ทันทีที่ประกาศรางวัล “มิสไทยแลนด์เวิลด์2012” ตกเป็นของสาวหน้าคมลูกครึ่งไทย-เยอรมัน “ณฉัตร-วัลเณซ่า เมืองโคตร” ก็มีกระแสวิจารณ์ตามมา บ้างก็ว่าเธอสวยแบบแปลกๆ บ้างก็ว่าตำแหน่งนี้ถูกล็อกเอาไว้แล้ว แต่ไม่ว่ากระแสวิจารณ์จะเป็นอย่างไร ความตั้งใจของเธอคนนี้ก็เต็มร้อย พัฒนาตัวเองสร้างความมั่นใจ เดินเป๊ะ! ตอบคำถามฉลาด เรียกว่าฝึกซ้อมมาอย่างดีจนสามารถชนะใจกรรมการ และเชื่อว่าถ้าได้รู้จักเธอมากขึ้นหลายคนคงต้องเปลี่ยนทัศนคติ เพราะเธอสวยมาจากข้างในจริงๆ
นอกจากตำแหน่ง “มิสไทยแลนด์เวิลด์2012” เธอยังกวาดไปอีก 3 รางวัล คือ รางวัลนางงามรูปร่างดี โดย สปาชา สลิมมิ่ง เซ็นเตอร์, รางวัล Miss Beauty with a purpose นางงามที่อุทิศตนเพื่อสังคม และ Miss Top Model และกำลังเตรียมตัวไปประกวด'มิสเวิลด์ 2012' ที่อินเนอร์ มองโกเลีย ในเขตการปกครองของจีน ถือว่าเธอเป็นตัวแทนสาวไทยที่ไม่ได้มีดีแค่ความสวย แต่ยังมีทักษะความสามารถรอบด้าน ทั้งความสามารถในเรื่องของภาษา ทักษะการเดินแบบ แถมยังเคยเป็นนักกีฬาคาราเต้ทีมชาติ
เปลี่ยนนามสกุล...ได้ตำแหน่ง
ไม่รู้ว่าบังเอิญเหมือนหรือตั้งใจที่สาวลูกครึ่งของเวทีนี้โดยเฉพาะคนที่ได้ตำแหน่ง “มิสไทยแลนด์เวิลด์” จากที่เคยใช้นามสกุลฝรั่ง ต้องเปลี่ยนเป็นนามสกุลไทย ก็กลายเป็นข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่าพวกเธอรู้ก่อนล่วงหน้าหรือเปล่าถึงได้เปลี่ยนนามสกุล อย่างมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2011 “จูเลียน่า แบลชฟอร์ด” ก็เปลี่ยนเป็น “จูลี่-พัชริดา รอดคงคา”
“ชื่อวัลเณซ่า (vanessa) คุณพ่อชาวเยอรมัน (ไรเนอร์ แฮร์มันน์) เป็นคนตั้งให้ค่ะ มีสองความหมาย หนึ่งคือของขวัญของพระเจ้า อีกความหมายหนึ่งคือผีเสื้อ คือตอนเด็กใช้ชื่อภาษาอังกฤษ พอมาอยู่ที่ไทยคุณแม่ (ปัทมาวดี เมืองโคตร) ไม่รู้จะเขียนเป็นชื่อไทยอย่างไร ก็เลยสะกดว่า “วัลเณซ่า” แล้วกัน คนไทยน่าจะอ่านง่าย ส่วนชื่อเล่น “ณฉัตร” เป็นชื่อเล่นที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เพราะก่อนหน้านี้วัลไม่มีชื่อเล่น หลวงตาท่านตั้งให้ มีความหมายว่าสิ่งที่ปกปักรักษาคุ้มครอง วัลเห็นว่ามีความดีก็เลยเอามาใช้เลย”
ก่อนหน้านี้เธอใช้ชื่อ “วัลเณซ่า พวง แฮร์มันน์” ในการประกวด Miss Teen Thailand 2008 เวทีนางแบบ Thai Supermodel Contest 2011 (เข้ารอบ 10 คนสุดท้าย) แต่พอมาประกวดเวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์เธอก็เปลี่ยนทั้งชื่อเล่นและนามกุลเป็น “ณฉัตร-วัลเณซ่า เมืองโคตร”
แม่บ้านสาวเจ้าเสน่ห์
วัลเณซ่าเกิดที่ประเทศเยอรมนี แต่มาโตที่เมืองไทย เธอจึงมี 2 สัญชาติ ด้วยความที่คุณพ่อชาวเยอรมันอยากมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยเพราะอากาศดีกว่า และชอบบรรยากาศของทะเลจึงตัดสินใจย้ายกลับมาเปิดบังกะโลเล็กๆ ชื่อเดียวกับลูกสาว Vanessaอยู่กันแบบครอบครัว จำนวน 8 หลัง ที่หาดราไว จ.ภูเก็ต โดยสาววัลทำหน้าที่ดูแลทุกอย่างตั้งแต่เป็นผู้จัดการ ไปจนถึงพนักงานทำความสะอาด
“ลักษณะบังกะโล เป็นการดูแลแบบครอบครัว อยู่กันจำนวนน้อย ไม่ได้ใหญ่ และคอยช่วยเหลือแขกทุกอย่าง บริการด้วยความยิ้มแย้ม แขกจะติดใจเพราะว่าเราดูแลเขาเหมือนครอบครัว บางวันคุณแม่ซื้อผลไม้มาอร่อย ก็จะปอกให้แขก บางทีมีอะไรเขาก็เดินมาที่บ้าน เพราะว่าใกล้กันมาก แขกที่มาพักส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุชาวต่างชาติ เพราะว่าบังกะโลจะมีต้นไม้เยอะ แล้วก็เงียบ คนไม่ค่อยพลุกพล่าน คุณพ่อเป็นคนออกแบบ จะออกแนวเรียบๆ ไม่ค่อยมีอะไรมาก เน้นต้นไม้ซะส่วนใหญ่
วัลก็ทำหน้าที่ทุกอย่าง ต้อนรับแขก จัดสวน เป็นแม่บ้าน เพราะว่าคุณแม่จะไม่ไว้ใจให้คนอื่นมาทำความสะอาด ยกเว้นเป็นงานหนักก็จะจ้างคนมาทำ ตั้งแต่จำความได้ก็ต้องช่วยคุณแม่ทำความสะอาดทุกอย่าง วัลชอบทุกหน้าที่นะ เพราะว่าทุกหน้าที่ทำให้งานสมบูรณ์ บางครั้งวัลก็มีแนะนำคุณแม่ว่าน่าจะเปิดคอฟฟี่ชอปเล็กๆ แนะนำเรื่องการตกแต่งการจัดดอกไม้ว่าจัดแบบนี้นะ อยากให้มีน้ำพุหน่อย แต่คุณแม่ก็บอกยังก่อน เดี๋ยวก่อน ก็ต้องรอให้ท่านไว้ใจเราอีกนิดแล้วค่อยกลับไปทำใหม่”
เห็นดูเป็นสาวเปรี้ยวๆ ช่างแต่งตัว แต่เวลาอยู่บ้าน นอกจากช่วยคุณแม่ดูแลที่พักให้แขกแล้ว เธอยังมีเสน่ห์ปลายจวัก ทำอาหารได้หลายอย่าง โดยเฉพาะอาหารไทย แถมเธอยังการันตีว่าอร่อยด้วย
“เวลาอยู่บ้านวัลก็ชอบเข้าครัว ทำแกงจืด แกงส้ม แกงเขียวหวาน ผัดพริก ปลาทอด ก็ทำได้หลายอย่างค่ะ คุณแม่จะพาเข้าครัวตั้งแต่เด็ก ให้ยืนดู ก็เลยซึมซับมาตลอด พอโตมาก็เริ่มชอบ ตั้งแต่ดูเรื่อง "แดจังกึม" เริ่มขยันทำอาหาร เริ่มอยากจะเป็นแม่ครัว ส่วนใหญ่จะทำรสชาติที่ตัวเองกิน แต่ถ้าทำให้คนอื่นก็จะปรุงให้ถูกปากคนกินค่ะ อาหารฝรั่งก็ทำสปาเกตตี แซนด์วิช เบอร์เกอร์ค่ะ”
รักอิสระ...ไม่ยึดติด
ด้วยนิสัยที่เป็นคนรักอิสระ และไม่ยึดติดกับสถาบัน เธอจึงเลือกเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดโอกาสให้เรียนไปด้วยและทำงานไปด้วยอย่างที่เธอต้องการได้
“ตอนนี้วัลเรียนอยู่ปี 2 ที่ ม.รามคำแหง คณะมนุษยศาสตร์ เอกสื่อสารมวลชน ที่เลือกเรียนที่รามฯ เพราะวัลมองว่าเราสามารถเรียนไปด้วยทำงานช่วยคุณแม่ที่บังกะโลไปด้วยได้ และสามารถใช้เวลาที่เหลือทำอย่างอื่นได้ วัลคิดว่าการเรียนมันไม่ได้อยู่ในห้องเรียนอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือประสบการณ์
สมัยนี้มีการแข่งขันทางการศึกษาสูง แต่มันผิดที่คนไทยแข่งขันกันแล้วเหมือนแย่งกันเพื่อจะให้ได้เข้ามหาวิทยาลัย วัลว่ามันไม่ถูกต้อง จริงๆ แล้วมหาวิทยาลัยไหนมีการศึกษาที่สอนดีอยู่แล้ว อยู่ที่ตัวนักศึกษาหรือตัวบุคคลว่าจะตั้งใจไหม ไม่อยากให้คนไทยแย่งกันเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้วบอกว่าฉันเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้นะ ส่วนที่เลือกเรียนคณะนี้เพราะวัลเห็นความสำคัญของเรื่องการพูด การสื่อสารทั้งหมด ปัจจุบันนี้โลกมันต้องใช้การสื่อสารเยอะ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ตอนนี้ก็มีคิดเอาไว้ว่าพอเรียนจบที่รามฯ แล้ว ก็อยากเรียนต่อเกี่ยวกับแฟชั่นดีไซน์ หรือว่าทำอาหาร เป็น 2 สิ่งที่วัลชอบ
ตั้งแต่ประถมเลย วัลคิดว่าอยากทำงานแล้ว ไม่อยากจะเรียนแต่ว่าเราต้องเรียนให้จบ เพื่อที่จะทำงาน พอโตขึ้นก็รู้ว่าที่รามฯ สามารถที่จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยก็คิดว่านี่แหละโอกาสที่เราจะเรียนด้วยและได้ประสบการณ์จากการทำงาน วัลรู้สึกว่ามีความภูมิใจมากกว่า เวลาเราซื้อมือถือได้ด้วยตัวเอง ซื้อของที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ขอเงินคุณพ่อคุณแม่ซื้อ แต่เราซื้อได้ด้วยเงินของเราเอง เราก็ได้เห็นคุณค่าว่ามันได้มายาก”
คุณพ่อจากไปด้วยโรคมะเร็ง
“ภาพที่วัลจำคุณพ่อได้และติดตามาจนถึงวันนี้คือคุณพ่อขยันทำงาน แล้วก็แบ่งเวลา ท่านเป็นคนชอบอ่านหนังสือ” สาววัลเล่าถึงความทรงจำในวัยเด็ก ที่แม้จะเลือนรางเต็มทีเพราะคุณพ่อจากเธอไปตอนอายุ 6 ขวบ แต่เธอก็ยังมีภาพติดตาและใช้ชีวิตอย่างที่คุณพ่อเคยสอนเอาไว้
“คุณพ่อเสียไปตั้งแต่อนุบาล 3 ท่านเป็นมะเร็งแล้วก็ลามไปที่สมอง วัลก็เลยเป็นคนรักสุขภาพ เพราะเห็นผลของการสูบบุหรี่มันไม่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นก็อยากให้คนไทยหันมารักษาสุขภาพ เพราะหลายปีหลังๆ มานี่มะเร็งมีอัตรามากขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่วัลจำได้คือคุณพ่อจะบอกว่าไม่ให้ทิ้งขยะ ไม่ให้เด็ดใบไม้ ในกระเป๋าจะมีแต่ขยะ เพราะไม่กล้าทิ้งข้างนอก
ตอนอยู่เยอรมันคุณพ่อเปิดคอฟฟี่ชอปกับคุณแม่ คุณพ่อทำเบเกอรีคุณแม่ทำกาแฟ พอย้ายมาอยู่ที่นี่ก็เปิดบังกะโลเพราะคุณพ่ออยากมาอยู่ที่ไทยเพราะอากาศ ที่นู่นอากาศหนาว คุณพ่ออยากมาอยู่ที่ทะเล ทะเลบ้านเราสวย ตอนคุณพ่อเสีย ก็ได้ไปเยอรมันครั้งหนึ่ง เยี่ยมคุณย่า แต่ณ ปัจจุบันคุณย่าก็เสียไปแล้ว ก็เลยเหลือญาติแค่คนเดียว คือน้องสาวคุณย่า ปีนี้กลางปีก็ตั้งใจจะเก็บเงินซื้อตั๋วไปเยี่ยมเพราะท่านอายุมากแล้ว ถ้านานไปก็กลัวจะไม่ได้เจอ”
พอถามถึงเรื่องภาษาเยอรมันที่เธอพูดได้คล่อง เธอบอกว่ามีตัวช่วยคือแขกที่มาพัก ทำให้เธอได้ฝึกสนทนากับชาวต่างชาติอยู่เสมอ “ภาษาเยอรมันก็พูดสื่อสารได้ค่ะ เพราะว่าแขกที่มาพักมีชาวเยอรมัน อิตาลี ส่วนมากจะพูดอังกฤษ แต่ถ้าเจอคนเยอรมันวัลจะพูดเยอรมันกับเขา วัลก็ได้ฟังสำเนียงของหลายๆ ประเทศ เขาก็จะชมว่าสวย (หัวเราะเขินๆ) แต่เวลาอยู่ที่บังกะโลก็จะทำงาน ก็อาจจะยังไม่ค่อยสวยเท่าตอนนี้”
ฝันให้ไกลไปให้ถึง
จากเด็กสาวรูปร่างผอมบาง ผิวขาว ตัวสูง เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอจึงมีความฝันอยากเป็นนางแบบ และพัฒนาตัวเองทั้งเรื่องรูปร่าง บุคลิกภาพ ท่าทางการเดิน เริ่มต้นเดินตามความฝันโดยการเข้าประกวดเวทีนางแบบ และสานฝันต่อมาจนถึงเวทีนางงาม ด้วยเหตุผลว่าอยากเป็น “ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ”
“เวทีนี้ให้ความภูมิใจ เราดูเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ ผู้หญิงที่มีคุณค่าและเป็นต้นแบบของผู้หญิงคนอื่นได้อีก เราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นอีก เพื่อที่จะประกวดมิสเวิลด์ต่อไป คุณค่ามาจากตัวเรา อยากให้ผู้หญิงทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง และก็ไม่พยายามยึดติดกับสิ่งนอกกายมากเกินไป เพราะบางทีของนอกกายมันไม่สำคัญเท่ากับจิตใจ และเป็นคนที่พร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่น คนที่จิตใจดีจะดูสวยยิ่งกว่าผู้หญิงที่ใส่ชุดราคาแพงแต่จิตใจไม่ดี เรื่องรูปร่างภายนอกทุกคนสามารถทำให้ดีขึ้นได้ แต่จิตใจสำคัญกว่า
ตอนแรกวัลไม่มั่นใจเพราะต้องใส่ชุดบิกินี กลัวเรื่องใส่ชุดว่ายน้ำ แต่แม่บอกว่า อายุ 20 แล้ว ไปเถอะ ไม่ต้องเขินหรอก ปกติไม่เคยใส่ชุดบิกินีเลยค่ะ เวลาว่ายน้ำวัลก็จะใส่เป็นชุดว่ายน้ำเหมือนนักดำน้ำ เป็นกางเกงขาสั้น เสื้อกล้าม คอเต่า”
การที่เคยประกวดเวทีนางแบบมาก่อนถึง 2 เวที คือ ASNI Guest Model และ Thai Supermodel Contest 2011 ก็เป็นการฝึกพื้นฐานการเดินแบบ แต่ความรู้สึกที่ได้สัมผัสเวทีนางงามก็แตกต่างกันมาก จึงต้องปรับตัว และทำการบ้านเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง สิ่งสำคัญที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จ คือความตั้งใจ และใส่ใจรายละเอียดของการฝึกซ้อมเพื่อพัฒนาตัวเอง
“ก่อนประกวดวัลก็ดูคลิปวิดีโอเก่าๆ ดูการเดิน ดูการตอบคำถาม ดูการวางตัว เราก็ต้องซ้อมเดิน ซ้อมพูด ตั้งแต่ช่วงที่เปิดรับสมัคร ช่วงนั้นวัลก็ฝึกภาษาโดยให้คุณลุงโทร.มาจากอังกฤษ เพื่อฝึกสำเนียงภาษาอังกฤษให้เก่งมากขึ้น แล้วก็ฝึกการเดิน เพราะวัลจะติดเดินแบบนางแบบ ก็ต้องเดินให้ซอฟต์ลงและมีความสดใสมากขึ้น
เวทีนางงามแตกต่างจากเวทีนางแบบมาก เวทีอื่นต้องใช้ความมั่นใจ บุคลิกภาพ การเดิน การพรีเซ็นต์ เวทีนางงามต้องใช้ความสามารถมากขึ้น ต้องใช้ความรู้รอบด้าน ต้องมีความพร้อมทั้งทางร่างกายจิตใจ เพราะเราต้องไปเจอผู้คมากมาย เราต้องคอยให้กำลังใจคนอื่น คอยต้อนรับ เพราะฉะนั้นเราต้องมีบุคลิกที่ดี
การที่ได้ตำแหน่งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากที่เคยเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ ก็ต้องกลายเป็นคนสนุกสนานร่าเริง พูดจา เข้ากับผู้คนง่ายขึ้น
ถ้าถามถึงความมั่นใจวัลมั่นใจเรื่องการเดิน แต่ต้องเพิ่มรอยยิ้มให้สดใสมากขึ้น ประสบการณ์การเดินแบบช่วยได้เยอะมากค่ะ เวลาวัลไปที่ไหนจะบอกคนอื่นเสมอให้ฝึกเดินให้ดูดี จะไปหยิบน้ำ ก็ให้ทำเป็นว่าเดินไปแล้วก็โพส เพื่อนๆ ที่ประกวดด้วยกันวัลก็จะบอก บางคนก็มาให้สอน เพราะเห็นว่าเราเคยมีประสบการณ์มาก่อน เวลาเรามั่นใจ เราก็จะสามารถคอนโทรลตัวเอง เวลาแนะนำคนอื่นเราก็จะบอกเขาว่าให้หาจังหวะของแต่ละคน เพราะการก้าวย่างของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ทุกคนจะมีเอกลักษณ์ในการเดิน”
“เมื่อก่อนวัลก็เป็นคนเดินไม่สวยนะคะ เราต้องพยายามดูกระจก แต่ถ้าเวลาหันหลัง เราจะเผลอ ก็จะอัดวิดีโอตั้งเอาไว้ แล้วก็เดินไปเดินกลับ แล้วก็มาดูว่า ตั้งแต่เท้า การวางเท้า สะโพก การวางมือ จังหวะของแขน เราต้องดูเป็นส่วนๆ แล้วเราก็ค่อยๆ พัฒนา เพราะมันไม่สามารถจะปรับได้ในเวลาเดียว
เวลาสอนเพื่อนวัลก็จะให้เขาเดินหลายรอบ จนเพื่อนบอกว่าได้หรือยัง คือแต่ละรอบมันไม่เหมือนกัน เราต้องหาจุดการวางมือ การวางขา สรีระของขา
วัลคิดว่าถ้าเรามาสมัครแล้วเราต้องมีความตั้งใจ ถ้าเรามาสมัครแล้วเราไม่มีความตั้งใจ มันก็ไม่มีผลอะไร เพราะฉะนั้นวัลจะตั้งใจมากที่จะพัฒนาตัวเอง เรื่องการวางตัว การตอบคำถาม การเข้าสังคม ต้องฝึกฝนทุกอย่าง”
ใช้ธรรมะกับทุกเรื่อง
สังเกตว่าเธอเป็นคนที่สนใจเรื่องของพุทธศาสนา จากคำถามที่ว่าจะสอนวิชาอะไรแก่เด็กๆ เธอตอบว่า “จะสอนวิชาพระพุทธศาสนาค่ะ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นต่อมนุษย์ทุกคน และควรปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ อายุน้อยๆ เพื่อให้เด็กซึมซับและพัฒนาตัวเอง เพื่อเป็นคนดีของสังคม ศีลห้าเป็นพื้นฐานของทุกคน และโดยส่วนตัวของดิฉันเองมีศีลห้าเป็นพื้นฐานค่ะ”
เธอเล่าถึงความสนใจในเรื่องของธรรมะว่าเริ่มมาจากคุณแม่ชอบไปวัดป่า เธอจึงได้ติดตามไปด้วยตลอดและได้ซึมซับนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวัน และมีหลวงตาเป็นที่พึ่ง คอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ
“เรื่องบุคลิกภายนอกมันอยู่ที่การฝึกซ้อม แต่เรื่องของจิตใจก็ต้องคุยกับใครสักคนค่ะ ก่อนวันประกวดเขาจะให้โทร.หาใครก็ได้ 5 นาที ก็โทร.ไปหาคุณแม่ แต่คุณแม่บอกว่า แม่คุยไม่ได้นะ อยู่บนเครื่อง วัลก็เลยโทร.หาหลวงตา ท่านเป็นพระสายกรรมฐาน อยู่ที่สำนักสงฆ์ยวนผึ้ง จ. ภูเก็ต บอกหลวงตาช่วยอวยพรหน่อย เพราะว่าคุณแม่ยกให้วัลเป็นลูกสาวหลวงตา หลวงตาก็เลยบอกว่า ให้เรามีสมาธิ เป็นตัวของตัวเอง ก็ร้องไห้เลยค่ะ
สมาธิสามารถช่วยเราได้ทุกเรื่อง ขณะที่เราเดิน ขณะที่เราตอบคำถาม มีสมาธิกับคำถามที่เขาให้มา ขณะเดียวกันเราก็นึกคำตอบที่จะตอบไป อย่างเมื่อก่อนวัลไม่ค่อยมีสมาธิ เป็นคนคิดมาก หลวงตาก็จะแซวว่า เดี๋ยวหาพื้นที่ในวัดให้ แล้วจะจับโกนผมให้บวชชีซะเลยหลังวัด จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย มีแค่นาทีนี้ ตรงนี้
หลวงตาจะคอยบอกเสมอว่าให้ระวังผู้คน และมีสติกับตัวเอง อย่าเอาใจเราไปใส่คนอื่น เวลาได้ยินใครพูดอะไรอย่าเอาใจเราไปไว้กับเขา บางทีเราไปฟังคนอื่นมากเกินไปเราจะเสียความเป็นตัวเอง แล้วก็เรื่องสมาธิ สิ่งสำคัญเลย ต้องคิดว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ถูกหรือเปล่า ให้มีเหตุผลในการทำอะไรหรือไม่ทำอะไร
คุณแม่จะชอบไปวัดแบบวัดป่า เน้นการปฏิบัติ ฝึกสมาธิ คุณแม่ชอบไป วัลก็เลยชอบด้วย หลังๆ ก็เริ่มเข้าใจ และรู้ว่าสิ่งที่ท่านทำมันถูกแล้ว แล้วเราก็สามารถที่จะมาบอกคนอื่นได้ เราก็เป็นสื่อกลางด้วย พื้นฐานของทุกคนควรจะมีศีล 5 เป็นคำตอบที่วัลตอบบนเวทีด้วย ถ้าคนไหนไม่มีศีล 5 เขาจะไม่มีความเป็นมนุษย์อย่างเต็มตัว ดังนั้นมันเป็นพื้นฐานที่ดี อยากให้ทุกคนมี ประเทศก็จะเจริญโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรมาก แค่มีศีล 5 ทุกคืนต้องสวดมนต์ คืนไหนเหนื่อยมากๆ ก็มีแอบๆ บ้าง ก็จะพนมมือแล้วพูดว่า คืนนี้หนูขอนะคะ แล้วท่องนะโม 3 จบ แค่นั้น ส่วนเรื่องทำสมาธิ ทุกขณะเราสามารถทำสมาธิได้ ไม่ว่าจะเข้าห้องน้ำ อ่านหนังสือ
วัลเป็นคนคิดบวก เวลาเห็นข้อผิดพลาดของคนอื่น วัลก็จะมองว่าทำไมเขามีผิดพลาดแบบนี้เพราะอะไร พอเราเข้าใจเหตุผลของเขา เราก็สามารถเข้าใจเหตุผลของเขาได้ เรามีความเชื่อว่ามันไม่มีอะไรเป็นจริง ในโลกใบนี้ ทุกคนสมมติกันหมด แม้แต่ตัวเราเองเราก็สมมติว่าเราเป็นเรา ชื่อนี้ จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเลยค่ะ ทุกคนมีแค่ดวงจิตดวงเดียวที่เหมือนกัน คิดอย่างนี้แล้วเราจะไม่ยึดติด เหมือนที่พระบอกว่าอย่าไปยึดติดกับสิ่งนอกกาย มันก็เลยไม่ผูกพัน เวลาเราสูญเสียอะไรไปเราก็จะไม่ร้องไห้ฟูมฟาย
อย่างวัลเสียคุณพ่อไป ตอนนั้นยังเด็ก ยังไม่รู้เรื่อง แต่พอโตขึ้นเรารู้ แล้วเราก็เริ่มจะเกเรบ้าง มีน้อยใจคุณแม่บ้าง แต่พอเรารู้ธรรมะมากขึ้น เราก็เข้าใจว่ามันเป็นอย่างนี้นะ ชีวิตทุกคนก็มีแค่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็มีอยู่เท่านี้ หนีไปไหนไม่พ้นขึ้นอยู่กับว่าจะเร็วหรือช้า”
ไม่แพงก็สวยได้
ไม่ติดหรู ไม่ติดแบรนด์ ใช้ชีวิตแบบพอเพียง คือแนวทางการใช้ชีวิตของนางงามคนนี้ “ตัววัล วัลชอบแฟชั่น แต่เรามองว่ามันมีข้อดีคือใช้ความคิดที่จะสื่อมาเป็นสิ่งของ อยากให้เรานึกถึงสิ่งที่เขาแสดงออกมา ไม่ได้ยึดติดกับสิ่งที่เขาทำออกมา เพราะว่ามันก็คือสิ่งของอย่างหนึ่ง เราไม่ยึดติดกับอะไร อะไรที่ใส่แล้วดูดี เข้ากับบุคลิกของเราก็พอแล้ว
แนวคิดของวัลก็คือความพอเพียงค่ะ ทำสิ่งที่เราสามารถทำได้ ถ้าสิ่งไหนเยอะเกินไป ไม่สมควรก็ไม่เอา มันสั้นและง่ายมาก แค่คำว่า “พอเพียง” บางครั้งก็มีบ้าง เห็นแว่นสวยอยากได้ แต่ก็ถามตัวเองว่าจะใส่ไปไหน วัลเป็นคนที่เลือกซื้อของนานมาก จะคิดเยอะว่าซื้อตัวนี้แล้วใส่ไปงานนี้ได้ไหม ต้องให้ได้หลากหลาย เป็นคนชอบชอปปิ้งนะคะ เดินได้ทั้งวัน แต่จะได้ของกลับมาหรือเปล่านั้นอีกเรื่องหนึ่ง
สาววัลยอมรับว่าเป็นคนที่ดูแลตัวเองมาก ไม่เฉพาะเรื่องรูปร่าง หน้าตา แต่ดูแลไปจนถึงเรื่องการกิน เน้นกินอาหารแบบชีวจิต และวิตามินเสริม
“วัลให้ความสำคัญกับเรื่องการรับประทานอาหาร เรามีทั้งระเบียบและเวลา ใช้สูตรง่ายๆ คืออันไหนไม่ดีก็ไม่แตะเลย ฟาสต์ฟูดนี่ไม่เคยแตะเลย ตั้งแต่เด็กคุณแม่ไม่เคยพาเข้าร้านอาหารฟาสต์ฟูด ปกติจะกินอาหารไทย เมนูประจำก็ปลานึ่ง ผักนึ่ง น้ำพริก ที่บ้านจะชอบกินอาหารชีวจิต ที่บ้านปลูกผักเอง โดยส่วนตัววัลก็ไม่ทานเนื้อสัตว์วันพุธ(วันเกิด)กับวันพระ
ช่วงก่อนประกวดวัลไม่กินแป้ง ไม่กินของหวาน กินแต่ผักกับผลไม้ค่ะ มีเข้าฟิตเนสอยู่ 2-3 ครั้ง แต่ปกติมีเวลาว่างวัลก็จะไปออกกำลังกาย ไปว่ายน้ำ บางทีอยู่บ้านก็จะนอนปั่นจักรยานอากาศ ยืดกล้ามเนื้อ ปกติแล้วเป็นคนดูแลตัวเองเยอะค่ะ จนเพื่อนบอกว่าผ่อนๆ วิตามินบ้างก็ได้นะ เขาเห็นวัลกินวิตามินเยอะมาก เอ ซี อี น้ำมันตับปลา น้ำมันรำข้าว ขมิ้นชัน คือทุกอย่าง บางวันเรารับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ วิตามินก็ช่วยทดแทนได้ แต่ก็ไม่กินเป็นระยะเวลานานเพราะมันจะสะสม นอกจากนั้นก็เป็นคนดูแลผิวพรรณ ดูแลตัวเอง เรื่องการแต่งหน้า การทำทรงผม ก่อนหน้านี้เวลาไปเดินแบบเราจะไปหน้าเปล่า ผมเปล่า เพื่อให้เขาทำให้ แต่ตอนนี้เราต้องเป็นคนที่เพอร์เฟกต์ก่อนออกจากห้อง ต้องให้พร้อมทุกอย่าง"
อดีตนักคาราเต้ทีมชาติ
เท่าที่สัมผัสได้ดูเธอเป็นคนนิ่งๆ มีความอ่อนหวาน บุคลิกเรียบร้อย วางตัวดี แต่เธอก็มีมุมห้าวๆ ดุๆ เหมือนกัน เพราะเธอเคยเป็นนักกีฬาคาราเต้ ตั้งใจฝึกซ้อมจริงจังจนถึงขั้นได้เป็นนักกีฬาทีมชาติ
“วัลเคยเป็นนักกีฬาคาราเต้มาก่อน เมื่อก่อนจะเป็นผู้หญิงห้าว ต้องแข่งขัน มีการชกต่อย วัลคิดว่าผู้หญิงต้องมีหลายบุคลิก เพราะแต่ละบุคลิกจะช่วยเราได้ เช่น ความเข้มแข็งก็ช่วยให้เราสามารถต่อสู้ แข่งขันกับคนอื่นได้ ส่วนความอ่อนหวานก็เรื่องของการเข้ากับคนอื่น ก็ช่วยได้เยอะ
ตั้งแต่เด็ก อยากเรียนเต้น อยากเรียนดนตรี แต่คุณแม่ก็บอกว่ายังก่อน อย่าเพิ่งเลย จนวัลเข้าโรงเรียนสตรี มีชมรมที่เราสามารถจะเลือกเข้าได้ เราก็เลยเลือกเรียนคาราเต้ หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าไปเป็นนักกีฬาจ. ภูเก็ต พัฒนาตัวเองจนเป็นนักกีฬาเขต มาแข่งขันในประเทศ แล้วก็แข่งทีมชาติ อยู่ 2-3 ครั้ง ภูเก็ตไทยแลนด์โอเพ่น กับแปซิฟิก เวลาแข่งหน้าแข้งก็แตก เล่นแบบไม่ห่วงสวย แบ่งสายมีขาวปลายเหลือง เหลืองปลายเขียว ไล่ไปเรื่อยๆ ของวัลนี่น้ำตาลปลายดำ ถ้าสูงสุดก็จะเป็นสายดำ มีดั้ง 1 ดั้ง 2
มีช่วงหนึ่งหยุดเล่นเพราะพออยู่ ม.ปลายร่างกายเราเริ่มอ่อนแอ คุณแม่ก็บอกว่าเราเล่นหนักเกินไปแล้ว ตอนเป็นนักกีฬาต้องตื่นตี 5 ไปวิ่ง ไปซ้อม วอร์ม ประมาณ 9 โมง กินข้าว ซ้อมจนถึงเที่ยง กินข้าว พัก ซ้อมตั้งแต่บ่ายโมง จนถึงเที่ยงคืน คือด้วยสรีระของเราด้วยมันไม่ให้ที่จะเป็นนักกีฬา เราสูงเกิน แล้วก็เพรียว นักกีฬาตัวจะต้องหนา เวลาโดนเตะครั้งหนึ่งก็จะเจ็บกว่าคนอื่น ช่วงบนเราเล็กก็เลยไม่เหมาะ แต่ใจเรารัก ก็ต้องผ่อนลง อาจารย์ก็บอกว่าไม่เป็นไร ก็ให้มาซ้อมมาเล่นเป็นกีฬาได้
แต่ก่อนตัวหนาค่ะ เคยหนัก 58 แล้วตอนช่วงหลังก็ลดจนเป็น 53 ช่วงไม่สบายก็ลดลงมาเป็น 48 ช่วงที่ใกล้เลิกเล่น วัลเป็นโรคเกี่ยวกับเม็ดเลือด เม็ดเลือดขาวสูง การเผาผลาญหรือการผลิตไม่ดีน่ะค่ะ เหมือนเราพักผ่อนน้อย และใช้ร่างกายหนัก เหมือนคนไม่มีแรง ก็เลยหยุดเล่น เศร้าค่ะ เพรสะเราเป็นคนแอ็กทีฟ พอไม่ได้เล่นกีฬา ไม่ได้แข่ง เวลาไปเชียร์เพื่อน ก็รู้สึกในใจว่าอยากลงไปแข่ง
ทุกวันนี้ก็ยังไม่ทิ้ง มีไปซ้อมกับเพื่อน อาจารย์ก็ชวนว่าให้ไปเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย แต่เราก็คิดว่าถ้าจะทำอะไรต้องมีเวลาและมีความตั้งใจจริงๆ การเป็นนักกีฬาต้องใช้กำลังใจเยอะ ร่างกายเยอะ เราก็ต้องฟิตน่ะค่ะ แต่เพื่อนๆ คุณครูก็ยังเชียร์อยู่ค่ะ เดี๋ยวนี้เวลาเจอกันก็แซว สวยนะ (หัวเราะ) เพื่อนก็มาถามว่าทำยังไงขาเล็กลง เพราะว่าตอนเล่นกีฬาขาก็เป็นกล้าม
เราก็จะบอกวิธี ช่วงแรกๆ ไม่กินแป้งเลย ไม่กินข้าว ไม่กินขนมปัง ช่วงแรกพยายามไม่ออกกำลังกาย ให้มันรู้สึกว่าเริ่มไม่มีกล้ามเนื้อ พอร่างกายปรับตัวได้ระยะหนึ่งแล้ว เราก็ค่อยไปว่ายน้ำ ไม่เน้นที่จะออกกำลังกายแบบสร้างกล้ามเนื้อ เน้นออกกำลังกายแบบผ่อนคลาย”
ประวัติ
ชื่อ-สกุล : วัลเณซ่า เมืองโคตร
ชื่อเล่น : วัล
สัญชาติ : ไทย-เยอรมัน
เกิดวันที่ : 17 กรกฎาคม 2534
น้ำหนัก : 51 กิโลกรัม
สัดส่วน : 32-24-36
การศึกษา : กำลังศึกษาชั้น ปีที่ 2 คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ความสามารถ : คาราเต้-โด , ไซ (อาวุธ) ,รำไทย , เดินแบบ
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย ธนารักษ์ คุณทน