เชื่อว่าแค่ได้เห็นใบหน้าหวานๆ รอยยิ้มน่ารักๆ บวกกับน้ำเสียงสนุกสนานแบบสาวอารมณ์ดีของพิธีกรสีสันบันเทิง และนักแสดงสาวแห่งวิก 3 พระราม 4 คนนี้ “เจิน-ณิชชาพัณณ์ ชุณหะวงศ์วสุ” ก็ทำให้เธอกลายเป็นขวัญใจของหลายๆ คนได้ไม่ยาก แต่เห็นเธอดูเป็นสาวมั่นแบบนี้ เชื่อไหมว่าเธอเป็นคนขี้อายและตื่นเต้นง่ายมาก แต่ที่เห็นทำได้ดีทุกครั้งเพราะเธอใช้ความตื่นเต้นสร้างเป็นพลังในการทำงาน รวมถึงพัฒนาตัวเองทั้งกายและใจมาตลอด จนกลายเป็นพิธีกรสาวมากความสามารถอย่างที่เห็น
มองความผิดพลาดเป็นครู
ตลอดระยะเวลา7 ปีของการทำงานในวงการบันเทิง จะเห็นว่าสาวหมวยหน้าหวานคนนี้มีผลงานทั้งงานละคร และงานพิธีกรต่อเนื่องมาตลอด แต่กว่าเธอจะเป็นพิธีกรที่มีความมั่นใจ และเป็นนักแสดงที่เข้าถึงบทบาทอย่างทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเธอต้องใช้ทั้งความอดทน ความพยายาม และใจสู้ งัดเอาทั้งพรแสวงบวกกับพรสวรรค์ ดึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวเองออกมาใช้เพื่อให้ได้งานออกมาดี
“แรกๆ ทำพิธีกรสีสันบันเทิงที่เป็นเทปก็ยังไม่ค่อยมีอะไร แต่พอมาทำสีสันบันเทิงสด ตอนนั้นเจินก็ยังใหม่กับวงการฯ ไม่เคยเป็นพิธีกรแบบอื่นมาเลย แล้วต้องไปควบคุมรายการออกอากาศสด ซึ่งมันก็มีการผิดพลาดด้วยคิว ด้วยอะไรหลายอย่าง เราก็ไม่กล้าที่จะแก้ปัญหาตรงนั้น แล้วเราก็โดนคอมเมนต์ ตอนนั้นก็ทั้งเครียด ทั้งกดดันมาก แต่ก็ต้องเก็บความรู้สึกแล้วต้องทำงานต่อให้ได้
พอเราโดนคอมเมนต์ เราก็เริ่มจับสังเกต ดูคนอื่นที่ทำพิธีกรว่าเขาผิดพลาดไหม แล้วเขาทำอย่างไรต่อไป จนเจินได้ความคิดที่ว่าทุกคนผิดพลาดได้ ต่อให้เป็นพิธีกรอันดับหนึ่งของประเทศก็มีผิดได้ เพียงแต่ว่าสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้หรือเปล่า อย่ามัวติดกับคำว่าผิดพลาด ถ้ามัวแต่นอยด์ก็ทำให้เจ๊งทั้งรายการ
ณ วันนี้ พอเราหันกลับไปมอง เราก็รู้ว่าประสบการณ์เหล่านั้นมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นในการทำงาน ทุกวันนี้ก็ยังมีการผิดพลาด แต่เรายอมรับมันได้ เราผิดเราก็ยอมรับว่าเราผิด แต่อย่าไปผิดที่เดิมเท่านั้นเอง
การเล่นละครก็เหมือนกัน ปัญหาของเจินคือเจินร้องไห้ไม่ได้เลย ทำยังไงเจินก็ไม่ร้องไห้ จนเขาต้องถ่ายฉากอื่นก่อน แล้วกลับมาถ่ายฉากที่เราต้องร้องไห้ฉากเดียว มันกดดันนะ (หัวเราะ) แล้วก็ยังร้องไห้ไม่ได้อีกเหมือนเดิม บางคนโดนว่า โดนกดดันเยอะๆ แล้วจะร้องไห้ได้ แต่เจินไม่เป็น ยิ่งว่าเรายิ่งไม่ร้อง (หัวเราะ) เป็นคนประหลาด เหมือนเราไม่ยอมรับที่จะเป็นตัวละคร เรามัวแต่ยึดติดอยู่กับมุมของเราคนเดียว ไม่เปิดใจ แล้วก็ทำไม่ได้ ต้องทำความเข้าใจกับตัวละครและยอมรับ หลังๆ ถึงร้องไห้ได้ แต่ทุกวันนี้การร้องไห้ก็ยังยากอยู่ดีสำหรับเจิน”
แน่นอนว่าทุกวันนี้ พอเปิดทีวีมาเห็นสาวเจินในบทบาทพิธีกร ซึ่งบุคลิกน่ารัก เป็นตัวของตัวเอง คงความร่าเริง พูดจาสนุกสนาน ก็สามารถเรียกรอยยิ้ม และทำให้คนดูมีความสุขได้แล้ว เรียกว่าเป็นพิธีกรสาวขวัญใจแฟนๆ รายการสีสันบันเทิง
“มันยากนะที่จะทำให้ถูกใจใครหลายๆ คน ยิ่งทีวีคนดูเป็นล้าน จะทำให้ถูกใจคนทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เจินก็คิดว่าคงมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบเรา สำหรับตัวเจินก็ตั้งใจทำงานของตัวเองให้มันออกมาดีที่สุด เราเชื่อในตัวโปรดิวเซอร์ เพราะเขาคือคนที่รู้จักรายการเขามากที่สุด เราต้องรู้ก่อนว่างานของเราคืออะไร งานของเราคือสื่อสารข้อความไปยังคนดู ซึ่งเป็นการสื่อสารด้านเดียว เราไม่รู้เลยว่าเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามสื่อสารไปให้เขาเข้าใจมากที่สุด ซึ่งเราก็มีเพิ่มเติมลูกเล่น เล่นมุก ให้เป็นสีสัน เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง ถ้าคนดูรู้เรื่องก็แฮปปี้ทั้งสองฝ่าย” สาวเจินตอบยิ้มๆ
“สั่นสู้” เพราะรู้งาน
“จริงๆ เจินเป็นคนขี้ตื่นเต้นนะ” สาวเจินเล่าถึงจุดอ่อน ซึ่งถ้าเธอไม่บอกก็ยอมรับว่าดูไม่ออกจริงๆ เพราะเธอดูเป็นพิธีกรสาวมาดมั่น เป็นธรรมชาติ และมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เธอเล่าว่าทุกวันนี้ก็ยังมีอาการตื่นเต้น มือเท้าเย็น หายใจติดขัดทุกครั้งเวลาทำงานเป็นพิธีกร หรือต้องขึ้นไปพูดบนเวที และไม่ว่าเธอจะมีประสบการณ์มาหลายปีจนดูเหมือนจะเจนเวทีได้แล้ว แต่อาการตื่นเต้นก็ไม่เคยหายไป จนเธอต้องยอมรับและใช้ความตื่นเต้นเป็นแรงผลักดันในการทำงาน
“อัดรายการมา 6-7 ปี เราก็ยังตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา เป็นคนตื่นเต้นกับทุกๆ เรื่อง ไม่รู้จะตื่นเต้นไปไหน (หัวเราะ) แรกๆ เจินไม่ชอบเลย เพราะเวลาตื่นเต้นจะพูดรัว พูดเร็ว หายใจไม่ทัน พอระบบการหายใจเปลี่ยน บางทีเสียงมันหายไป มันก็ทำให้เราทำงานได้ไม่ดี
พอเรารู้ว่าปัญหาของเราคือการตื่นเต้น เราก็ไปถามหลายๆ คน ทำไมพี่ไม่ตื่นเต้น ทำไมขึ้นเวลาดูไม่ตื่นเต้นเลย ไม่เห็นเขาตื่นเต้นกับอะไรเลย (หัวเราะ) ก็ถามเขาว่าทำยังไงเหรอ เขาก็บอกว่าทำบ่อยๆ มันก็ไม่ตื่นเต้น มันชิน เราก็บอกว่าทำไมเราไม่ชิน ด้วยความที่เราไม่เหมือนคนอื่น ก็มาคิดว่าจะทำยังไงดี เราไม่ตื่นเต้นไม่ได้ หายใจลึกๆ ก็แล้ว ก็ยังทำไม่ได้ ก็เลยปล่อยให้ตื่นเต้นไปเลย...ดูซิจะเป็นยังไง (หัวเราะ)
หลังๆ เจินมองอาการตื่นเต้นของเจินว่า มันเหมือนเป็นพลังอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เรามีความกระตือรือร้น ตื่นตัวอยู่ตลอด ไม่ใช่ดูเหนื่อยๆ ดูเหนือยๆ ดูเบื่อๆ ไม่อยากทำงาน เซื่องซึม...ไม่ใช่ ความตื่นเต้นมันทำให้เราอะเลิร์ตขึ้น เราก็ใช้ความตื่นเต้นนี่แหละ เป็นพลังส่งไป แล้วก็ควบคุมทุกอย่างให้ได้ เราก็ปล่อยไปเลย อย่าไปกังวล อย่าไปนอยด์ เราทำการบ้านมาดีแล้ว เราอ่านสคริปต์มาเข้าใจ เราก็ปล่อยให้ตื่นเต้นไป แล้วมีคำพูดหนึ่งเขาบอกว่า เราต้องรู้สึกว่าเราคือเจ้าของเวที เราคือผู้ควบคุมทุกอย่าง เราทำทุกอย่างได้ นั่นแหละ มันช่วยเจินนะ
เจินว่างานพิธีกร มันเป็นงานที่รับผิดชอบนะ กดดันนะ เราต้องควบคุมทุกอย่างได้ เราต้องรู้จักงานนี้ดี เราต้องพูดได้ทุกอย่าง จะปล่อยให้เดธแอร์ไม่ได้ เราไม่สามารถทิ้งหน้าที่พิธีกร ซึ่งเป็นงานเฉพาะหน้าตรงนั้นได้เลย สติจะหลุดแม้แต่เสี้ยววินาทีไม่ได้เลย เจินเป็นพิธีกรที่นิสัยส่วนตัว ค่อนข้างขัดแย้งมากเลย เป็นคนพูดจาสวยๆ ไม่เป็น เวลาไปงานอะไรที่เราต้องพูดอวยพร เราจะเริ่มคิดว่าจะพูดยังไงดี คนชอบคิดว่าเราเป็นพิธีกร พูดให้หน่อย แต่ถ้าเป็นงาน มีสคริปต์เจินจะพูดได้เราจะรู้ว่าเราต้องพูดอะไร แต่ถ้าเป็นงานที่ต้องออกไปพูดสดๆ เราจะเขินบ้าง พูดไม่ได้ ไม่รู้จะพูดอะไร
ทุกวันนี้ไม่มีวันไหนที่ไม่ตื่นเต้นเลย เวลาเจอใครที่ตื่นเต้น เราก็จะบอกเขาว่าตื่นเต้นไปเลย เพราะเราคุมไม่ได้ แต่อย่าตื่นเต้นจนเสียศูนย์ ต้องควบคุมอาการตื่นเต้น ที่สำคัญสุดคือเรื่องการหายใจ เพราะเวลาตื่นเต้นจะหายใจเร็ว จะหอบ แล้วการพูดจะไม่เป็นจังหวะ มันจะรวนไปหมด ถึงใจจะเต้นแรงขนาดไหน ลมหายใจต้องสม่ำเสมอ” สาวเจินแนะ
ตัวตน “อ่อนนอกแข็งใน”
แม้ว่าภายนอกเธอจะดูเป็นสาวหวานๆ ดูสดใสร่าเริง แต่ยิ่งได้คุยกับเธอยิ่งรู้สึกว่าเธอเป็นคนอ่อนนอกแต่แข็งใน และมีมุมมองในการดำเนินชีวิตค่อนข้างชัดเจน บนหลักของเหตุและผล
“เจินจะเป็นคนที่ยึดหลักเหตุและผล เวลาคุยกับเจิน หรือทำงาน เจินจะชอบคนที่เอาเหตุผลพูดกัน เพราะบางทีความคิดเจินอาจจะไม่ถูกก็ได้ ถ้ามีเหตุผลที่ดีเราก็ยอมรับได้ แล้วเจินจะเป็นคนที่ไม่คาดหวังอะไรมาก เพราะถ้ามันไม่เป็นอย่างที่เราหวัง มันก็จะทำให้เราเสียใจ นำมาซึ่งความท้อแท้ เพราะฉะนั้นเจินก็จะมองอะไรอย่างที่มันเป็นจริงๆ มองความเป็นเหตุและผล อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุผลอย่างนี้ ก็ทำให้เราเข้าใจได้
เราไม่กล้าพูดว่าเราเป็นคนมองโลกแง่บวกซะทีเดียว เพราะบางทีเราก็รู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นคนมองโลกแง่บวก จะบอกว่ามองโลกแง่ลบเลยก็ไม่ใช่ เราจะมองโลกตามสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้น มองหลายๆ มุม หลายๆ ด้าน
การมองโลกในแง่บวกก็เป็นสิ่งที่ดีนะ มันให้กำลังใจเรา มองดูโลกนี้มันสดใสขึ้น แต่คนเราก็หนีความจริงไม่พ้น เจินว่าความจริงนี่แหละคือที่สุดแล้ว คือมองให้มันเป็นไปตามจริง เหมือนตัวเราเองก็เหมือนกัน เราก็ต้องมองว่าเราไม่ได้ดีไปซะทุกเรื่อง เรามีทั้งดีและไม่ดีก็ต้องมองตามจริง”
ถ้าพูดถึงแรงบันดาลใจหรือแรงผลักดันในการทำงาน สาวเจินยอมรับว่ากำลังใจส่วนใหญ่มาจากตัวเอง เพราะเธอเชื่อในพลังของการพึ่งพาตัวเองมากกว่าอาศัยความช่วยเหลือจากคนอื่น
“สิ่งที่เป็นพลัง และเป็นกำลังใจของเจิน 80 เปอร์เซ็นต์มาจากตัวเจินเอง เจินคิดว่าคนเราต้องเข้าใจตัวเองมากๆ ถึงจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขนะ ต้องรู้จักตัวเอง และก็เชื่อว่าไม่มีใครจะสามารถให้กำลังใจเราได้ดีไปกว่าตัวเราให้กำลังใจตัวเอง ส่วนปัจจัยอื่นๆ มันก็มี เพราะคนเราเป็นสัตว์สังคม มีครอบครัว เพื่อนฝูง ส่วนหนึ่งของเจินก็มาจากครอบครัวด้วย แต่หลักๆ แล้วจะเป็นตัวเจินเอง เป็นแรงผลักดันจากตัวเองมากกว่า
ถามว่าทำเพื่อใคร ส่วนใหญ่ก็เพื่อตัวเราเองนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเราจะไปหวังแรงผลักดันจากคนอื่น หวังกำลังใจจากคนอื่น เจินคิดว่าถ้าตัวเราไม่มีกำลังใจ ต่อให้คนเป็นล้านคนมาให้กำลังใจเรา ถ้ามันไม่เกิดพลังขึ้นในใจเรา เราก็ไม่สามารถจะทำสิ่งต่างๆ ได้
มุมมองแบบนี้เจินว่ามาจากประสบการณ์หลายๆ อย่างด้วย แล้วเจินเป็นคนชอบคิด ไม่รู้ว่าจะดูเป็นคนแข็งไปหรือเปล่านะ เจินเชื่อว่าทุกคนมีทางเดินของตัวเอง เชื่อว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มันอาจจะฟังดูโหดร้ายนะ แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือไม่มีใครจะมาช่วยเราได้ดีไปกว่าตัวของเราเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะเสียใจ มีปัญหา หรือดีใจ ทุกอย่างมันคือตัวเราทั้งหมด แล้วจะมีใครมาดูแลเราได้ดีกว่าเราดูแลใจเราเอง”
การที่เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป บางครั้งก็กลายเป็นดาบสองคม อาจจะทำให้มองเห็นแต่ตัวเองจนลืมสนใจคนอื่น ถูกมองว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวได้ แต่สาวเจินโชคดีตรงที่ถูกปลูกฝังเรื่องความถูกต้อง และการทำความดีมาตั้งแต่เด็ก จึงกลายเป็นบุคลิกที่เข้มแข็งแต่ก็มีความอ่อนโยน และจริงใจ
“เจินเป็นคนมองสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง มองสิ่งที่เป็นเหตุและผล ซึ่งบางครั้งมันก็น่ากลัว ถ้าเราคิดเอาเองคนเดียวว่าสิ่งที่ทำมันถูกทั้งหมด เข้าข้างตัวเอง ไม่แคร์คนอื่น บางทีมันก็อาจจะกลายเป็นเราเป็นคนเห็นแก่ตัวไปเลย ซึ่งธรรมชาติของคนก็เป็นอย่างนี้ แต่ว่าคุณธรรม ศีลธรรม ความถูกต้องมันต้องมีอยู่ในใจตลอดเวลา เจินโชคดีที่ตั้งแต่เด็กแม่จะสอนว่า 'ถ้าเราทำสิ่งที่ถูกต้อง เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรในโลกใบนี้' เจินก็จะยืนอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องนี่แหละ”
ตั้งแต่เด็ก เราจะเห็นเพื่อนแต่งตัวผิดระเบียบ ผูกโบ พับถุงเท้า เป็นไปได้เจินจะไม่ทำ คือไม่ชอบที่จะมานั่งหลบความผิด มาโกหกไปเรื่อยๆ เราก็เลยทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ทำสิ่งที่ทำไปแล้วเราไม่ต้องมาหลบใคร ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ไม่ต้องคอยหนี หรือหาข้ออ้าง มันก็สบายใจ มีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข และไม่ทำให้ใครเดือดร้อนด้วย
ข้อเสียเจินคือ เจินจะดูแข็งในสายตาคนอื่น คนที่ไม่รู้จักเราเขาอาจจะมองว่า ทำไมคนนี้มันดูใจร้ายจัง ถ้าเพื่อนมีปัญหามา ไม่ใช่ว่าเราไม่ช่วยนะ เจินยินดีรับฟัง และให้คำปรึกษาทุกอย่าง แต่เจินจะบอกเหตุผลตรงๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้นะ มุมของแต่ละคนเป็นอย่างนี้ มุมของเรื่องที่มันควรจะเกิดขึ้นจริงๆ เป็นอย่างนี้ ให้เพื่อนฟัง สุดท้ายเขาจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา”
“ปฏิบัติธรรม” ไม่ใช่แฟชั่น
สาวเจินก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ธรรมะเป็นหลักในการดำเนินชีวิต แม้ว่าใจเธอจะเข้มแข็งได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่เมื่อมีเรื่องเข้ามากระทบหลายๆ เรื่องสะสมมาตลอด ก็ทำให้เธอต้องหาวิธีที่จะดับความทุกข์ “เราก็เป็นคนธรรมดา บางทีมีเรื่องเข้ามากระทบใจเรา แล้วเรารู้สึกว่าใจเราไม่เข้มแข็งพอที่จะมองปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วก็แก้ไขมันได้ เจินก็หาวิธีที่จะทำให้ใจเราเข้มแข็งมากพอที่จะรับมือกับปัญหา เพื่อที่เราจะไม่หวั่นไหวไปกับมัน เราใช้ธรรมะนี่แหละ เข้ามาช่วยให้จิตใจเรามีสติ มีความมั่นคงขึ้น พอเรามีสองอย่างนี้เวลามีปัญหาต่างๆ เข้ามากระทบ เราก็หยุดก่อน เรานิ่งก่อน แล้วค่อยมาดูว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
เวลามีอะไรเข้ามากระทบ จากปัญหาที่สะสมมาเรื่อยๆ หลายๆ เรื่อง บางครั้งเราก็รู้สึกเหนื่อย ก็เลยคิดว่าไม่ได้แล้ว ขอหาที่สงบ จริงๆ แล้วจุดที่ทำให้เจินเข้ามาปฏิบัติธรรม คือเราอยากจะหาที่สงบ ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปปฏิบัติธรรม ยังไม่ได้เริ่มเลย ตอนนั้นคิดว่าอยากไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ขอไปอยู่คนเดียว ขอไปอยู่กับจิตใจตัวเอง ทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เหมือนไปชาร์จพลัง แล้วพอดีมีเพื่อนพูดขึ้นมาว่าเขาจะไปปฏิบัติธรรม เราก็คิดว่าเออ..เอามั่งดิ บอกเขาว่าเราไปด้วย แล้วก็ไปเลย ปรากฏว่ามันเวิร์ก ก็เลยมาทางนี้เรื่อยๆ
ตอนนั้นก็ไม่ได้มีความหวัง หรือมีข้อมูลอยู่ในหัวว่าจะต้องได้อะไร หรือจะไปหาอะไร เราแค่คิดว่าอยากไปที่ๆ สงบ อย่ามีใครยุ่งกับฉัน (หัวเราะ) คิดแค่นี้ แล้วก็ไป 1-2 วันแรก ก็ยังนอยด์ๆ แต่มันดีขึ้นทุกวันนะ วันที่ 3 เราเริ่มรู้สึกว่าเรามีพลังแล้ว เราเริ่มจัดการกับใจตัวเองได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีความสุขเต็มที่ จนมาคืนสุดท้ายเราก็นอนเงียบๆ ก็นอนคิดว่ามันก็โอเคนะ เราก็นั่งสมาธิ ได้ปฏิบัติ เราก็รู้สึกว่ามันสงบดีนะ เราก็ว่าเรามีความสุขกับตรงนี้ แต่ลึกๆ แล้วยังรู้สึกว่า มันมีอะไรติดๆ อยู่ข้างใน สิ่งที่เข้ามากระทบมันก็ยังอยู่ในใจ
เราก็ปิ๊งขึ้นมาว่า อ๋อ! สิ่งที่เข้ามาทำให้เราเสียใจ น้อยใจ เพราะว่ามันมาจากความคาดหวังของเราทั้งนั้นแหละ คนอื่นเขาไม่ได้ทำอะไรเลย เราเองต่างหากที่ไปคาดหวังว่าทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้กับเรา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาก็ทำตามปกติของเขา เพียงแต่มันไม่เป็นไปตามที่เราคิด มันก็เลยผิดความคาดหวังของเรา แล้วเราก็มานั่งนอยด์ของเราอยู่คนเดียว แล้วเราติดอยู่อย่างนั้น
พอเราคิดได้นะ มันเหมือนเราหลุดเลย มันจบคำถาม ได้ปลดทุกอย่าง มีความสุข รู้ว่าทุกข์มาจากตัวเอง หลังจากนั้นมันก็เหมือนมีหลักในการวางใจเรา ก็เริ่มมาทางนี้เรื่อยๆ ไปเข้าวัด ไปไหว้พระ เริ่มศึกษา สนใจอ่านหนังสือ ปฏิบัติมากขึ้น มันทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้นด้วยนะ เข้าใจและปล่อยอะไรหลายๆ อย่างได้มากขึ้น”
ในขณะที่บางคนอาจจะมองว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของแฟชั่น เพราะใครก็เข้าไปปฏิบัติธรรมได้ แต่การที่จะได้ปัญญา หรือสติจากการปฏิบัติธรรมนั้นก็อาจจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับใครจะเปิดใจรับและนำมาปรับใช้กับตนเองได้มากน้อยแค่ไหน
“การปฏิบัติธรรมสำหรับเจินมันเหมือนเราได้หยุดทุกอย่างไว้ เราได้ใจที่สุขสงบขึ้น ได้ใจที่เย็นขึ้น เหมือนไปพักผ่อนใจ เราทำงานอยู่ในสังคมเมือง เจอความวุ่นวายทุกวันๆ การแข่งขัน กดดัน ความวุ่นวายรอบตัว เข้ามากระทบกับใจเราที่ยังนิ่งไม่พอ มันเลยทำให้ลืมที่จะหยุดพักบ้าง มันก็เลยเหนื่อย
ทุกวันนี้เจินก็พยายามนำหลักธรรมที่ได้มาใช้ ก็ใช้ตัวสตินี่แหละ ที่เขาบอกว่าสติคือการอยู่กับปัจจุบัน มันคืออยู่กับปัจจุบันจริงๆ ถ้าลองสังเกตตัวเองเอาง่ายๆ อย่างตอนกินข้าวเป็นช่วงที่เราไม่มีสติที่สุดแล้ว บางคนไม่เข้าใจว่าทำไม กินข้าวก็แค่กินไง ลองสังเกตใจตัวเองสิว่าใจคิดถึงเรื่องอะไร มือที่จับช้อน ปากที่เคี้ยว บางทีเรายังไม่รู้รสชาติเลย เพราะว่าใจมัวแต่ไปคิดอย่างอื่น แล้วก็ทำให้มองข้ามไป ใช้ชีวิตแบบหยาบๆ
การมีสติมันทำให้เราใช้ชีวิตอย่างละเอียดขึ้น ความหยาบมันเกิดจากความเร่งรีบ มันก็จะทำให้มองข้ามสิ่งต่างๆ ไป ไม่ทันได้พิจารณา หรือทำอะไรให้ละเอียดขึ้น ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความคึกคะนอง หรือการเที่ยวเล่น ทุกอย่างถ้าเราควบคุมด้วยสติของเรา เราจะรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด หรือได้ยินใครพูดอะไรมา ถ้าเรามีสติรับมาปุ๊บเราต้องรู้ก่อนว่ามันคืออะไร แล้วเราควรจะทำอย่างไรถึงจะดีกว่ากัน บางทีมันทำให้เราใช้ชีวิตได้มีคุณภาพมากขึ้น
เรื่องธรรมะมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก อยากจะให้คนเข้าใจกันในทางที่ถูก บางคนก็มองการปฏิบัติธรรมเป็นแฟชั่นด้วยความไม่เข้าใจ หรือคนที่ไม่เคยสัมผัสก็จะเข้าใจไปในอีกรูปแบบหนึ่ง สำหรับเจินมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตใจที่จะเห็นได้ ความคิดของเราทุกขณะจิตมันมีทั้งดีและไม่ดีเกิดขึ้นตลอดเวลา การที่เรามีสติ นั่งสมาธิ การภาวนา มันคือการหยุดความคิดต่างๆ เหล่านั้น เป็นภาวะที่ว่าง พอเราหยุดมันก็ไม่เกิดผลกระทบ มันเหมือนโดมิโนที่เกิดผลกระทบต่อๆ กันไป แต่ถ้าเราหยุด ไม่ผลักโดมิโนตัวแรก มันก็จะไม่มีการล้มต่อๆ กัน นี่แหละเขาถึงบอกว่ามันทำให้เกิดอานิสงส์มาก เพราะว่ามันไม่เกิดกรรม ไม่เกิดการกระทำต่อกันนั่นเอง”
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน