่งรัดที่โหดเอาการ ถามว่าทำไมต้องหัดให้เป็นภายในระยะเวลาอันสั้นขนาดนั้น พรีมเล่าว่าแรงผลักดันที่แท้จริงมาจากเรื่องการเรียน เพราะตั้งปณิธานเอาไว้แน่วแน่ว่าจะต้องเรียนโรงเรียนไทยเพื่อพัฒนาภาษา แต่ขณะนั้นเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะเปิดเทอมและเธอไม่อยากดร็อปไปเรียนปีหน้า จึงตะบี้ตะบันเรียนจนรอดมาได้ “หนูไม่ชอบหยุดเรียน ไม่อยากทำอะไรช้ากว่าคนอื่นค่ะ” เธอบอกเหตุผล
นับจากวันนั้นถึงวันนี้กินเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว ถือว่าเธอมีพัฒนาการด้านภาษาสูงทีเดียว คือฟังออก เขียนได้ และพูดรู้เรื่อง ถึงแม้สำเนียงจะยังแปร่งๆ ไปบ้างก็ตาม ส่วนเรื่องฝีมือการแสดงนั้นต้องเข้าใจว่ายังอ่อนประสบการณ์ คอละครเรื่อง “แม่ยายที่รัก” วิจารณ์อย่างหนาหูว่ารู้สึกไม่อินกับตัวละคร “มัทรี” และ “วันรบ” ไม่เชื่อว่าพรีมและชาคริตแสดงเป็นคนรักกัน เพราะดูอย่างไรก็เหมือนพี่น้องกันมากกว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้พรีมยอมรับตาใสว่ายากมากที่ต้องมองพระเอกไม้เลื้อยให้เป็นคนรัก
“เราอายุห่างกันตั้ง 17 ปีค่ะ หนูนับไว้แล้ว (หัวเราะแกมหยอกเย้า) ตอนแรกๆ ที่เล่นก็ยากเหมือนกันค่ะเพราะยังไม่ค่อยสนิทกัน แต่พอเข้าบทด้วยกันเรื่อยๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราอายุห่างกันมากๆ ขนาดนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องอายุไม่น่าจะเกี่ยว ที่ยากน่าจะอยู่ตรงที่ต้องมองพี่เขาให้เป็นแฟนเรามากกว่าค่ะ ช่วงแรกต้องพยายามเอาหน้าคนอื่นมาแทน หรือมองพี่เขาด้วยสายตาของน้องสาวมองพี่ชายไปก่อน มันถึงจะใกล้เคียงกัน แต่ด้วยความที่พี่คริตเขาเป็นคนส่งอารมณ์เก่ง เล่นเป็นธรรมชาติ หลังๆ เลยทำให้เราไม่ค่อยเกร็งแล้วก็ไหลไปตามเขาได้บ้างเหมือนกันค่ะ ช่วยได้มากเลย”
ถามว่าพอใจในการแสดงของตัวเองแค่ไหนในตอนนี้ พรีมยิ้มชืดๆ แล้วเปิดใจอย่างตรงไปตรงมา “ยังไม่ค่อยได้เลยค่ะ ตาแข็งมาก ถามตากล้องได้เลย (หัวเราะ) โดยเฉพาะช่วงแรกๆ เกร็งมาก ตัวแข็งตาแข็งไปหมด แต่พออยู่ในกองเรื่อยๆ ทุกคนก็ช่วยส่งบทพูดมาให้ เริ่มเกร็งน้อยลงแล้วค่ะ แต่ก็อยากจะปรับให้ดีขึ้นกว่านี้ไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องภาษาหนูก็เซ็งตัวเองเหมือนกันนะ คิดว่าเป็นจุดด้อยเลย ถ้าซีนไหนมีบทพูดยาวๆ หนูจะติดเหน่อ คิดว่าต่อไปถ้าได้เล่นมากกว่านี้ก็น่าจะเล่นได้ดีขึ้นค่ะ คงไม่หยุดอยู่แค่ตรงนี้ เอาเป็นว่าหนูจะพยายามปรับตัวให้ผลงานพัฒนาขึ้นไปอีก รับรองว่าถ้าติดตามผลงานหนูเรื่อยๆ จะไม่ผิดหวัง เพราะหนูจะพยายามและพัฒนาให้ได้เห็นแน่ๆ ค่ะ” แววตาของเธอมุ่งมั่นชัดเจน
ดันกันสุดฤทธิ์
“ชาคริต แย้มนาม” คือพระเอกคิวทองอีกหนึ่งคนของวงการ มีนางเอกทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่หลายคนฝันอยากร่วมงานด้วยแต่ยังไม่มีโอกาส เมื่อพรีมได้รับโอกาสนั้นอย่างง่ายๆ จึงถูกหลายคนมองว่าทางต้นสังกัดพยายามดันเธอจนออกนอกหน้า ไหนจะขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กในรั้ว “เอ-ศุภชัย” อีก เห็นทีต้องสอนศัพท์ภาษาไทยให้เธอได้รู้จักเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคำเสียแล้ว คำว่า “เด็กเส้น”
“อืม... (ย่นคิ้วนิ่งคิด) เด็กเส้นเลยเหรอ มันแรงนะ (หัวเราะ) ไม่หรอกค่ะ บางทีมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำว่าเส้นอย่างเดียวหรอก ที่พี่เอมักจะถูกคนอื่นมองว่ามีเส้นนู่นเส้นนี่ ก็ต้องมาดูว่าเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะพี่เขารู้จักคนเยอะหรือเปล่า ก็เลยถูกมองแบบนั้น แต่ที่หนูได้โอกาสตรงนี้ หนูไม่คิดว่าเป็นเรื่องเส้นนะ น่าจะเป็นจังหวะที่พอดีมากกว่าค่ะ หนูเชื่อว่าคนอื่นก็พร้อมที่จะเล่นละครเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ได้โอกาสตรงนี้ บังเอิญหนูโชคดี เดินเข้ามาในช่องช่วงที่พี่ๆ เขาต้องการพอดี มันก็เลยเป็นโอกาสของหนู แค่นั้นเองค่ะ เรื่องได้เล่นกับพี่คริตก็เป็นโชคดีอีกหนึ่งอย่างเหมือนกันค่ะ คงไม่แปลกถ้าคนอื่นจะอยากร่วมงานด้วย และถ้าใครมีโอกาสได้ร่วมงานกับพี่เขาก็จะไม่เสียใจแน่นอนค่ะ”
นอกจากพระเอกจะช่วยส่งบทให้แล้ว พรีมยังยอมรับว่าทุกคนในกองช่วยเธอจนออกนอกหน้า “ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ ค่ะที่ช่วยสอนตลอดเลย ไม่ว่าจะเป็นแม่ตุ๊ก-ดวงตา พี่หมิว พี่คริต พี่ก้อง สอนทั้งเรื่องการพูด บล็อกกิ้ง ต้องมองกล้องยังไง มุมไหน ทุกคนช่วยกันดันสุดฤทธิ์จริงๆ (หัวเราะ) ซีนแรกที่ถ่ายจำได้เลยว่าหนูเข้าซีนกับแม่ตุ๊ก ตอนแรกก็กลัวๆ คิดว่าเขาจะเป็นคนดุหรือเปล่านะ เห็นชอบเล่นบทร้ายๆ แต่พอได้เข้าฉากด้วยกัน รู้สึกว่าเขาเป็นคนใจดีมากเลยค่ะ คอยสอนทุกอย่าง น่ารักมากๆ ตอนแรกหนูเรียกแม่ตุ๊กว่าพี่ตุ๊กด้วย แต่พี่ตุ๊กบอกว่าอยากเป็นแม่มากกว่า เลยให้หนูเรียกใหม่ หนูก็เลยหายเกร็งไปเลย (ยิ้ม)”
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับพรีมตอนนี้คือฉากดรามา “บางซีนมีร้องไห้ เสียใจเพราะคิดว่าแฟนเจ้าชู้ นอกใจไปอยู่กับคนอื่น เราก็ต้องพยายามอิน คิดว่าตัวละครรู้สึกยังไง ทั้งๆ ที่อาจจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อน คือเราพอจะเข้าใจความรู้สึกตัวละครนะคะ เข้าใจว่าเวลาถูกโกหกจะรู้สึกแย่ขนาดไหน แต่หนูยังไม่มีประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตถึงขั้นทำให้หนูร้องไห้ได้เลย”
เพราะฉะนั้นงานหนักจึงตกไปอยู่ที่ “แมน-เมธี เจริญพงศ์” และ “นก-จริยา แอนโฟเน่” ผู้กำกับและผู้จัด ซึ่งถึงกับต้องเพิ่มคลาสเรียนแอ็กติ้งแบบพิเศษให้นางเอกหน้าใหม่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยจ้างอาจารย์มาสอนตีความตัวละครที่พรีมรับเล่นอยู่โดยเฉพาะ เรียนเพิ่มจากคลาสปกติที่ทางต้นสังกัดจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว เพื่อช่วยให้เข้าถึงบทบาทได้มากขึ้นไปอีก แบบนี้ถ้าไม่ให้เรียกว่าเป็นเด็กเส้น ต้นสังกัดดัน ก็คงหนีไม่พ้นคำว่า “ลูกรัก” เป็นแน่
ไม่มีคุณสมบัติ “นางเอก”
ได้นั่งแท่นเป็นนางเอกแล้ว ถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง พรีมเอาแต่ส่ายหน้าแล้วบอกว่า “ยังจั๊กจี้อยู่เลยค่ะ ยังไม่ชินเวลามีใครมาเรียก เอ๊ะ! เราเป็นนางเอกเหรอ ไม่ใช่มั้ง ไม่ต้องเรียกอย่างนั้นก็ได้ แต่จริงๆ ก็ชอบให้คนเรียกเหมือนกันนะ (หัวเราะ) ในเมื่อเราได้รับบทนี้แล้ว ไม่ว่าคนจะเรียกว่ายังไงเราก็ต้องทำความเคยชินกับมันค่ะ ตอนนี้ก็อาจจะเริ่มชินมากขึ้นแล้ว เพราะเพื่อนๆ จะเรียกบ่อย ชอบแซวกัน ถามว่ารู้สึกยังไงกับคำนี้ ทุกวันนี้ตัวเองยังไม่เชื่อตัวเองเลยค่ะว่าได้เป็นนางเอกแล้ว คิดว่าไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหนมันก็สำคัญทุกบทแหละ ขึ้นอยู่กับการเล่นของเราด้วย แต่หนูก็รู้สึกดีใจมากค่ะที่ได้รับโอกาสนี้”
อาจเพราะพรีมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติข้อไหนเหมาะแก่การเป็นนางเอก จึงไม่เคยชินกับคำคำนี้เลยสักครั้ง ภาพที่เคยวาดไว้ในหัวมักจะแตกต่างจากตัวตนของเธอราวฟ้ากับเหว “ต้องไม่โก๊ะ ต้องไม่ซุ่มซ่ามค่ะ เท่าที่เห็นมานะ ซึ่งถ้าวัดจากอันนี้ หนูคงเป็นไม่ได้ ที่สำคัญหนูว่าคนที่เป็นนางเอกน่าจะเป็นได้ทั้งนอกจอและในจอค่ะ ต้องเป็นคนที่วางตัวดี เป็นแบบอย่างที่ดีได้ ในเมื่อมีคนคาดหวังกับเราเยอะ เราก็ต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง เพราะเขาอุตส่าห์ให้ความเชื่อใจ ให้ความคาดหวังกับเราไว้แล้ว เราก็ต้องตอบแทนในสิ่งดีๆ กลับคืนเขาไปค่ะ”
ว่าแล้วเธอก็ขอยกตัวอย่าง 3 นางเอกในดวงใจให้ฟังเสียเลย เริ่มที่คนแรกกันก่อน “ที่ประทับใจมากเลยคือพี่หมิว (ลลิตา) ค่ะ รู้สึกว่าเขาเล่นได้ทุกบทจริงๆ ทั้งบทโก๊ะ บทผู้หญิงเรียบร้อยสง่างาม เวลาพูดถึงละครของพี่หมิวให้คนอื่นฟัง ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเลย แสดงว่าคนดูจดจำการแสดงของเขาได้ ที่สำคัญคือตอนเข้าวงการนิสัยยังไง ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ค่ะ เป็นคนที่น่ารัก เฟรนด์ลี่มาก ดูภายนอกเหมือนจะเงียบๆ ขรึมๆ แต่พอคุยด้วยแล้วจะรู้ว่าพี่เขาเป็นคนสบายๆ มาก เขาเป็นคนฉลาดค่ะ เป็นคนรู้ทันคน เข้าใจทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้อวดรู้ วางตัวได้เหมาะกับคำว่านางเอกจริงๆ”
รายต่อไปคือ “แอน-ทองประสม” คนนี้ถือเป็นไอดอลทางการแสดงของพรีมเลยทีเดียว “ตอนที่หนูย้ายเข้ามาใหม่ๆ ยังว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรเลยซื้ออุ้มรักมาดู ดูแล้วหลงรักพี่แอนตั้งแต่นั้นมาเลยค่ะ จากนั้นก็ซื้อดีวีดีของพี่แอนมาดูเต็มเลย ดูกี่เรื่องก็ไม่เบื่อเลย ที่น่านับถือมากๆ คือเวลาเล่นละครเขาไม่เคยแสดงเป็นตัวพี่แอนเลย ไม่เคยรู้สึกว่าเขาเป็นแอน ทองประสม แต่รู้สึกว่าเขาเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ”
ส่วนคนสุดท้ายในลิสต์คือนางเอกรุ่นพี่ไม่กี่ปีที่พรีมปลื้มมากชนิดที่ว่าแค่เธอคนนั้นเข้ามากด like ใน Instagram พรีมก็กรี๊ดไปได้ 3 วัน 7 วันแล้ว อันนี้ผู้จัดการส่วนตัวเผาให้ฟัง เจ้าตัวได้แต่พยักหน้ารับด้วยท่าทีเขินๆ แล้วพูดว่า “ชอบพี่ญาญ่า (อุรัสยา) มากค่ะ พี่เขาน่ารักมาก แล้วก็ไม่ได้ชอบเพราะน่ารักอย่างเดียวด้วย เพราะถ้าจะชอบด้วยเหตุผลนั้น ใครๆ ในวงการก็หน้าตาดีกันทุกคน แต่พี่ญาญ่าเป็นคนที่มีความอดทน ดูออกว่าเขารักการทำงานตรงนี้จริงๆ หนูเห็นแล้วรู้สึกได้เลยว่าเขาเห็นคุณค่าของสิ่งที่เขาทำ”
กลับมาถามเรื่องนางเอกที่นั่งอยู่ตรงหน้าดูบ้างว่าเธอวางลิมิตเกี่ยวกับงานแสดงไว้ขนาดไหน เริ่มจาก “ฉากเลิฟซีน” ก่อน พรีมสะอึกนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำนี้ นิ่งคิดสักพักแล้วบอกว่า “หนูไม่เคยคิดเอาไว้เลยนะ แต่ปกติหนูไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ค่ะ ถ้าเกิดว่าบทมันมายังไงก็ต้องแล้วแต่บท แต่หนูเชื่อว่าผู้ใหญ่เขาคงไม่เขียนอะไรออกมารุนแรงขนาดนั้น ก็เชื่อใจผู้ใหญ่ค่ะ เขาให้บทอะไรมาหนูก็ยินดี เรื่องบทหนูไม่เคยแยกตัวละครออกเป็นนางเอก, ตัวร้าย หรือว่าตัวรองอยู่แล้ว คิดว่าจะบทไหน ทุกบททุกตัวละครมันก็มีเสน่ห์ในตัวเอง ถ้าหนูได้รับโอกาสให้เล่นตัวไหนก็ตาม หนูก็จะเล่นตัวนั้นให้ดีที่สุดค่ะ จะพยายามดึงเสน่ห์ของตัวละครนั้นออกมาให้ได้ ยินดีเล่นทุกบทบาทเลยค่ะ แต่เป็นนางเอกก็สนุกดีนะ” พรีมปิดท้ายแฝงนัยเล็กๆ
ดาราอิตาลีไม่มีสมอง
ดาราวัยรุ่นที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงสมัยนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากการตะเกียกตะกายตามหาความฝันกันทั้งนั้น แต่สำหรับพรีมแล้ว นอกจากจะไม่เคยสนใจ ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาส เธอยังต่อต้านการทำงานในวงการบันเทิงอีกด้วย “เพราะที่อิตาลีจะแตกต่างจากที่ไทยค่ะ ที่นู่นคนจะนิยมทำงานอาชีพอื่นมากกว่า เพราะเขาคิดว่าอาชีพดารามันไม่ค่อยดี เป็นทางเลือกสุดท้ายที่คนจะทำกัน ถ้าเป็นที่อิตาลี ส่วนใหญ่เวลาดารานักแสดงให้สัมภาษณ์ ดูรู้เลยว่าเขาไม่ค่อยมีความคิดอะไรอยู่ในหัวเท่าไหร่ ทำให้คนอิตาลีมองว่าดาราเป็นอาชีพขายหน้าตา ไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรมากก็เป็นได้ พอมีพี่ๆ ผู้ช่วยพี่เอเข้ามาติดต่อหนูตอนแรก ก็เลยไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่ค่ะ”
หลังจากปรับทัศนคติทำความเข้าใจวงการบันเทิงไทยได้ว่าไม่ได้มีแค่ดารานักแสดงที่ขายหน้าตาอย่างเดียว คนที่มีความรู้ความสามารถเป็นที่นับถือของคนทั่วไปก็มีอยู่มากมาย เธอจึงเริ่มหันมาสนใจ จากนั้นถูกพาตัวเข้าไปคุยกับเอ-ศุภชัย เริ่มเก็บตัวเป็นเด็กในสังกัด เรียนแอ็กติ้ง กระทั่งเริ่มรับงานเดินแบบครั้งแรกตอนอายุ 14 ปี แต่กว่าจะถึงก้าวแรกของการทำงาน พรีมต้องปรับตัว เปลี่ยนบุคลิกอยู่นานเหมือนกันกว่าจะลงตัว
“ต้องปรับเรื่องการวางตัว การพูดคุย แล้วก็เรื่องภาษาค่ะ ต้องพูดไม่ง้องแง้ง ต้องพูดให้ชัด ให้คนฟังแล้วไม่รำคาญหรือคิดว่าเฮ้ย! น่าเบื่อจังเลย แล้วก็เรียนเรื่องบุคลิกภาพ วิธีคิด สอนเรื่องมารยาทว่าคนไทยถือเรื่องอะไรบ้าง หัดเรื่องการไหว้ด้วยค่ะ แต่ก่อนจะชอบไหว้ห่อๆ ไหล่ พี่เขาบอกว่ามันไม่สวย แล้วแต่ก่อนเวลาพูดจะไม่ค่อยมีหางเสียงเท่าไหร่ค่ะ เหมือนกับเราคิดจากภาษาอังกฤษมา แล้วภาษาอังกฤษมันไม่มีคะ-ค่ะ แต่ภาษาไทยจะต้องมีลงท้ายแบบนี้เกือบทุกประโยค ก็เลยต้องปรับเรื่องนี้ให้ชินด้วยค่ะ”
หลายคนสงสัยว่าการเป็นเด็กอยู่ในรั้วเงินรั้วทองของผู้จัดการเงินล้านคนนี้จะมีชีวิตเป็นอย่างไร มีกฎในสังกัดรัดกุมขนาดไหน จึงขอให้เด็กใหม่อย่างพรีมช่วยเผยความลับเล็กๆ ให้ฟัง เริ่มจากคำถามพื้นๆ ก่อนว่า “เด็กในสังกัดเอ-ศุภชัย ห้ามมีแฟนหรือเปล่า?”
“ก็คงไม่ถึงกับห้ามหรอกค่ะ แต่ส่วนหนึ่งด้วยความที่เขาเป็นผู้ใหญ่ เขาอาจจะมองว่าถ้ามีแฟนแล้วอาจจะทำให้สมาธิในการทำงานลดลง แล้วถ้าอยู่ในสังกัดเดียวกันมาเป็นแฟนกัน อาจจะยิ่งแย่หรือเปล่า ส่วนเรื่องอื่นพี่เขาก็จะสอนเรื่องการวางตัว ส่วนใหญ่จะเป็นในเชิงแนะนำมากกว่าค่ะ ไม่ถึงกับห้ามนั่นห้ามนี่ ขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะทำตัวยังไง ง่ายๆ คือบอกให้เราทำตัวน่ารักๆ นะคะลูก เจอผู้ใหญ่ก็ให้มีสัมมาคารวะนะ อะไรประมาณนั้นมากกว่า”
“พี่เอชอบเข้ามาดูพวกเราเวลาเรียนแอ็กติ้งค่ะ อย่างช่วงแรกๆ ที่หนูเรียน พี่เอก็จะแนะนำว่าให้ปรับเรื่องเสียงค่ะ บอกว่าเสียงหนูยังโมโนโทนอยู่เลยนะ มันฟังแล้วน่าเบื่อ ไม่มีเสน่ห์ในการพูด ตั้งแต่อยู่มาจะไม่มีการเรียกมาดุอะไรนะคะ แต่จะให้คำแนะนำพอเห็นว่าเรายังมีจุดที่น่าจะแก้ไขได้ตรงไหน พี่เขาก็จะบอกค่ะ"
"อย่างเรื่องชื่อหนู พี่เอก็เป็นคนแนะนำนะ คือจริงๆ แล้วหนูมี 2 ชื่อคือ “พรีม” กับ “เจนนี่” ชื่อเจนนี่เป็นชื่อเดิมที่หนูใช้ที่อิตาลี เพราะเวลาใช้ชื่อพรีมแล้วให้เพื่อนเรียก สำเนียงคนที่นั่นออกเสียงกันไม่ค่อยได้ ก็เลยต้องใช้เจนนี่ แต่พอกลับมาไทย คุยกับพี่ๆ เขา ถามข้อมูลว่าเราชื่ออะไร เราก็บอกไปทั้งสองชื่อ พี่เอเขาเลยเลือกให้ว่าใช้ชื่อพรีมดีกว่า เพราะเจนนี่มันจะไปคล้ายกับชื่อพี่เจนี่ (เทียนโพธิ์สุวรรณ) ค่ะ” ใส่ใจแม้กระทั่งชื่อของเด็กในสังกัดอย่างนี้นี่เอง ถึงได้รวยเอาๆ
เช็คเรตติ้งนาทีต่อนาที
ดาราคนอื่นๆ อาจมีฝ่ายดูแลคิวนักแสดงคอยประสานงานให้ แต่สำหรับพรีมเธอมีฝ่ายพิเศษที่จัดตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะด้วยคือ “ฝ่ายเช็คเรตติ้ง” ซึ่งผู้ดำเนินงานไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่คือคุณแม่ของเธอเอง “พอหนูสอนให้เขาเล่นเฟซบุ๊ก เสิร์ชกูเกิลเป็น แม่ก็เล่นไม่หยุดเลย (เล่าไปยิ้มไปแกมเอ็นดู) มีเช็คเรตติ้งแล้วมาคอยบอกเราเป็นระยะๆ ตั้งแต่ตอนยังไม่ได้แสดงละครแล้วค่ะ แค่ตอนถ่ายเอ็มวีคุณแม่ก็ยังเช็ค เสร็จแล้วก็โทร.มาหาพี่พลอย (ผู้จัดการส่วนตัวของน้องพรีม) เล่าให้ฟังว่ามีกระทู้แบบนี้ด้วยนะ มีข้อมูลน้องอัปขึ้นมาอีกแล้วค่ะ (ทำน้ำเสียงตื่นเต้น) ในพันทิปก็เช็ค เล่นทุกอย่างเลยค่ะตอนนี้คล่องมาก (หัวเราะ)”
ตกลงคุณแม่เช็กเรตติ้งแล้ว ฟีดแบ็กออกมาอย่างไร? “ตอนแรกหนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่าฟีดแบ็กละครหมายความว่าไง (หัวเราะ) บางทีหนูจะไม่ค่อยเข้าใจศัพท์หลายๆ คำค่ะ เพราะพ่อหนูก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ อยู่บ้านก็คุยแต่ภาษาอิตาลีกัน ภาษาอังกฤษก็ได้บ้างแต่ไม่ได้เก่งมาก แต่ตอนนี้รู้แล้วค่ะว่าฟีดแบ็กแปลว่าอะไร แปลว่าเสียงตอบรับใช่ไหม (หันมาถามเพื่อยืนยันความมั่นใจ) มันก็ดีนะคะเท่าที่ฟังมา เห็นเขาก็พูดกันว่าน่ารักดี” เมื่อเห็นว่าพรีมเอาแต่ยิ้มเขินๆ โดยไม่พูดอะไรต่อ ผู้จัดการส่วนตัวจึงทำหน้าที่แทน
“น้องมีแฟนคลับตั้งแต่ยังไม่ได้เล่นละครเป็นนางเอกเลยนะ มีคนตามเขามาตั้งแต่เล่นเอ็มวีให้พี่กันต์ เดอะสตาร์แล้ว ภายในเดือนเดียวมีคนมาขอเป็นแฟนคลับพันกว่าคน ซึ่งถือว่าเยอะนะสำหรับคนที่มีผลงานแค่เอ็มวีอย่างเดียว ตอนนี้ก็มีคนติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ในเน็ต แต่ยังไม่เคยมีใครตามมาที่กอง เพราะพวกเราไม่ได้ให้คิวไว้ แต่ตอนนี้ก็มีแฟนคลับเริ่มเรียกร้องขอคิวเข้ามาแล้ว (ยิ้ม) ต่อไปถ้าให้คิวก็คงมีคนตามเหมือนกัน” เมื่อเห็นว่าถูกป้อยอจนออกนอกหน้า พรีมจึงขอขยายความต่อเอง
“ตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะพี่กันต์เขามีแฟนคลับเยอะด้วยมั้งคะ แล้วปกติเพลงส่วนใหญ่ของพี่เขาจะเป็นเพลงช้าหมดเลย เพลงที่หนูไปเล่นเอ็มวีให้เป็นเพลงแรกที่พี่กันต์ลุกขึ้นมาเต้น คนก็เลยติดตามเยอะ หนูเลยพลอยมีคนรู้จักไปด้วยค่ะ” ถามว่ารู้สึกอย่างไรกับประสบการณ์การมีแฟนคลับของตัวเองครั้งแรกในชีวิต พรีมได้แต่ยิ้มกว้าง แววตาเป็นประกาย แล้วค่อยๆ กลั่นกรองคำพูดออกมาอย่างตั้งใจ
“ภูมิใจมากค่ะ รู้สึกเป็นเกียรติมาก เอ๊ะ! นี่หนูใช้ภาษาถูกใช่ไหมคะ ฟังดูสับสนมาก เดี๋ยวใช้ภาษาพูด เดี๋ยวใช้ภาษาทางการ (หัวเราะ) ก็รู้สึกภูมิใจค่ะที่มีคนชอบสิ่งที่เราทำ เพราะเราก็ทำอย่างเต็มที่ รู้สึกอยากให้ผลงานออกมาดีต่อตัวเราแล้วก็ดีต่อคนอื่นด้วย รู้สึกดีที่คนอื่นยินดีที่จะรับสิ่งที่เราส่งไปให้ ตอนแรกก็ตกใจ เอ๊ะ! จริงเหรอ เรามีแฟนคลับแล้วเหรอ พอมีแล้วก็ดีใจค่ะ พรีมก็จะพยายามวางตัวให้ดีที่สุด ทำในสิ่งที่เราคิดว่าควรทำ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าต้องปกป้อง privacy ของตัวเองอะไรมากมาย ยังไงซะถ้าเราทำดีก็ไม่ต้องกลัวอะไรอยู่แล้ว ต่อให้เราอยู่ในพื้นที่ของเราเอง เราก็สามารถให้คนอื่นเข้ามาได้ ถ้าเรามั่นใจว่าเราทำดีแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วค่ะ”
ระวังจะถูกวิเคราะห์
ให้ลองพูดถึงตัวเองในมุมที่คนทั่วไปอาจจะยังไม่ค่อยได้รู้จักดูบ้าง พรีมกวาดตานึกอยู่สักพักแล้วให้คำตอบ “เมื่อก่อนเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออกเลยค่ะ ตอนนี้ก็กล้ามากขึ้น ถามว่าเป็นคนยังไง หนูว่าหนูเป็นคนสบายๆ นะ ยังไงก็ได้ ยืดหยุ่นได้ ถ้าเจอคนอีกแบบหนึ่ง เราก็ปรับตัวให้เข้ากับเขาได้ เจออีกแบบก็ปรับได้อีก เขาเรียกว่าอะไรนะ... อ๋อ! เข้ากับคนง่ายค่ะ”
“เป็นคนดื้อด้วยค่ะ” ผู้จัดการส่วนตัวเริ่มปฏิบัติการจับพรีมมานั่งยางโชว์ เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ แล้วอธิบายให้ฟัง “เป็นคนดื้อเงียบค่ะ ถ้ามีใครพูดอะไรมาแล้วหนูมั่นใจว่ามันผิด หนูก็จะไม่ฟังเขาค่ะ คือจะไม่เถียงนะแต่ไม่ฟังไปเลย จะอยู่เงียบๆ แล้วก็คิดอยู่ในใจว่าฉันไม่เชื่อหรอก (หัวเราะ) หลังๆ หนักกว่าเก่า ชอบมานั่งวิเคราะห์คนค่ะ พอเรียนแอ็กติ้งเยอะๆ แล้วเราต้องคอยวิเคราะห์ว่าตัวละครคิดยังไงถึงพูดประโยคนี้ออกมา เลยติดนิสัยชอบวิเคราะห์มามั้งคะ ตอนนี้ก็ชอบคิดไปเรื่อยเวลาคุยกับใคร วิเคราะห์ไปว่าคนนี้นิสัยแบบนี้ แล้วทำไมเขาถึงนิสัยแบบนี้นะ” พรีมตีสีหน้าครุ่นคิด
แล้วมุมความรักล่ะ เราเป็นคนแบบไหน? “ว่าแล้วเชียวมันต้องมีคำถามนี้” เธอตอบรับทันควันด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “หนูเป็นคนชิลค่ะ ชิลจนไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลย ไม่ค่อยได้มีสเปกอะไรมาก” จบประโยคไม่นาน ผู้จัดการคนสนิทก็เปรยออกมาเบาๆ “แต่เราตอบสเปกพรีมได้นะ พรีมชอบคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ มีความคิด สิ่งแรกที่จะดึงดูดพรีมได้เลยคือต้องเป็นคนพูดจาฉลาดค่ะ ต่างจากเด็กรุ่นเขานะ ส่วนใหญ่เด็กรุ่นนี้จะชอบคนตลก มุกเยอะ หยอดเก่ง แต่พรีมไม่ใช่เลย พรีมไม่ค่อยชอบคนที่เข้ามาแล้วพูดเล่นกับเขามากๆ วันๆ เล่นอย่างเดียวแล้วไม่ตั้งใจเรียน ไม่ต้องมาจีบเลย” พรีมพยักหน้ารับหงึกหงักประมาณว่าพูดได้ตรงใจมากเลย
แล้วผู้ชายไม้เลื้อยอย่างบทพระเอกในเรื่องแม่ยายที่รักล่ะ? แววตาของเธอดูเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าถึงเวลาให้วิเคราะห์คนแล้ว
“เท่าที่หนูได้วิเคราะห์คนเจ้าชู้แล้วเนี่ย หนูว่าบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจจะเจ้าชู้นะ อันนี้ไม่ได้พูดมั่วนะ หนูนั่งวิเคราะห์จริงๆ กับคุณพ่อ เพราะคุณพ่อจบด้านจิตวิทยามาก็เลยชอบนั่งคุยกัน ได้คำตอบออกมาว่าคนเจ้าชู้บางคนอาจจะไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนั้น แต่มันมีจิตใต้สำนึกบางอย่างนำไปให้เขาทำแบบนั้น เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสค่ะ ช่วงแรกของวัยเขาอาจจะเคยเป็นคนเจ้าชู้ แต่ถ้าต่อไปเจอคนที่ใช่จริงๆ หนูเชื่อว่าทุกคนจะสามารถเปลี่ยนได้ แต่ถึงยังไงหนูก็ยังรับไม่ได้อยู่ดีค่ะถ้าจะมีแฟนนิสัยเจ้าชู้ รู้สึกว่าถ้าจะคบกัน เราต้องเคารพซึ่งกันและกัน ต้องเกรงใจกันบ้าง แต่ถ้าเจ้าชู้เล่นๆ ต่างคนต่างไม่ได้จริงจังก็ไม่เป็นไรค่ะ”
“ถ้าให้นิยามความรัก หนูว่ามันคือการที่เราได้อยู่กับคนคนหนึ่งแล้วมีความสุข ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาแรกๆ หรือแค่ช่วงโปรโมชัน อันนั้นใครๆ ก็มีความสุขได้ หนูว่าความรักจริงๆ เราไม่ต้องมานั่งคิดแล้วว่าเขาคือคนที่ใช่หรือเปล่า เราคิดถูกแล้วหรือเปล่า มันน่าจะมาโดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ กำหนดไม่ได้ เป็นเรื่องของความรู้สึกที่จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจ ความรักน่าจะเป็นพลังดีๆ ที่ทำให้เราลุกขึ้นมาทำเรื่องดีๆ ได้ค่ะ หนูคิดอย่างนั้นนะ” ไม่บอกก็รู้ว่าเธอช่างเป็นสาวน้อยวัยใสที่มองโลกในแง่ดีสมวัยจริงๆ
อาจจะดูไกลเกินไปที่จะถามเรื่องอนาคตของเด็กผู้หญิงวัย 15 คนหนึ่ง แต่พรีมก็ยินดีตอบเพื่อให้ทุกคนลุ้นไปด้วยกันกับความฝันของเธอ
“ถ้าเป็นเรื่องเรียน ตอนนี้หนูกำลังจะขึ้น ม.4 ค่ะ คิดไว้ว่าอยากเรียนภาษาสเปนและภาษาจีนให้ได้ เดี๋ยวขึ้น ม.ปลายหนูจะเลือกเรียนศิลป์-จีนค่ะ พอมหาวิทยาลัยคิดไว้ว่าจะเรียนอักษรศาสตร์ เอกสเปน มันเป็นภาษาฝั่งยุโรป น่าจะใกล้เคียงกับภาษาอิตาลี จะได้เรียนรู้ได้เร็วค่ะ อยากพูดได้หลายๆ ภาษา อย่างภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาที่ยาก พอเรียนได้ก็รู้สึกดีมากๆ ส่วนภาษาอื่นก็คิดว่าน่าจะสนุกเหมือนๆ กัน เวลาไปที่อื่นแล้วไม่มีใครคิดว่าเราฟังออก แต่จริงๆ แล้วเราฟังออก มันก็สนุกดีนะ ที่สำคัญจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมของแต่ละชาติด้วย หนูอยากรู้ว่าแต่ละที่จะแตกต่างกันมากขนาดไหน”
“ส่วนเรื่องการแสดง หนูวางไว้ว่าจะต้องมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ต้องพัฒนาตัวเองให้ได้ค่ะ ตอนนี้ก็กำลังพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่ค่ะ หวังว่าคนดูจะคอยได้นะคะ อยากให้คอยสังเกตพัฒนาการของหนูด้วยนะ” อ้อนกันขนาดนี้ ถึงจะถูกมองว่าเล่นแข็งอย่างไร เชื่อว่าคงทนใจแข็งต่อต้านเธอคนนี้ต่อไปได้ไม่นานแน่นอน
---ล้อมกรอบ---
โก๊ะจริงอะไรจริง
ไม่รู้จะเปรียบเทียบอาการ “โก๊ะ เปิ่น ฮา” ของพรีมกับอะไรดี ทีมงานละคร “แม่ยายที่รัก” จึงขอตั้งฉายาให้เธอว่า “ยิปซี” ส่วนจะมีที่มาที่ไปอย่างไร ให้เจ้าตัวอธิบายเองมันกว่า
“ยิปซีคือเด็กคนหนึ่งค่ะ เป็นหลานของคนในกองถ่าย อายุ 2 ขวบ แล้วนิสัยจะคล้ายๆ กับหนู คืออยู่ไม่นิ่งแล้วก็พูดไม่ชัดด้วย คนอื่นเลยเรียกหนูว่ายิปซี บางทีชอบทำอะไรโก๊ะๆ เหมือนน้อง เหมือนฝาแฝดกันเลยค่ะ (หัวเราะ)” ว่าแล้วพรีมก็เริ่มเล่าวีรกรรมเปิ่นๆ ให้ฟังทีละเรื่องสองเรื่อง
“มีเรื่องเยอะเลยค่ะ ตอนอยู่ในกองฯ หนูสะดุดเป็นชีวิตประจำวันเลย (พอถูกผู้จัดการส่วนตัวแซวว่าถึงขั้นสะดุดเป็นชีวิตประจำวันเลยเหรอ น้องพรีมก็ทำหน้าเขินๆ ประมาณว่าใช้ภาษาไทยผิดอีกแล้วเหรอเนี่ย) นั่นแหละค่ะ หนูพูดไปแล้วพี่ค่อยไปดัดแปลงให้เป็นภาษาที่อ่านรู้เรื่องเอานะ” อายม้วนให้กับความเปิ่นของตัวเองไปรอบหนึ่งแล้วจึงเริ่มเล่าต่อ
“ตอนนั้นมีฉากหนึ่งต้องเข้าไปในห้อง มีจุดหนึ่งในฉากห้อยเทียนเล็กๆ ไว้เยอะมาก ทีมงานก็เตือนให้ทุกคนระวังดีๆ นะ วันนั้นหนูก็มั่นใจว่าตัวเองก้มหน้าต่ำพอให้ผ่านได้ ปรากฏว่ามันไม่พ้น หัวหนูก็ไปชนกับเทียน น้ำที่ละลายจากเทียน (เธอหมายถึงน้ำตาเทียน) หยดใส่หัวหมดเลย ลำบากพี่ๆ ทีมงานต้องมานั่งขูดเทียนออกจากหัวให้อยู่ตั้งนาน ต้องทำผมใหม่แล้วค่อยเข้าฉาก อันนั้นเปิ่นที่สุดแล้วล่ะค่ะ” พอเห็นผู้จัดการส่วนตัวส่ายหน้าว่ายังมีฮากว่าเรื่องนี้อีก พรีมจึงนึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง
“ตอนไปงาน 42 ปี Family Event ของช่อง มีเด็กคนหนึ่งเขาร้องเพลงทะเลสีดำ เขาฝึกร้องอยู่ หนูก็ฝึกร้องไปกับเขา ขึ้นเพลงว่า “ทะเลสีดำ...” ทุกคนที่ได้ยินก็หันมามองประมาณว่าเสียงเราก็ใช้ได้อยู่นะเนี่ย พอประโยคถัดไป “... ไม่มีแส้งไฝ” เพี้ยนเลยค่ะ (หัวเราะ) จริงๆ ต้องร้องว่า “แสงไฟ” ทุกคนหันกลับมามองแบบหน้าอึ้งๆ กันหมดเลย ทุกวันนี้ก็ยังเอาเรื่องนี้มาล้อหนูอยู่เลยค่ะ”
นี่ยังไม่รวมความเปิ่นจากการใช้ถ้อยคำผิดๆ ในระหว่างสัมภาษณ์ เช่น ใช้คำว่า “ถือตัว” แทนคำว่า “วางตัว” ซึ่งความหมายแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว รวมถึงช่วงเวลาหลังแยกย้ายกันกลับบ้าน เห็นน้องพรีมเดินหาของตามโต๊ะ-เก้าอี้อยู่พักหนึ่ง เข้าไปถามจึงได้รู้ว่าเธอถอดรีเทนเนอร์ห่อกระดาษทิชชูวางเอาไว้ แต่ตอนนี้หาไม่เจอแล้ว ไม่รู้ใครเข้าใจผิดเผลอหยิบไปทิ้งแล้วหรือเปล่า จึงได้รับรู้ข้อมูลสำคัญในวินาทีนั้นว่าพรีมเคยฟันเหยินมาก่อนเลยต้องดัดฟัน และได้รู้อีกอย่างหนึ่งว่าเธอ “โก๊ะ เปิ่น ฮา” อย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่แรกจริงๆ
จอห์นนี่-เจนนี่ คู่ซี้พี่น้อง
เมื่อถามถึงญาติพี่น้อง จึงได้รู้ว่าพรีมมีพี่ชายอีกคน ชื่อ “จอห์นนี่” ซึ่งเป็นดาวน์ซินโดรม ทั้งสองคนสนิทกันมาก อยู่ดูแลเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก จนทุกวันนี้พี่จอห์นนี่ดูแลตัวเองได้ทุกอย่างแล้ว แต่เจนนี่ (พรีม)-จอห์นนี่ ก็ยังรักกันมากเหมือนเดิม
“เห็นอย่างนี้เขาเอาตัวรอดเก่งนะ เป็นคนมีเซนส์ด้วย ถ้ามีใครมาทำดีต่อหน้าแต่ในใจคิดอีกอย่าง เขาดูออกนะ เขาจะถอยตัวออกห่างเลย ไม่เข้าไปยุ่งกับคนคนนั้นอีกเลย ถ้าเกิดพี่ชายเจอคนที่เข้ากันได้ คุยด้วยแล้วถูกชะตา เขาจะจำรายละเอียดของคนคนนั้นได้ทุกอย่างเลยค่ะ เป็นคนความจำดีมาก จำได้ทั้งชื่อ ลักษณะท่าทาง สิ่งที่ชอบ พี่จอห์นนี่ดูแลตัวเองได้ดีมากเลยค่ะ แต่งตัว อาบน้ำ ขี่จักรยาน ทำแผลเองได้หมด แทบไม่ต้องห่วงเขาเลย อายุห่างจากหนูปีเดียวเอง เขาอายุ 16 จะมีแค่บางอย่างที่เราต้องช่วยเขา อย่างเรื่องทำการบ้านค่ะ”
ถามว่าห่วงพี่ชายมากไหม พรีมตอบด้วยแววตาอ่อนโยนว่า “ห่วงค่ะ” แล้วแบ่งปันช่วงเวลาน่าประทับใจให้ฟัง “หนูห่วงเขาแล้วเขาก็ห่วงหนูด้วย บางทีเวลาเห็นว่าหนูเครียด เขาก็จะมีวิธีแสดงออกของเขา เข้ามานั่งใกล้ๆ เรา ตบไหล่แล้วถามว่าเป็นอะไรเหรอ เราสนิทกันมากค่ะ เพราะบางทีคุณแม่ก็ออกไปธุระข้างนอก จะเหลือหนูอยู่บ้านกับเขา เป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกันมากที่สุดแล้ว บางทีเวลาเขาคุยอะไร เขาจะพูดไม่ค่อยชัด พูดภาษาไทยก็ไม่ค่อยได้ หนูก็ต้องเป็นล่ามเฉพาะกิจแปลให้ทุกคนฟัง (หัวเราะ)”
“ถ้าเป็นตอนเด็กๆ จะมีเกมเสริมทักษะให้เขาเล่น หนูก็นั่งเล่นกับเขา มีเกมจิ๊กซอว์ ต่อของเล่นให้เป็นรูปทรงตามช่องที่กำหนดไว้ เปิดวิดีโอฝึกภาษา มีหลายอย่างเลยค่ะ แต่ทุกวันนี้ก็ไม่ต้องเล่นอะไรแบบนั้นแล้วเพราะเขาเก่งแล้ว มีพื้นฐานที่ดีแล้ว สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเลย หลังๆ ใช้วิธีเสริมทักษะด้วยการเล่นเกมวีด้วยกันแทน หรือไม่ก็ร้องเพลงค่ะ พี่จอห์นนี่ชอบร้องเพลงมาก วันไหนอยู่บ้านว่างๆ ก็จะชอบร้องด้วยกันค่ะ สนุกดี” พรีมยิ้มตาหยี
ไม่รู้จักพี่เอ!
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าน้องพรีมไม่รู้จัก เอ-ศุภชัย มาก่อน และไม่ใช่แค่น้องพรีมคนเดียวด้วย แต่เป็นกันทั้งบ้าน เพราะตอนอายุ 13 พรีมและครอบครัวเพิ่งกลับมาจากอิตาลีใหม่ๆ ทุกคนยังไม่มีความรู้เรื่องวงการบันเทิงไทย พอมีคนเข้ามาติดต่อบอกว่าเป็นผู้ช่วยของเอ-ศุภชัย เธอกับแม่จึงเอาแต่ทำหน้างงๆ และรับฟังข้อมูลไป กลับถึงบ้านลองเสิร์ชอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลถึงได้รู้ว่า คือคนที่มีกระเป๋าแอร์เมสสะพายไม่ซ้ำแบบนี่เอง!
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล: พรีม-รณิดา เตชสิทธิ์
อายุ: 15 ปี
ส่วนสูง: 170 ซม.
น้ำหนัก: 49 กก.
การศึกษา: นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ รังสิต
ความสามารถพิเศษ : เต้นบัลเลต์, ร้องเพลง
ผลงาน: มิวสิกวิดีโอ “เหวี่ยงก็รัก” (กันต์ เดอะสตาร์), ละครเรื่อง “แม่ยายที่รัก”
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร