xs
xsm
sm
md
lg

‘รังสิมา รอดรัศมี’ แกร่งกร้าวสาวแม่กลอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถ้าพูดถึงนักการเมืองหญิงที่มาแรงสุดๆ ในพุทธศักราชนี้ ชนิดตีคู่มากกับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าทุกคนคงต้องซูฮกให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรสงคราม 4 สมัย จากพรรคประชาธิปัตย์ ‘รังสิมา รอดรัศมี’ เจ้าของวลีอันลือลั่น ‘ท่านประธานไม่แข็ง’

เพราะตลอดการทำหน้าที่ในรัฐสภาร่วม 10 ปี ต้องยอมรับว่า ผู้แทนคนนี้โดดเด่นสุดๆ ไม่ว่าจะลีลาการอภิปรายที่หลายคนยืนยันตรงกันว่า ‘เสียง’ สไตล์แม่กลองของเธอเป็นเอกลักษณ์สุดๆ

หรือแม้แต่การตรวจสอบที่ออกมาแฉแหลก ตั้งแต่พฤติกรรมของสมาชิกผู้ทรงเกียรติบางคนที่เสียบบัตรแทนกัน ไปจนถึงความไม่โปร่งใสในการบริหารงานของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และล่าสุดกับออกมาสับแหลก ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีกลางที่ประชุมรัฐสภาว่า ดื่มสุราจนเมาแล้วมาเข้ามาอภิปรายภายในห้องประชุม จากการทำหน้าที่แบบดุเดือด เผ็ดร้อนตลอดมานี้เอง บรรดาสื่อมวลชนจึงไม่ลังเลที่จะมอบตำแหน่ง ดาวสภาประจำปี 2554 ให้ครอบครอง

แต่คราวนี้ อดีตพยาบาลสาววัย 49 ปี ไม่ได้มาปะฉะดะกับใครหรือที่ไหนทั้งสิ้น เพราะเธอจะมาเผยเรื่องส่วนตัวแบบลึกๆ แต่ไม่ลับ ที่หลายคนได้ยินแล้วอาจคาดไม่ถึงว่า สาวแกร่งอย่าง ‘รังสิมา รอดรัศมี’ ก็มีแง่มุมแบบนี้ด้วย

สมัยเด็กๆ ฝันอยากเป็นนักการเมืองหรือเปล่า

ไม่เคยเลย เพราะเราไม่มีพื้นฐานทางด้านการเมือง แล้วตระกูลเองก็ไม่มีใครเป็นนักการเมือง ที่ฝันอยากเป็นทหารเรือ เพราะมีน้า มีพี่ชายเป็นทหารเรือ ก็สัมผัสพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก อีกอย่างเขาแต่งชุดสีขาวกัน เราก็อยากแต่งเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างเราใฝ่ฝัน เพราะตอนไปสมัครมันรับแค่ 60 คน แต่ยอดสมัครปาเข้าไป 120 คน ก็เลยกลัวที่จะสู้ไม่ได้ เพราะเราเป็นเด็กในสวน และถ้าเอาวุฒิ มศ.3 ไปสมัครก็จะไต่เต้าเป็นได้แค่จ่า แต่ถ้าเราเรียนจบปริญญาตรี อย่างน้อยก็ไปสอบนายทหารได้ ทางด้านน้าก็เลยบอกให้เราไปเรียนให้จบปริญญาตรี

ให้ใจเย็นก่อนๆ

ใช่! เขาให้ไปต่อทาง มศ.4-5 หรือไม่ก็เรียนด้านบัญชี แต่ชีวิตมันก็ผกผัน เพราะเรามาสอบชิงทุนผู้ช่วยพยาบาลรามาธิบดีได้ ตอนนั้นอายุ 17 เอง แต่ว่าอันนี้เรียนแค่ปีเดียว ใช้ทุน 2 ปี จบแล้วบรรจุเลย ซึ่งเขาจะมีหอพัก มีอาหารการกิน เราก็เลยเหมือนเอาตรงนี้เป็นที่ทำงานด้วยแล้ว แล้วไปเรียนต่อศึกษาผู้ใหญ่สามเสน จบ มศ.4-5 รุ่นสุดท้าย พอเรียนจบก็ไปชิงทุนที่สมุทรสงคราม เพราะเราเกิดที่นั่นก็สามารถไปเอาทุนที่นี่ได้ แล้วก็ไปสอบพยาบาล ซึ่งเราเรียนศิลป์-วาดเขียน พอปิดข้อเขียนก็สัมภาษณ์ ตอนนั้นนายแพทย์สาธารณสุขเขาก็ถามว่า “หนูจบโปรแกรมอะไรมา” เราก็บอกว่า “จบศิลป์” ท่านก็ถามต่อว่า “ศิลป์ภาษาหรือศิลป์คำนวณ” เราก็บอกไม่ใช่ศิลป์-วาดเขียน ท่านก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า เรียนพยาบาลถ้าเรียนไม่ได้ต้องเสียทุนนะ ให้ไป 2 ปีเอาไหม คือมันมีหลักสูตร 2 ปีกับ 4 ปี เราก็ตัดสินใจเอา เพราะคิดว่ามีโอกาสก้าวหน้า เนื่องจากเป็นผู้ช่วยพยาบาลนั้นหมดโอกาสแน่ ก็เลยได้มาเป็นพยาบาลเทคนิค เป็นอนุปริญญา พอเรียนจบก็กลับมาใช้ทุนที่อัมพวา ใช้ทุนเสร็จก็มาชิงทุนใหม่ ไปอยู่นราธิวาสอีก 2 ปี พอใช้ทุน 4 ปีเสร็จ ก็ชิงทุนใหม่ไปเรียนพยาบาลศาสตร์ที่ มอ.หาดใหญ่ (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่) ต่อ

เรียนพยาบาลมาต่อเนื่องแสดงว่าก็ต้องชอบเหมือนกัน

ตอนแรกไม่ชอบ เพราะกลัวผีมากกว่า แต่เมื่อเรียนไปๆ มันก็ชอบเอง เพราะเราเองก็พวกจิตอาสา จิตสาธารณะ ชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้ว ที่สำคัญพอไปเรียนแล้วก็ไม่เจอ คือคนเจอผีถือเป็นคนดวงไม่ดี คือเพื่อนเราเจอ ชี้ให้ดูด้วยแต่ก็ไม่เห็น อาจจะเป็นเพราะทำบุญไว้เยอะ (หัวเราะ)

แต่เท่าที่ได้ยินมา การเรียนพยาบาล ว่ากันว่ามีกฎระเบียบเยอะเป็นพิเศษ

ตอนอยู่รามาฯ ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ไปอยู่ที่นราธิวาส ถือว่าหนักเลย เพราะเขาจะไม่ปล่อยให้เราเป็นอิสระเลย มันเลยเกิดเป็นความกดดันและเครียด สังคมจะเฉพาะกลุ่มที่เป็นพยาบาลเท่านั้น ไม่ค่อยได้ไปพบปะกลุ่มอื่น

เอาง่ายๆ อย่างการอยู่หอ เวลาจะออกต้องมีผู้ปกครองมาเซ็นรับ ออกเองไม่ได้ ถ้าออกเอง เขาจะมีระเบียบว่าจะต้องกลับมากี่โมง เช่น ออก 9 โมงก็ต้องกลับก่อน 5 โมงเย็น ถ้ากลับเกินก็ต้องถูกลงโทษ แล้วเวลาสมมติเราอยู่หอพัก ตื่นมาแล้วเตียงต้องให้ตึง ต้องเก็บข้าวของเป็นระเบียบ ถ้าไม่ก็จะถูกลงโทษ การแต่งกายก็ต้องแต่งตามระเบียบ ป่วยไข้อะไรก็ต้องใส่ชุดพยาบาล กินข้าวก็ต้องเป็นเวลา นอนยังต้องเป็นเวลา คือเขาจะมีอาจารย์มาตรวจระเบียบ

แม้แต่ผมก็ต้องใส่เน็ต ผมจะได้ไม่ร่วงหล่นลงมา เล็บก็ต้องตัดสั้น ทาปากก็ไม่ได้ ใส่ตุ้มหูตุ้สงติ้งก็ไม่ได้ ไปตลาดก็ต้องชูมือให้อาจารย์ดูก่อน ไหนพลิกสิ หงายสิ คือเป็นระเบียบหมดเลย เพราะเวลาไปทำงานมันไปกับชีวิตคนไง ถึงต้องมีระเบียบและความซื่อสัตย์มากๆ เพราะถ้าเกิดเราไม่ซื่อสัตย์ สมมติผมเราตกไปในเซ็ตทำแผลที่ผ่าตัด คนอื่นไม่เห็นแต่เราเห็น เราดึงออก แบบนี้สามารถทำให้คนไข้ตายได้ เพราะผมเราอาจจะติดเชื้อ ทำให้เสียชีวิต เขาถึงต้องสอนให้เรามีความซื่อสัตย์มากเป็นพิเศษ

แรกๆ ที่เจอสภาพแบบนี้...เข้าใจไหม

ไม่เลย เพราะเขาไม่ได้ให้เหตุผลตรงๆ ไง ให้เราเรียนรู้เอง ตอนนั้นมันเหมือนกับกฎบีบคั้น ทำให้เครียด พวกพยาบาลส่วนใหญ่จะเครียด แรกๆ ที่เราไปเรียน ก็รับไม่ค่อยจะได้ เพราะไม่เคยอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน แต่พอจบมาแล้วถึงได้รู้สาเหตุที่เขาฝึกเราแบบนี้ อย่างเล็บยาว ทำไมต้องตัดสั้น เพราะพอใส่ถุงมือก็จิกขาดหมด ทำอะไรก็ติดเชื้อเรา เสียของหลวงด้วย ทำไมถึงทาสีไม่ได้ เพราะมันมีสารทินเนอร์ ก็ติดเชื้อได้ เป็นวิทยาศาสตร์แต่เราไม่รู้

อย่างนี้เคยแหกกฎหรือไม่ทำตามบ้างหรือเปล่า

โอ้โห! เต็มไปหมด อย่างพวกเราก็จะถูกอาจารย์ริบของแทบทุกวัน รองเท้าวางไม่เป็นที่ ขันน้ำวางไม่เป็นระเบียบ ที่นอนไม่ปูไม่คลุม ผ้าห่มไม่พับ เสื้อตากไม่เป็นที่ ริบเสร็จก็จะมาเรียกค่าไถ่ชิ้นละ 5 บาท พอไม่มีเงินไถ่เราก็จะไปขโมยมา เพราะอยู่ที่นั่น เดือนหนึ่งพ่อจะส่งเงินธนาณัติมาให้หนึ่งพัน แล้วแต่ละคนก็เป็นเด็กต่างจังหวัดหมด ก็ต้องรอเงินธนาณัติ แต่มันไม่มีเงินไปไถ่ ขันน้ำก็เอามาไม่ได้ เสื้อผ้ารองเท้าถูกริบไปอยู่ในห้องเก็บของหมด เราก็ไม่รู้ว่าจะทำไง ก็ไปขโมยออกมา

ปัญหาคือพออาจารย์เปิดห้องให้ไถ่ เปิดมามีแต่ห้องไม่มีของ (หัวเราะ) อาจารย์ก็ให้รับว่าใครขโมยมา แล้วเราก็ไปขโมยให้เพื่อนด้วย เพื่อนก็ไม่บอกว่าเราช่วยเขา เขาก็ต้องช่วยเรา อาจารย์ก็เลยกักบริเวณทั้งห้อง 3 เดือน ไปไหนไม่ได้เลย ไปตลาดก็ไม่ได้ อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม

เรียกว่าจากที่ถูกกักอยู่แล้ว อันนี้ยิ่งกว่า

ใช่! เพราะปกติเสาร์-อาทิตย์ยังให้ไปตลาดได้ แต่อันนี้ถูกกักโดยไม่ให้ไปไหนเลย ซึ่งมันก็ดีอย่างนะ เพราะมันทำให้เราตัดผมเป็น เพราะไปไหนไม่ได้ต้องมาตัดกันเอง หรือเสื้อผ้าอะไรก็ต้องซ่อมเอง แล้ว 3 เดือนเสร็จ พรุ่งนี้จะครบอยู่แล้ว เราก็ไปยืนคร่อมประตู คือขาออกในวิทยาลัยข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งอยู่ข้างนอก ปรากฏว่าโดนต่อไปอีกอาทิตย์หนึ่ง ก็โดนเรื่อย วีรกรรมมีเยอะมาก อย่างเดินขบวน ทำประจำเป็นแกนนำให้รุ่น (หัวเราะ)

แล้วมีหนุ่มๆ มาจีบมาบ้างหรือเปล่า

มันเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นหนุ่มสาว แต่เราเองก็อยากเรียนหนังสือ อยากคว้าไขว้หาความรู้มากกว่า เพราะเกิดเป็นคนอยากที่จะเป็นทุกอย่างเลย เรียนตัดผม ตัดเสื้อผ้า เรียนทำอาหาร เย็บปักถักร้อย งานบ้านงานเรือน เพราะเรารู้สึกว่าเกิดเป็นลูกผู้ชาย ถ้าผู้หญิงคนไหนทำกับข้าวไม่เป็น จะไม่เอาเด็ดขาด

อีกอย่างก็คือ มันไม่ถูกใจ เพราะใช่ว่าเราไม่เลือกนะ คือประเด็นที่จะดู เรื่องแรกก็คือมีความรับผิดชอบ เรื่องที่สองก็คือศาสนาเดียวกันหรือเปล่า เพราะเคยเห็นแล้วว่า พอมันคนละศาสนา มันทำให้เราฝืนความรู้สึก เป็นการบังคับใจเรา การจะอยู่ด้วยกันก็ลำบาก เพราะเราถือคติว่า นอกจากจริงใจแล้ว เราก็ต้องฝากชีวิตกับเขาได้ ไม่ใช่เขาเอาชีวิตมาฝากไว้กับเรา เราต้องฝากชีวิตซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ตอนนี้เราเป็นนักการเมือง พอไม่ได้เป็นแล้วก็ทิ้งเรา แบบนี้สู้อยู่คนเดียวดีกว่า

กลับมาที่เรื่องงานบ้างดีกว่า พอได้เป็นพยาบาลจริงๆ มันต่างกับสมัยตอนเรียนมากไหม

มาทำงานก็เป็นอีกแบบหนึ่ง คืออิสระทางด้านสังคม แต่การทำงานก็ไม่อิสระหรอก เพราะถึงยังไงเราก็ต้องขึ้นต่อหมอ แล้วการตัดสินใจก็ต้องทำเองหมด ไม่มีคนมาคุ้มกันเราแล้ว ทำผิดก็ผิดกฎหมาย ประสบการณ์ถือว่าสำคัญที่สุด

แล้วอย่างคุณรังสิมาถือเป็นพยาบาลที่ดุหรือเปล่า

ดุบ้างเป็นบางครั้งที่คนไข้ดื้อ เพราะก็อยากให้เขาหาย เช่น คนไข้เป็นถุงลมโป่งพองแต่ก็ยังหนีไปสูบบุหรี่ เผลอไม่ได้เลย แบบนี้ต้องดุ เพราะโรงพยาบาลมีออกซิเจน ถ้าเกิดระเบิดขึ้นมาทุกคนตายหมด แล้วคุณเป็นถุงลมโป่งพอง ทำแบบนี้เมื่อไหร่จะหาย ก็ต้องเอ็ดไปเรื่อยๆ ซึ่งคนเชื่อเยอะ เพราะเราอธิบายด้วยเหตุด้วยผล อย่างคนเป็นเบาหวานก็ต้องอธิบายว่ากินอาหารยังไง เพราะบางคนก็แอบกินทุเรียน มันอดไม่ได้ คนมาอยาก หมอเองเขาก็ไม่เวลาหรอก พอตรวจเสร็จก็เป็นหน้าที่ของพยาบาลที่ต้องให้ความรู้ ให้สุขศึกษา ไปนั่งพูดคุยกับเขา คนทีเชื่อเราก็อยู่ได้นาน เป็นสิบๆ ปี เขายังมาขอบคุณเรา

มีเหตุการณ์อะไรที่ถือว่าจดจำได้เป็นพิเศษบ้างไหม

มีอยู่เคสหนึ่งที่หนักสุด ตอนนั้นอายุ 17 ผ่านไป 33 ปีแล้ว คือเราฝึกอยู่ที่หอเด็กตรงรามาฯ ไง ก็จะมีเคสเด็กคนหนึ่งเป็นเนื้องอกศูนย์การกิน เพราะฉะนั้นเขาจะกินทั้งวันทั้งคืน แล้วเราเป็นนักเรียนก็ต้องจดว่ากินอะไรไปบ้าง เข้าไปเท่าไหร่ ออกมาเท่าไหร่ บาลานซ์กันไหม คิดดูนะ 8 ชั่วโมง ฉี่ 20 กว่าขวด แล้วเด็กมันหิวตลอด มันก็จะไปขโมยตามเตียงต่างๆ กิน ตอนนั้นเราร้องไห้เลยนะ เพราะไม่สามารถจะไปตามเด็กคนนั้นว่า เด็กไปกินน้ำที่ไหนบ้าง แล้วก็ยังโดนอาจารย์ติอีก จนไม่อยากจะเรียน แต่พอผ่าตัดไปแล้ว เขาไม่กินไปเลย

ทำงานด้านนี้มา 20 ปี ทำไมจู่ๆ ถึงหันเหไปลงสมัครผู้แทนราษฎร

ก็เพราะเป็นพยาบาลนี่แหละ ทำให้เรารู้ว่าพวกนักการเมืองมันขี้โกง คือสมัยนั้นมันมีงบ ส.ส. ให้ผู้แทนซื้ออะไรก็ได้ แต่เขาจะซื้อเก้าอี้พลาสติกแตก ถังแตก แล้วมาหลอม ทำกันเป็นพรรคการเมืองเลย แล้วทำทั้งประเทศเหมือนกัน โดยเอาของเด็กเล่นไปแจกตามโรงเรียนต่างๆ โรงละ 2 ชุด ชุดละ 2,000 บาท แต่เวลาเบิก เบิก 20,000 คือโกง 10 เท่า แล้วรถตู้แต่ละโรงเรียน สมมติคัน 1,000,000 ก็เบิก 1,3000,000 กินเปล่า 300,000 มันก็เลยทำให้เรารับสภาพไม่ได้

คิดดูนะ เราอยู่ฉุกเฉิน พอถึงพักเที่ยง หรือ 11 โมงจะมีเด็กเล็กๆ ทยอยมาแล้ว เพราะมันไปเล่นกระดานลื่นที่นักการเมืองเอาไปแจกแต่ละโรงเรียน แล้วเป็นแผลต้องเย็บ วันละคนสองคน เกิดแทบทุกวัน น้อยมากเลยที่วันไหนจะไม่เกิด เพราะของมันไม่ได้มาตรฐาน มันกรอบ พอน้ำหนักตัวก็จะแตกเป็นปากฉลาม ทำให้เราคิดไง พวกอิฐหินดินทรายมันโกงอยู่แล้ว แต่ทำไมต้องมาโกงกับเด็กด้วย แล้วมันเป็นปัญหาฝังใจ แล้วก็จะเกลียดนักการเมืองไปตลอด แล้วเราเองก็เกลียดมาก ก็มานั่งคิดว่าจะทำยังไง เมื่อมีโอกาสก็เลยมาลงสมัคร

พอจะออกมาสมัครคนรอบข้างไม่ทัดทานบ้างเหรอ เพราะคู่แข่งตอนนั้นก็ถือว่าอิทธิพลอยู่มาก

มันรั้งไม่อยู่หรอก พ่อแม่เขาก็ไม่อยากให้ลงหรอก เพราะเขาคิดว่าวิชาชีพพยาบาลมันเป็นหมอดูดีกว่า มีแต่คนรัก เพราะมันเป็นอาชีพที่มีแต่ให้ ดูแลชีวิตคน แต่อาชีพนักการเมือง ถ้าเราไปขัดผลประโยชน์ใคร เราก็ถูกยิงตายได้ แต่เราก็คิดว่า ชีวิตคนแต่ละคนมันขีดมาไว้แล้วว่า เป็นอะไรตาย ตายอายุเท่าไหร่ ตายที่ไหน ตายเวลาเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ไม่ห่วงแล้ว เขาตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว (หัวเราะ)

แล้วคนที่โรงพยาบาลล่ะ

มันมีตัวตายตัวแทนอยู่แล้ว เราออกมาน้องๆ ได้ตำแหน่ง เพราะบางคนจบมาไม่มีตำแหน่ง

พอเข้ามาอยู่ในแวดวงการเมือง ต้องปรับตัวอะไรบ้าง

เปลี่ยนมาก อย่างบุคลิก คือก่อนเป็น ส.ส. บุคลิกไม่ได้เป็นนี้นะ เป็นคนเรียบร้อย แต่เมื่ออยู่ไปๆ ถ้ามัวแต่เรียบร้อย เราโดนฆ่าตายก่อน เมื่อเขาแรงมา เราก็ต้องแรงไปแล้ว เพราะแม่สอนให้รักการต่อสู้ และไม่ให้ยอมแพ้ถ้าไม่ผิด

คือจริงๆ สมัยเรียนพยาบาลมันก็กดเรื่องนี้ไว้เยอะเหมือนกัน

ใช่! พอมาอยู่มันเหมือนกับระเบิด (หัวเราะ) แล้วเราไม่อยากให้นักการเมืองโกง เราก็เองต้องไม่โกง เราก็เลยสาบานเลยว่าไม่โกง ไม่มีผลประโยชน์เลย ดังนั้นเวลาด่าใครหรือว่าใคร เราไม่กลัวหรอก เพราะเราไม่มีจุดให้เขาตีเรา แต่ถ้าโกง เราด่าเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราถึงไม่ค่อยสนใจ ถ้ารู้ว่าโกง เราอัดเลย

คือเดิมเราเป็นไงก็เป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยน อย่างเวลาพูดในสภา คนบอกว่าเราพูดเหน่อ แต่เราบอกว่าเราไม่เหน่อ คนฟังฟังเหน่อเองช่วยไม่ได้ เราก็มั่นใจเพราะคนอื่นพูดแบบเราไม่ได้ และมีเวลาที่เราพูด ทุกคนฟังเราพูดหมดเลย ถามว่าทำไมต้องพูดแบบนี้

เพราะตอนที่เราไม่ได้เป็นนักการเมือง เราฟังนักการเมืองไม่รู้เรื่อง พูดอะไรก็ไม่รู้ พูดแต่กฎหมาย เราเป็นคนฟัง พอเจอแบบนี้ก็ฟังแล้วเสียเวลา ก็เลื่อนไปช่องอื่น แต่พอเรามาเป็นก็ต้องคิดว่า จะทำยังไงให้คนอยากติดตามและเข้าใจ และสนใจการเมือง เพราะฉะนั้นต้องทำการบ้าน เราต้องพูดภาษาให้เขาตีความและไปทางเดียวกับเรา แต่ไม่ใช่พูดแล้วให้เขาไปตีความเอง ตัวอย่างเช่นคราวที่แล้วที่อภิปรายไม่ไว้วางใจ (พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม) เราก็บอกว่า ท่านคะ ท่านไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว หลักฐานมันมัดหมดแล้วเรื่องทุจริตต่างๆ แล้วก็โยนผ้าขาว ความหมายของเราก็คือให้ท่านประชาโยนผ้าขาวลาออก แต่ถ้าไม่ออกก็เอาไปผูกคอตาย แต่คนที่ดูเขาคิดว่า เราโยนผ้าขาวเพราะยอมแพ้ ก็มาถามเราว่า ส.ส.อภิปรายทุจริตแล้วยอมแพ้เขาทำไม ตรงนี้แสดงว่าประชาชนแต่ละคนพื้น.ฐานไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะให้เขาเข้าใจอย่างเราหมด เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องพูดให้กระจ่างไปเลย แล้วให้เขาเข้าใจความหมายที่เราอยากให้เขาเข้าใจ แล้วเขาก็จะสนใจติดตาม

อีกเรื่องที่ต้องปรับก็คือความอดทน เชื่อไหมพยาบาลต้องอดทนมากแล้ว แต่นักการเมืองต้องอดทนมากกว่า เวลาเขาด่าเรา ก็ต้องยิ้ม ต้องทำใจ แต่สมัยเป็นพยาบาล เขาไม่ด่า เรียกคุณหมอ เหมือนนางฟ้า

ต้องปรับตัวเยอะขนาดนี้ เครียดบ้างไหม

เราเป็นคนโชคดีอยู่อย่างก็คือ เวลานอนหลับไม่เคยฝันหรือตื่นกลางคันเลย ไม่ค่อยคิดมาก อะไรที่มันหมดไปก็ให้มันหมดไป พรุ่งนี้เอาใหม่ มีฝันอย่างครั้งเดียว คืนวันนั้นโดนงานแต่ง 10 กว่างาน มันไปไม่ทัน มานั่งคิดก่อนจะนอนว่า พรุ่งนี้จะไปไหนก่อนดี พอตกกลางคืนไปนอนฝันว่า ตัวเองจะแต่งงาน การ์ดก็ยังไม่ได้แจก อาหารก็ยังไม่ได้หา อันนี้ก็ไม่ทันจะทำยังไงดี งานจะถึงอยู่แล้ว ตกใจตื่น เสียดายยังไม่เห็นหน้าเจ้าบ่าว พยายามหลับต่อนะ จะได้เห็นว่าใคร แต่ไม่ฝันแล้ว (หัวเราะ)

ก็อย่างว่านะ เป็นพยาบาลกับ ส.ส.ไม่เหมือนกัน อย่างนางพยาบาลเข้าเวร 8 ชั่วโมง พอออกเวรก็เลิกไปเลย แต่ ส.ส.ทำงาน 24 ชั่วโมงก็ไม่หยุด เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปลงพื้นที่ ไม่อย่างนั้นประชาชนก็ไม่เลือกเรา วันธรรมดาก็ต้องมาประชุม เชื่อไหมเป็นมา 4 สมัย ไม่เคยขาดประชุมเลย แล้วถ้าสภาไม่ปิดจะไม่เคยกลับก่อน จะอยู่ประชุมยันเลิกทุกครั้ง ได้ลงคะแนนครบ 100 เปอร์เซ็นต์

เคยหลับในห้องประชุมบ้างไหม

ไม่เคย ต้องมาหลับข้างนอก อย่างบางวันไม่ไหวจริงๆ เป็นไข้ ก็ลงมานอนห้องพยาบาล เพราะเราถือว่าเมื่อภาพออกไปมันจะไม่ดี

ลองเล่าให้ฟังหน่อย ทำงานหนักขนาดนี้มีกิจกรรมอะไรที่หายไปจากชีวิตบ้าง

ทำอาหาร เหมือนก่อนเปิดร้านอาหาร ชอบ ขายทุกอย่างตั้งแต่อาหารตามสั่ง จานเดียว ก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ กาแฟ คือชอบกินอะไรก็ขาย ขายไม่ได้ก็กินเอง (หัวเราะ) แต่ก็ขายดีนะ ตอนปฏิวัติกำไรดีได้ตั้ง 200,000 กว่า วันเสาร์-อาทิตย์ก็ไปช่วยเขาบ้างเป็นงานอดิเรก แต่เดี๋ยวนี้ให้คนอื่นทำแบบแล้ว เราไม่มีเวลา แล้วอีกอย่างพอเราไม่ได้คุม ก็กลัวเรื่องคุณภาพไม่ดี ของไม่สะอาด เพราะตอนที่เราอยู่ส้วมเรายังขัดเองเลย

มีเมนูเด็ดบ้างไหม

ส้มตำทอด กำลังจะจดสิทธิบัตรแล้ว ตั้งใจจะทำเฟรนไชส์แต่ยังไม่มีเวลาสักที คนเรียกร้องเยอะ เพราะคนที่อื่นกินก็ไม่เหมือนกับเราทำ กล้ารับรอง คิดเอง ทดลองเอง คิดอยู่เป็นปีกว่าๆ วัตถุดิบก็ต้องเป๊ะ อย่าหมูกรอบอะไรก็ทำเองหมดเป็นร้อยๆ กิโลฯ เลย คือเรื่องพวกนี้ใฝ่ฝันตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้วว่าอยากเปิดร้านอาหาร

เวลาว่างก็ไม่ค่อยมี อาหารก็ไม่ค่อยได้ทำแล้ว อย่างนี้หาเวลาให้กับตัวเองอย่างไร

จริงๆ การเมืองที่เราเป็นมันก็มีความสุขนะ เราได้ไปงาน ได้รับรู้ปัญหาของประชาชน เพราะเราเป็น ส.ส.ที่ไม่ใส่ซอง ไม่วางหรีด แต่เราไป คือมันเหมือนว่าเราได้ไปเที่ยว อีกอย่างคือได้ร้องเพลง เมื่อก่อนเสียงดี เคยประกวดร้องเพลง สมัยเด็กๆ ที่ไหนมีประกวดก็จะไป เคยอัดเทปด้วย ร้องเองหมดเลย ไปเปิดได้ในยูทูบ เป็นเพลงลูกทุ่ง แต่ตอนนี้เป็นเนื้องอกที่คอ เสียงก็เลยแหบไป

เพลงไหนที่ถือว่าเป็นโลโก้ของรังสิมา

‘จะขอก็รีบขอ’ (ตอบทันที) ร้องง่าย จำได้ แต่เพลงอื่นไม่มีจอร้องไม่ได้ เพราะในหัวเรางานมันเยอะ จะจำทุกเรื่องเป็นไม่ได้ มันก็เหมือนคอมพิวเตอร์ จำมากมันก็แฮงก์ แต่อันนั้นมีเครื่องช่วยเราก็ไม่ต้องไปใส่ใจ แต่ตอนนี้อายุ 50 แล้วว่าจะเปลี่ยนเพลง ร้องมาหลายปีไม่มีใครมาขอสักที (หัวเราะ) แต่ช่วงนี้ที่ร้องบ่อยๆ ก็คือเพลง ‘สยามเมืองยิ้ม’ ให้คนภูมิใจว่าเกิดคนไทย ให้รักกัน แต่ต้องมีจอด้วย แล้วถ้าใครมาคล้องพวงมาลัยหรือให้ดอกไม้ระหว่างที่ร้อง ถ้ารับแล้วไม่ดูจอก็ล้มเลย เพราะฉะนั้นคนที่ให้ประจำ เขาจะรู้เลยว่า ต้องพักยกก่อน หรือช่วงดนตรีเฉยๆ ไม่มีเนื้อร้อง (หัวเราะ)

ถามจริงๆ ตั้งใจจะทำงานการเมืองไปถึงเมื่อไหร่

จนกว่าประชาชนไม่เลือก คือเราคิดแบบนี้ว่า ตราบใดที่ประชาชนยังเลือกเราอยู่ ก็จะทุ่มเทให้เขาไปเลย แต่ถ้าไม่เลือกเมื่อไหร่ก็จะใช้ชีวิตหาความสุขให้แก่ตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ อยากเที่ยวก็เที่ยว เพราะชีวิตนี้ไม่ได้เที่ยวเลย ใช้ทุน เรียน ใช้ทุนแบบนี้ตลอด แถมเราเองก็ไม่มีครอบครัว

คือจริงๆ อยากจะมีรถบ้านแบบต่างประเทศนะ เวลาจอดที่ไหนก็เสียบปลั๊กเอา มีห้องน้ำ ห้องส้วมอยู่ในตัว วิ่งไปเรื่อยๆ ตั้งใจจะวิ่งไปทุกจังหวัดเลย มืดที่ไหนก็นอนที่นั่น แล้วก็หาคนไปเพื่อนสัก 1-2 คน เวลามีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน ไปคนเดียวก็ลำบาก
>>>>>>>>>>>
………
เรื่อง : สุทธิโชค จรรยาอังกูร
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ




กำลังโหลดความคิดเห็น