xs
xsm
sm
md
lg

คุณพ่อหล่อที่สุดในโลกของสาวน้อยหัวใจแกร่ง “น้องธันย์ ” เหยื่อรถไฟสิงคโปร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หากเอ่ยถึง “ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์” หลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นนัก แต่หากจะบอกว่าเธอคือ “น้องธันย์” เหยื่อรถรางไฟฟ้าสิงคโปร์ที่ถูกตัดขา! หลายคนเป็นต้องร้อง อ๋อ

“น้องธันย์” เด็กหญิงชาวจังหวัดตรัง วัย 14 ปี ประสบอุบัติเหตุ พลัดตกลงไปในรถรางไฟฟ้าสิงคโปร์ ระหว่างที่เธอเดินทางไปศึกษาด้านภาษาที่ประเทศสิงคโปร์ จนกลายเป็นข่าวครึกโครมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ณ วันนั้น สื่อหลายแขนง มุ่งตรงไปสัมภาษณ์-นำเสนอข่าวการถูกตัดขาทั้งสองข้างของสาวน้อย ที่ใครต่อใครก็มองว่าโชคร้าย... ทว่ากลับตาลปัตร เพราะสิ่งผู้คนในสังคมได้เห็น มิใช่เรื่องราวของสาวน้อยผู้น่าสงสาร น่าหดหู่ แต่เรากลับได้เห็น สาวน้อยที่แสนจะร่าเริงแจ่มใส แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็ง และมีทัศนคติที่ดี มองสิ่งต่างๆ ในแง่บวก ราวกับไม่ได้มีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นกับเธอด้วยซ้ำ!

เมื่อบรรยากาศ “วันพ่อแห่งชาติ” อบอวลอยู่รอบตัวในยามนี้ เราจึงถือโอกาสเดินทางมาพบ น้องธันย์ และคุณพ่อกิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ เพื่อสอบถามถึงความเป็นไปในวันนี้ของน้องธันย์ พร้อมซึมซับความอบอุ่น สัมผัสสายใยความรักที่พ่อลูกคู่นี้มีต่อกัน
ณ วันนี้ที่ …. ดีกว่าเดิม

คุณพ่อกิตติ์ธเนศ เล่าให้ฟังว่า หลังสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ความช่วยเหลือด้านการรักษา พร้อมพระราชทานขาเทียม ตลอดจนทรงโปรดเกล้าฯ ให้น้องธันย์ได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนจิตรลดา ทำให้ในวันนี้น้องธันย์กลับมาเดินได้ และมีชีวิตการเรียน เฉกเช่นเด็กสาวทั่วไปอีกครั้ง

“จริงๆ แล้วครอบครัวเรา มีลูก 2 คน เป็นลูกสาวทั้งคู่ คนโตเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) ปี 3 คนเล็กคือน้องธันย์ ตอนนี้เข้าเรียนชั้นม.3 โรงเรียนจิตรลดา และตัวผมเอง ตอนนี้ก็มาอยู่ประจำที่กรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ ส่วนคุณแม่น้องยังอยู่จังหวัดตรัง แต่ผมขึ้นมาอยู่กรุงเทพฯ เพราะจะได้ดูแลน้องธันย์ และลูกสาวคนโตด้วย”

ด้านน้องธันย์ อัพเดทเรื่องราวให้เราฟังด้วยน้ำเสียงใสๆ ว่า

“หลังประสบอุบัติเหตุไม่รู้อะไรดลใจธันย์เหมือนกันค่ะ พอธันย์ลืมตาฟื้น ตื่นขึ้นมา ธันย์รู้สึกเหมือนว่าความไม่สบายใจทุกอย่างมันหายไปหมด ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนธันย์เป็นอีกคนเลยค่ะ ธันย์ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะคะ แต่ธันย์รู้สึกเหมือนว่า ธันย์ลืมตาแล้วตื่นขึ้นมาก็พบกับชีวิตใหม่ เหมือนเรารู้สึกสบายตัว ได้หลุดพ้น คือ ทุกอย่างที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นมันก็เกิด ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดเลย แล้วสิ่งดีๆ ก็เข้ามา

ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง เปลี่ยนไปในทางที่ดีหมดเลย การเรียนดีขึ้น เมื่อก่อนธันย์ก็เครียดมากว่าธันย์จะเรียนต่อม.4 ที่ไหน ตอนนี้ความเครียดก็หายไป เพราะได้มาเรียนต่อที่จิตรลดา รวมถึงบางอย่างที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้เจอก็ได้เจอ อย่างเช่นได้ไปออกรายการพี่วู้ดดี้ (วุฒิธร มิลินทจินดา) ได้ไปออกรายการคนค้นฅน ได้ไปเจอใครต่อใครเยอะแยะไปหมด” สาวน้อยผิวขาวยิ้มสวยเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอ

แม้ใครจะมองว่าชีวิตน้องธันย์หลังประสบอุบัติเหตุต้องสูญเสียขา เปรียบได้กับผ้าสีขาวที่ต้องมาพบกับความโชคร้ายกลายเป็นจุดด่างดำในชีวิต ทว่าสาวน้อยคนนี้กลับไม่มองถึงเรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดแบบนั้น ….เธอเลือกที่จะมองเฉพาะจุดสีขาวในผ้าผืนนั้น ซึ่งมันยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคนที่มีร่างกายครบ 32 ดั่งผ้าที่เต็มไปด้วยสีขาว แต่กลับเลือกมองเฉพาะจุดดำเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีอยู่ในผืนผ้า

กว่าสาวน้อยคนหนึ่งจะมีจิตใจเข้มแข็งขนาดนี้ได้ เธอถูกหล่อหลอมมาอย่างไร? เราคงต้องถามคุณพ่อกิตติ์ธเนศ แล้วหล่ะ
เลี้ยงลูกในแบบเคร่งครัด แต่แสนอบอุ่น!

“ผมเลี้ยงน้องธันย์ให้ค่อนข้างอยู่ในระเบียบ เราตามใจในวัยของเขา ปล่อยให้เด็กเล่นตามวิถีทางของเขา แต่เราก็คอยปรามในบางเรื่องที่มันไม่ถูก เราก็คอยดูห่างๆ เลี้ยงคล้ายกับฝรั่งเขาเลี้ยง คือไม่ใช่ว่าเป็นห่วงไปเสียทุกอย่าง ส่วนการเลี้ยงให้อยู่ในระเบียบหมายถึง สิ่งไหนที่เราเห็นว่าไม่สมควรตามวัยของเขา เราก็ไม่ให้เล่น เช่น ของเด็กเล่นบางอย่างที่เหมาะกับเด็ก 8 ขวบ แต่น้องยังอายุแค่ 6 ขวบ เราก็ไม่ให้เล่นเพราะมันยังอันตรายเกินไป

ผมเลี้ยงลูกเองไม่เคยมีพี่เลี้ยง เพราะผมเคยได้ยินว่า ลูกเราจะอยู่กับเราประมาณ 10 ปี พอหลังจากนั้นเขาจะอยู่กับกลุ่มเพื่อน ฉะนั้นช่วงก่อน 10 ปี พ่อแม่มีหน้าที่ที่จะบ่มเพาะในสิ่งต่างๆ ที่ดีให้กับลูก แต่ถ้าช่วงหลัง 10 ปีให้หลังเขาจะอยู่ในวัยที่จะต้องเรียนรู้อยู่ในสังคมของเพื่อน อยู่กับโลกภายนอก เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่บ่มนิสัย ไม่เอาใจใส่ เรามัวแต่ทำธุรกิจหรือหาเงินอย่างเดียว ช่วงพอหลัง 10 ปีไปแล้ว เราจะเอาไม่อยู่ เขาจะมีแต่เหตุผลของตัวเอง แต่ถ้าเรามีความอบอุ่นใกล้ชิดกับเขาในวัยช่วงตั้งแต่เกิดจนถึง 10 ปี เขาจะมีความสนิทสนมชิดเชื้อ และมีเหตุมีผลกับเราเสมอ” คุณพ่อยิ้มตอบ
คุณพ่อบ้านตัวยง!

แม้จะเป็นคุณพ่อที่เคร่งครัด ดูแลลูกให้อยู่ในระเบียบมาแต่เด็ก ทว่าคุณพ่อคนนี้ก็มีมุมอ่อนโยน ถึงขนาดคุณแม่และลูกๆ ต้องยกให้เป็นคุณพ่อบ้านตัวยง!

“คุณแม่น้องธันย์เป็นลูกคนจีน ส่วนมากก็จะทานแต่หมู, เป็ด, ไก่ ไม่ค่อยทานปลา หรือผัก ส่วนผมอดีตเป็นเด็กวัด เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง ทำกับข้าวอะไรเองทุกอย่าง พอเรามีครอบครัวขึ้นมา ภรรยาตั้งท้อง ผมก็คิดว่า อาหารที่แม่ทาน มันมีผลต่อลูก ดังนั้นพอเขาเริ่มท้องผมก็พยายามทำอาหารจำพวก ปลา, ผัก, ผลไม้ให้เขาทาน ผมจะเป็นคนจ่ายตลาดเองตลอด ก็ค่อนข้างพิถีพิถัน เพราะเราอยากให้ลูกมีสุขภาพดี ฉะนั้นเราก็ต้องเริ่มจากลูกอยู่ในท้อง”

“ตัวผมทำงานด้านประกันวินาศภัย มีสำนักงานเป็นของตัวเอง งานมันก็ค่อนข้างลงตัวอยู่แล้ว เพราะเรามีการวางแผนล่วงหน้าเรื่องงานไว้ตลอด ดังนั้นเรื่องการดูแลลูก เราก็จะแบ่งเวลามาทำได้โดยไม่กระทบกับงาน อย่างเช่นช่วงเช้าผมมีหน้าที่กับข้าว ดูแลลูก จากนั้นก็ไปส่งลูกที่โรงเรียน พอส่งลูกเรียนเสร็จ เราจึงมาทำงานของเรา คือ นัดลูกค้า หรือไปดูแลลูกค้า

บ่ายสามโมงกว่า ผมก็ต้องไปจ่ายตลาด เตรียมทำกับข้าวให้ลูก เพื่อที่ว่าเขากลับมาจากโรงเรียนประมาณ 4 โมงเย็น เขาจะได้ทานข้าว ทานเสร็จผมก็ไปส่งเรียนพิเศษประมาณ 5 โมงเย็น เขาเรียนเสร็จประมาณ 1-2 ทุ่ม จึงไปรับกลับ พอกลับมาก็เป็นหน้าที่ของแฟนที่จะพูดคุยกับลูกๆ และตัวลูกเองเขาก็ทำหน้าที่ของเขาไป ไม่ว่าจะทำการบ้าน หรืออ่านหนังสือ ส่วนตัวผมจะออกไปสู่สังคมวงกาแฟ ไปติดต่อลูกค้า ถามสารทุกข์สุขดิบ และข่าวสารต่างๆ ของลูกค้า กลับมาประมาณเที่ยงคืน ผมก็ต้องมาจับตัวว่าลูกเป็นอย่างไร หัวร้อนมั้ย มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า มียุงมั้ยในห้อง แล้วเราค่อยนอน ชีวิตของผมตั้งแต่มีลูกมาก็จะเป็นแบบนี้ตลอด”

ขาลูกขาด ทำพ่อหัวใจสลาย... แต่ผ่านมาได้เพราะ “สติ”

ความรักความห่วงใยที่คุณพ่อมีต่อลูกสาวตัวน้อย ด้วยการดูแลดั่งไข่ในหิน ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ….เมื่อลูกที่เป็นดั่งดวงใจต้องเจ็บปวด คนเป็นพ่อก็รวดร้าวจนแทบใจสลาย

วันที่ทราบว่าน้องธันย์ประสบอุบัติเหตุ …..คุณลองคิดดูครับ ผมเลี้ยงลูกในห้อง 4x4 นอนด้วยกันทุกคืนจนกระทั่งเขา 10 ขวบ มียุงบินเข้าไปตัวนึง แล้วลูกผมนอนอยู่ ถ้ายุงตัวนั้นผมไล่ตบไม่ได้ คืนนั้นผมไม่นอน เรามีความรักให้ลูกขนาดนั้น หรือแม้เวลาลูกเจ็บป่วยไม่สบาย ผมก็ต้องเอาลูกมานอนพาดบ่าไว้ กลัวว่าเขาตัวร้อน แล้วเราหลับลึกจะไม่รู้สึกตัว ต้องเอาลูกมาพาดบ่าไว้ ถ้าเขาร้องแอ๊ะเดียว เราก็จะได้เอาผ้ามาเช็ดตัว ดูแลเขาได้ทัน นี่คือ สิ่งที่เราทำให้เขามาตลอด

แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เขาต้องสูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง ผมก็เสียใจ น้ำตาก็ไหล แต่ในความเสียใจตรงนั้นเราก็มีความรู้สึกว่า เหตุมันเกิดขึ้นแล้วไม่รู้จะเสียใจไปทำไม เราได้แต่ภาวนาว่า ส่วนอื่นขออย่าให้เป็นอะไร ขอให้เขาเข้มแข็งและมีสติสัมปชัญญะดีก็พอ และผมเชื่อว่าน้องธันย์เขามีครบอยู่แล้วในส่วนนั้น

ตอนนั้นผมก็ทำใจ และคิดว่าเมื่ออุบัติเหตุมันเกิดขึ้นแล้ว มันแก้ไขไม่ได้ เราคิดถึงวันข้างหน้าดีกว่า เราจะต้องทำอย่างไร เป็นลำดับขั้น ประเด็นแรกคือ น้องธันย์ไปถึงมือหมอแล้ว ปลอดภัยแล้ว เราก็ให้คุณป้าเขาบินไปดูแลก่อนที่สิงคโปร์ ในส่วนของเรา เราต้องมาดูว่าหน้าที่ของเรามีอะไรบ้าง งานที่ต้องทำเราต้องทำให้เสร็จ แล้วก็จัดเวลาที่จะไปหาลูก ไม่อย่างนั้นมันจะล้มทั้งกระดาน เพราะเหตุเมื่อเกิดขึ้น ถ้าเราไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีสติพอ ทุกอย่างมันทำไม่ได้ ถ้าเราได้แต่เสียใจ โศกเศร้า ผมถามว่าใครจะมาช่วยอะไรเราได้ ฉะนั้นเราจึงต้องมีสติสัมปชัญญะ มีความเข้มแข็งในจิตใจ เราถึงจะสามารถแก้ปัญหาแต่ละปมของเราได้
ความห่วงใยในวันนี้
เกือบ 1 ปีเต็มที่ครอบครัว “เป็นเอกชนะศักดิ์” ผ่านพ้นฝันร้าย ที่พรากเอาขาน้อยๆ ของน้องธันย์ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แม้คุณพ่อจะเชื่อว่า น้องธันย์เข็มแข็ง และหัวใจแกร่งเพียงใด แต่ด้วยความเป็นพ่อ ก็อดไม่ได้ที่จะห่วงใย

“ปัจจุบัน ผมย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ กับน้องธันย์ ต้องดูแลอาหารการกินต่างๆ เพราะว่าน้องธันย์ยังเด็ก จริงอยู่ที่น้องธันย์เขาพยายามช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง แต่เราด้วยความเป็นพ่อเป็นแม่ เราอดห่วงไม่ได้ ดังนั้นการมาดูแลเขาเองจึงดีที่สุด แม้ว่าจริงๆ แล้วทุกวันนี้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงนัก แต่เราก็ยังคิดไปเองอยู่ว่ากลัวเขาจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำเวลาที่เขาอยู่คนเดียว หากเกิดซ้ำอีกเรารับไม่ได้แล้ว ฉะนั้นเราก็อยู่ดูแลเสียเอง สบายใจกว่า

ส่วนเรื่องความห่วงใยในอนาคตของเขา ผมคิดว่าตอนนี้น้องธันย์เขามีอนาคตแล้ว เขาบอกเขาอยากเป็นจิตแพทย์ และเขามีความุม่งมั่น ซึ่งผมคิดว่าแค่มีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจมันก็ถึงจุดมุ่งหมายแล้ว ทุกวันนี้ผมได้เห็นความตั้งใจของเขา เห็นการต่อสู้ของเขา มันก็ทำให้อุ่นใจได้ระดับหนึ่งแล้ว จากนี้ไปเราก็ทำหน้าที่ช่วยเหลือเขาในทุกด้านต่อไป ก็เขาเป็นลูกเรานี่ครับ เราต้องทำให้ดีที่สุด มันจะดีขนาดไหนก็อีกเรื่องนึง แต่ผมคิดว่าเราต้องทำได้ดีกว่าเดิมแน่นอน” คุณพ่อน้องธันย์ยิ้มตอบ ด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
ความในใจน้องธันย์ ....ถึงคุณพ่อ

หลังพูดคุยกับคุณพ่อกิตติ์ธเนศไปแล้ว สาวน้อยหน้าใสที่ฟังอยู่ข้างๆ ดูจะตื้นตัน และซาบซึ้งกับความรัก ความห่วงใยที่คุณพ่อทุ่มเทให้ไม่น้อย เราเลยขอรับฟังความในใจ ที่เธอมีต่อคุณพ่อบ้าง
“ธันย์ประทับใจที่คุณหล่อค่ะ” น้องธันย์เธอตอบพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อเราถามว่าอยากบอกอะไรกับคุณพ่อ ก่อนจะเล่าต่อว่า

“จริงๆ ธันย์ประทับใจ และอยากขอบคุณที่คุณพ่อคอยดูแลธันย์ตลอดเลย ทั้งเรื่องอาหารการกิน การไปโรงเรียน การติดต่ออะไร คุณพ่อจะจัดการติดต่อให้หมด เวลาที่ธันนย์มีปัญหาคุณพ่อก็จะช่วยเหลือธันย์ได้เสมอ อย่างตอนที่ประสบอุบัติเหตุ พอชนไปแล้วธันย์มองขาตัวเองก่อน ธันย์ก็ตกใจนิดหน่อย มีน้ำตาซึมๆ แล้วก็ร้องไห้ แต่ไม่ถึงกับโวยวาย แค่ร้องไห้และคิดว่า ทำไมต้องเป็นแบบนี้

แล้วก็คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ คิดว่าจะบอกท่านยังไงดีกลัวคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วง เพราะเราไม่เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงแบบนี้ ตอนนั้นก็คิดว่าถ้าคุณพ่ออยู่คงดี ท่านคงจัดการให้เราได้ คงช่วยเหลือเราได้” น้องธันย์ตอบปิดท้าย ด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเคย


บรรยากาศการสัมภาษณ์ พ่อลูกที่แสนเข้มแข็งคู่นี้จบลง ไม่ต่างจากทุกครั้งที่เราได้เห็น พ่อ - ลูก คู่นี้ผ่านสื่ออื่นๆ นั่นคือ เป็นการพูดคุยที่สนุกสนาน เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผู้ที่ได้พบและพูดคุยมิได้เศร้า แต่กลับอิ่มใจ สุขใจที่ได้เห็นน้องธันย์แสนจะเข็มแข็ง ด้วยเพราะความรัก และความผูกพันธ์ที่ผู้เป็นพ่อมีให้เธออย่างเต็มเปี่ยม..
เรื่องโดย Lady Manager



>>
อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ 
 http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น