ชินกับภาพของ “แนนนี่-ภัทรนันท์ ดีรัศมี" หนึ่งใน “วงเกิร์ลลี่ เบอร์รี่” สาวสวย สูง หุ่นเซ็กซี่ เปลี่ยนจากบทบาทนักร้องมาเป็นพิธีกรครั้งแรกในชีวิต กับการทำรายการรูปแบบใหม่ที่จะมาเปลี่ยนลุคผู้หญิงสวย และรักการผจญภัย .ให้ได้ตะลุยเที่ยวในรายการ “Stop me babe” ทางช่อง Yaak TV ทุกวันอาทิตย์ เวลา 22.00 น ซึ่งงานนี้แนนนี่ลงมือทำรายการเองทุกขั้นตอนตั้งแต่แรกจนกระทั่งออกมาถ่ายทอดเป็นภาพสวยๆ ให้ทุกคนได้ชมกัน
Q : คิดอย่างไรถึงมาทำรายการแนวท่องเที่ยว ผจญภัย
แนนนี่ : หนูเป็นคนชอบเที่ยวแล้วก็ชอบแพกกระเป๋าออกเดินทางนะ เริ่มรู้ตัวตอนที่เราเริ่มทำงาน ออกคอนเสิร์ตบ่อยๆ ก็ได้ไปนอนตามโรงแรมต่างๆ จะตื่นเต้นมาก ได้ออกไปเห็นอะไรใหม่ๆ มีกิจกรรมเอ็กซ์ตรีม ชอบมาก อยากทำอะไรที่มันเกิดประโยชน์ด้วย แล้วเราเองก็ชอบด้วย ก็จะเก็บความทรงจำให้ออกมาเป็นรายการทีวีดีกว่า
Q : ถ้าอย่างนั้น แนนนี่ก็ไม่ใช่สาวเปรี้ยว เซ็กซี่อย่างที่ทุกคนเห็นสิ
แนนนี่ : จริงๆ แล้วแนนนี่เป็นคนเล่นกีฬา ผาดโผนมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ แนนนี่จะมีสองบุคลิก ไม่เล่นกีฬา ก็จะอยู่นิ่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวค่ะ ก็จะเป็นอารมณ์เอาต์ดอร์ ออกกำลังกาย เล่นสเกตบอร์ด ปั่นจักรยานเสือภูเขา ก็ทำไป จนโตขึ้นมาก็ยังชอบอยู่ ชอบลอง เวลาเราทำอะไรตื่นเต้นมากๆ พวกอะดรีนาลีน จะหลั่งออกมา ทำให้เรารู้สึกว่าอยากทำอะไรที่มันตื่นเต้นค่ะ มันจะรู้สึกดี มีความสุขมาก ไม่ว่าจะปีนเขา เจ็ตสกี เล่นเวกบอร์ด เล่นแล้วมีความสุข แล้วเราเองก็เลยรู้สึกว่า ไม่ได้จำกัดแค่ผู้ชายเล่นอย่างเดียว ผู้หญิงก็เล่นได้นะ เราเล่นได้ แต่เล่นไม่ดีก็ไม่เป็นไรหรอก
Q : กีฬาที่ชอบมากที่สุดคืออะไร
แนนนี่ : เล่นแล้วชอบมากจะเป็น ดำน้ำ กับเวกบอร์ด ค่ะ ดำน้ำอาจจะมองว่าเป็นกีฬาง่ายๆ แต่มันยาก เป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้ตัวเอง ก่อนลงไป เราจะรู้สึกตื่นเต้นอยู่แล้ว เราก็ไม่รู้ว่าลงไปแล้วเราจะเจออะไร ถึงแม้ทุกครั้งที่ลงไป เราไปลงที่เดิม แต่ลงไปข้างล่างมันไม่เหมือนเดิม บางครั้งเจอฉลาม วาฬ ดำน้ำอยู่ก็หลงอยู่คนเดียวบ้างก็มีเหมือนกันนะ เราก็มองว่ามันเป็นความสวยงามแล้วเราก็ตื่นเต้นทุกครั้ง
ตอนนี้เราไปแค่แถบอันดามัน ตั้งใจว่าจะมีสักเทปมีการดำน้ำมาฝากกัน แนนนี่เคยคิดว่า ชีวิตนี้คงใช้ไม่คุ้มถ้าเรายังไม่ลงไปเห็นข้างล่าง อย่างมีรายการ เราก็คิดว่า คนดูทุกคนอาจจะไม่ต้องไปดำเอง แต่เราจะเอามาให้ดูผ่านรายการทีวีค่ะ ตอนนี้ก็มีกิจกรรมหลายแบบมาก เอ็กซ์ตรีมเยอะมาก
Q : ไปที่ไหนแล้วรู้สึกประทับใจที่สุด
แนนนี่ : เราไปใกล้ๆ อย่างสิมิลัน ทะเลอันดามัน แค่มองข้างบนก็สวย แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าลงไปข้างล่างจะสวยได้มากขนาดนั้น เราอยากให้คนไทยไปกันเยอะๆ เพราะเท่าที่ไป มีแต่ฝรั่งไปทั้งนั้น เราก็คิดว่าทำไมของดีบ้านเราถึงมีแต่ฝรั่งที่ไปเที่ยวกัน
Q : ได้มีโอกาสมาทำรายการได้อย่างไร
แนนนี่ : ก็ได้โอกาสจากพี่ๆ แล้วเราก็คิด รูปแบบรายการ เราก็คิดแค่ว่าจะทำเฉยๆ แล้วรู้ว่าอาร์เอสกำลังจะช่องไหนก็กลัวจะแป้ก ทำเองทุกอย่างแล้วพรีเซ็นต์ให้พี่เขาดู จากนั้นเราก็ต้องหาลูกค้า กว่าจะเริ่มจากวันที่มาคุยก็เกือบ 6 เดือน แล้วพี่เขาก็ดีมาก ให้คำปรึกษาแนนนี่ตลอด ทุกครั้งที่ทำแล้วเหนื่อย ท้อ เราไม่เคยต้องมาหาลูกค้าเอง หรือต้องมาทำเองหมดทุกอย่าง พี่เขาจะให้กำลังใจ จนวันที่ได้ก็บอกพี่โจ้ เป็นคนแรกเลย
แนนนี่มาทำรายการเอง แล้วก็มีเพื่อนที่ทำโปรดักส์ชั่น มีหลายคนที่เราก็ไม่รู้ว่าเขาก็ทำอยู่ในแวดวงนี้นะ เค้าก็ให้คำปรึกษาเราได้เหมือนกัน ก็ช่วยเหลือ ยากมากค่ะ ตอนแรกท้อ แต่จุดหนึ่งที่กลับมาฮึดสู้อีกครั้ง เพราะเราอ่านหนังสือ ประวัติสตีฟ จ๊อบส์ เลยนับถือเขาเป็นฮีโร่ ในชีวิตเราคนแรกเลยนะ เมื่อก่อนเราคิดว่าทำไมเราจะต้องมีใครที่มาเป็นไอดอล ทั้งที่เรานับถือตัวเอง เราทำอะไร ทำไมต้องทำตามใคร จนได้มาอ่านชีวิตเขา เราเองก็ใช้ผลิตภัณฑ์เขามาตลอด ก็ไม่รู้จักอะไรมากมาย ก็เลยมีกำลังใจออกไปสู้ต่อ
Q : รู้สึกท้อในช่วงไหนมากที่สุด
แนนนี่ : ท้อมาหลายรอบ นั่งร้องไห้ ที่ยากที่สุดคือ การหาสปอนเซอร์ บางทีเราเดินเข้าไปแล้วก็เสนอ ใครเป็นเจ้าของรายการ แนนนี่ก็ไปคนเดียวก็คงไม่ค่อยน่าเชื่อถือ พอเจอพี่คนแรกที่มายอมเป็นสปอนเซอร์ให้โอกาสเราก็ขอบคุณมากค่ะ ที่ผ่านมาเรามีแต่ลุคเซ็กซี่มั้ง เราก็เลยดูไม่น่าเชื่อถือ คงคิดว่ามันจะรอดหรือ แล้วช่อง yaak TV ช่องใหม่ด้วยสิ ก็เลยใช้เวลา 6 เดือนก็ได้มีเทปแรกที่ออกอากาศไปค่ะ
Q : รายการออกอากาศมาสักพัก คาดหวังอะไรจากคนดูบ้าง
แนนนี่ : อันดับแรก อยากให้คนดูก่อน อยากให้มีการติดต่อ สื่อสารในโลกโซเชียลกันมากขึ้นด้วย เราจะได้รู้ว่าคนดูรู้สึกอย่างไร พยายามบอกทุกคนให้ดู แล้วมีอะไรที่ไม่โอเคตรงไหน ก็ค่อยมาปรับกัน ทีมเราเองก็จะมีวิจารณ์กันเองอยู่แล้ว แต่เราอยากฟังคนข้างนอกบ้างว่าเราเป็นไง
Q : ร้องเพลงกับทำรายการอะไรยากกว่ากัน
แนนนี่ : มาทำรายการยากกว่าเยอะ จริงๆ มีคนเคยพูดนะว่าเป็นนักร้องจะเคยตัว เพราะงานตรงนี้มันสบาย พอไปทำอย่างอื่นจะไม่ไหว เราก็เข้ามาร้องเพลงตั้งแต่อายุ 15-16 ก็มาซ้อมร้อง ซ้อมเต้น จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด เราแค่ทำตามที่พี่ๆ เขาวางมาให้ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง แค่เรามาร้อง มาซ้อม ไปคอนเสิร์ตก็แค่นั้นเอง ไม่ต้องมาทำตั้งแต่ต้นเหมือนรายการ แต่รายการเริ่มจากติดลบ แล้วปั้นมันขึ้นมา พอทำรายการแล้วมันเหนื่อยมาก จริงๆ เราจะมีคนช่วยเรารึเปล่า เราก็อยากทำอะไรที่เป็นตัวเองมากกว่า ก็ไปปรึกษาผู้ใหญ่เขาก็บอกให้ปล่อยวางบ้าง
Q : ได้อะไรจากการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง
แนนนี่ : เราเป็นผู้ใหญ่นะ เป็นลูกคนแรก หลานคนแรก ครอบครัวตามใจมาก ยิ่งดื้อเงียบ ไม่พอใจอะไรจะเอาให้ได้ แล้ววงการนี้ ถ้าเราไม่พอใจอะไร หน้าเราจะหงิก จะรู้เลยว่าเราไม่พอใจ หน้าเหวี่ยง เราก็ไม่เข้าใจ ก็มาค่อยๆ เรียนรู้การทำงาน เราต้องมาอยู่กับพี่ๆ เค้านะ ก็ค่อยๆ ปรับตัวเองมาเรื่อยๆ พอได้โอกาสมา ซึ่งเราต้องขอบคุณงานที่ทำเพลงเองครั้งแรก เราต้องทำทุกอย่างเอง ซึ่งการเป็นโปรดิวเซอร์ไม่ใช่คุณจะมาแต่งเพลง คอสตูมเอง แต่การเป็นโปรดิวเซอร์คือคุณต้องจัดการคนที่ทำงานกับคุณให้ได้นะ เราว่าการมาขอให้พี่ๆ มาทำให้งานเรา ซึ่งพี่เขาไม่ได้ทำให้เราทีมเดียว ซึ่งมีอีกหลายศิลปิน ที่ต้องดูแล เราก็โดนผู้ใหญ่กดดัน ซึ่งเราเรียนรู้การพูดคุย เข้าหาคนยังไง ลงมาทำหลายๆ ขั้นตอนด้วยตนเอง พอได้มาทำรายการตัวเองก็ได้รู้
เราก็ท้อมาก นี่ไม่ได้เรียนนิเทศ เราเรียนบริหาร ซึ่งก็มานั่งคุยกับพี่เขาจริงจัง แล้วบอกความต้องการ
เราว่าเราอยากได้แบบนี้นะ เราก็ต้องไปให้เค้าสอน และเรียนรู้เอง อยากเรียนรู้ทุกอย่างให้หมด และต้องรู้ลึกกว่าเดิมให้ได้
Q : มีคติในการทำงานอย่างไร
แนนนี่ : คติในการทำงาน “ความท้อถอยเป็นจุดดับของความสำเร็จ” ความเอาแต่ใจจะทำให้เราไม่สำเร็จนะ แล้วอีกนิสัยที่เราเพิ่งแก้ได้เมื่อ 3-4 ปีก่อน ก็คือพอเราทำอะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ เราจะล้มเลิกได้เร็วมาก จะไม่มีครั้งที่สาม ที่สี่นะ แต่มันก็ทำให้เราผิดหวังตั้งแต่แรก มีคนบอกนะว่า คนเราจะสำเร็จไม่ได้เกิดจากการทำแค่ 3-4 ครั้ง ครั้งที่ 5 เราอาจจะสำเร็จก็ได้ ก็เลยบังคับตัวเองให้ได้ อย่างที่เราเล่นเวกบอร์ด ครั้งแรกที่ลงไปเล่นเราเล่นได้เลย แต่พอครั้งที่สอง สาม สี่เกลับล่นไม่ได้ ก็เลิกเลย พอมีเพื่อนบังคับให้เราไปเล่นให้ได้ เราก็เล่นได้ขึ้นมา แล้วจากนั้นมันทำให้รู้ว่าเราต้องรู้จักการเอาชนะตัวเองให้ได้ เราจะรู้สึกเมื่อก่อนถ้าทำไม่ได้ ก็แสดงว่าเราไม่เหมาะกับมันแล้วมันก้ไม่เหมาะกับเรา แต่ว่าตอนนี้ เรามองข้ามจุดนั้น จนทำมันให้ได้ ก็ภูมิใจนะ เมื่อก่อนเราไม่เคยภูมิใจกับการเอาชนะตัวเอง มันเหมือนเป็นการเอาชนะตัวเองได้
แนนนี่มองว่าตัวเองมีความเป็น อาร์ติสต์ สูงนะ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วลล่ะ เอาแต่ใจ ไม่เหมาะกับการทำธุรกิจ อย่างร้านอาหารไม่สามารถควบคุมได้เลย ว่าวันหนึ่งจะให้คนเข้ามาในร้านเราแบบไหน ยังไง กี่คน ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมยากมาก มันไม่ใช่งานที่เราพยายาม จนสิบครั้งแล้วไม่ใช่จริงๆ เราก้เรียนรู้ว่าการยอมแพ้ กับการดันทุรังมันต่างกัน ถ้าเรายังดันต่อไป ก็ไม่ได้ เราจะมีเสียมากกว่าได้
Q : รายการมันขัดแย้งกับบุคลิกตัวเองนะ
แนนนี่ : ก็ใช่ เพราะแนนนี่เป็นคนขัดแย้งกับตัวเอง แล้วก็คิดว่าการเที่ยวแบบนี้ ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องผิวเสียทุกคนนะ ตัวนี่เอง เรามีเคล็ดลับการดูแลตัวเองนะ เอามาบอกต่อในรายการ ซึ่งจะมีสักกี่คนที่กระโดดลงไปในน้ำแล้วขนตาไม่หลุด อายไลน์เนอร์ ไม่เลอะ ล่าสุดไปเล่นน้ำ แล้วขนตาไม่หลุด เราก็จะเอาเคล็ดลับนี้มาบอกกัน
เคล็ดลับดูแลผิว ก็ทากันแดด ใส่เสื้อกันยูวี แต่มีเคล็ดลับนึงแล้วได้ผล พอเจอแดดร้อนๆ มา ให้เอาว่านหางจระเข้ แบบแช่เย็นๆโปะเอาไว้ แล้วนั่งในห้องแอร์ ซึ่งจะได้ผลมาก สีผิวจะไม่เปลี่ยนค่ะ ตอนเช้าปั่นน้ำผลไม้สดดื่มเอง ซึ่งหลายคนคิดว่า น้ำผลไม้ที่มาจากกล่องมีคุณค่า แต่ทางคุณหมอบอกว่า การดื่มน้ำผลไม้ควรดื่มทันทีก่อน 30 นาที จะได้คุณค่ามากกว่า แล้วรสชาติจะดีกว่าแบบกล่อง แนนนี่ก็จะมีวินัยต่อตัวเอง
อีกหนึ่งผลงานที่มาพิสูจน์ความสามารถของสาว เซ็กซี่ ขี้เล่นคนนี้ได้ นอกจากบทบาทของการเป็นนักร้อง และอีกหนึ่งบทบาทใหม่กับการทำหน้าที่พิธีกรครั้งแรกในรายการ “Stop me babe!” ทางช่อง Yaak TV ได้ทุกวันอาทิตย์ เวลา22.00 น.
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร