ฮือฮากันสนั่นกับการแข่งขันสุดพิลึก ‘จูบมาราธอน’ ที่พัทยา ซึ่งจัดติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ในช่วงวันวาเลนไทน์หมาดๆ โดยคู่ชนะเลิศสามารถทุบสถิติโลกเดิม สร้างสถิติโลกใหม่ด้วยการจูบอย่างดูดดื่มเป็นเวลากว่า 50 ชั่วโมง ส่วนอีกที่ในเอเชียเช่นกัน ที่เมืองเหอเฟย มณฑลอันฮุย สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยก็มีการแข่งขันจูบมาราธอนที่พิสดารพันลึกยิ่งกว่า เพราะมีข้อแม้ว่าจะต้องอยู่ในท่าที่ฝ่ายชายอุ้มหรือแบกฝ่ายหญิงไว้ตลอดเวลาของการจุมพิต โดยใครสามารถแบกฝ่ายหญิงและประกบปากจูบได้นานที่สุดเป็นผู้ชนะ ที่ได้รางวัลแหวนเพชร 1 กะรัต มูลค่า 50,000 หยวน ไปครอง โดยผู้ชนะคือคู่รักคู่หนึ่ง ที่สามารถอุ้มสาวจุมพิตได้นานติดต่อกันถึง 2 ชั่วโมง 43 นาที
เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่าการจูบนั้นจะส่งผลเสียอะไรต่อร่างกายของมนุษย์บ้างหรือเปล่า หลังจากต้องโรมรันพันตูแลกน้ำลายกันยาวนานหลายชั่วโมงหรือจนข้ามวันข้ามคืน
‘จูบ’ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
นานมาแล้ว ประเพณีการจูบกันเป็นการแสดงออกซึ่งความรักความเสน่หา ซึ่งรากฐานของการแสดงความรักใคร่สนิทชิดเสน่หานี้ พบว่าถือกำเนิดมาจากการแสดงความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั่นเอง และต่อมาก็พัฒนาการไปหลายหลาก ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความเคารพอย่างจักรพรรดิโรมันพระองค์หนึ่ง ถึงกับแบ่งความสำคัญของบุคคลด้วยการกำหนดตำแหน่งบนร่างกายของพระองค์ไว้สำหรับผู้ที่เข้าเฝ้าได้ถวายจูบเพื่อแสดงความจงรักภักดี ตั้งแต่แต่ริมฝีปากไปยังแทบเท้า หรือการจูบของชาวฝรั่งเศสที่มีจุดเริ่มในสมัยศตวรรษที่ 6 ที่ขอปิดฟลอร์เต้นรำด้วยการจูบ และแพร่หลายไปยังทั่วโลกต่อมา
การจูบในแต่ละวัฒนธรรมนั้น มีความหมายที่แตกต่างกันไป แต่โดยมากจะเป็นการแสดงออกถึงความรักหรือความใคร่ แต่ในบางวัฒนธรรมการจูบเป็นการทักทาย แสดงความเคารพนับถือ เป็นการอวยพรให้ความโชคดี
โดยทั่วไปแล้ว การจูบ หรือ ‘ลิป คิส’ หมายถึง การนำเอาริมฝีปากสัมผัสกับร่างกายของอีกคนหนึ่ง ซึ่งคู่รักทุกคู่นั้นก็ย่อมมีการจูบกันเป็นเรื่องปกติธรรมดา โดยเฉพาะการนำริมฝีปากประกอบปากของอีกฝ่ายอย่างแนบสนิทก็เป็นการบ่งบอกถึงความรักที่มีต่อกัน หรือการจูบแบบอื่นๆ อย่าง ‘เฟรนช์ คิส’ ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เป็นการจูบแบบลิ้นแลกลิ้นเร่าร้อนถึงพริกถึงขิง เป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก เพราะเป็นการจูบที่ลึกซึ้งและดูดดื่ม โดยเป็นจูบแบบริมฝีปากประกบริมฝีปาก และใช้ลิ้นบรรจงตวัดลิ้นแลกน้ำลายกัน ซึ่งการจูบนี้น่าจะสงวนไว้แต่เพียงคู่รักเขาทำกัน เพราะการจูบแบบนี้เป็นการกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศนั่นเอง
แต่การจูบเป็นการแสดงออกที่ไม่ได้สื่อความหมายถึงความรักใคร่เพียงอย่างเดียว บางครั้งอาจหมายถึงการทักทาย อย่าง ‘เอสกิโม คิส’ เป็นการจูบแบบน่ารักๆ โดยการเอาจมูกแตะกัน หรือใช้แก้มแนบแก้ม เพื่อดมกลิ่นอีกฝ่าย ถือว่าเป็นวัฒนธรรมในเรื่องของการทักทาย หรือบางครั้งเป็นการแสดงออกความรักแบบห่วงหาอาทร อย่างการการจูบแบบ ‘อายลาช คิส’ หรือ ‘บัตเตอร์ฟลาย คิส’ เป็นแบบที่พ่อแม่นิยมใช้จูบลูก โดยกระพริบตาถี่ๆ ให้ขนตาสัมผัสกับส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น แก้ม เป็นต้น
จุมพิตเพียงครั้ง พลาดพลั้ง...เสี่ยงโรคนับไม่ถ้วน
ทุกคนต่างทราบกันดีว่า การจูบกันนั้น เป็นวิธีสร้างเสริมสัมพันธ์ความรัก เป็นการแสดงออกถึงความรักอย่างหนึ่ง แต่การจูบแบบลึกซึ้ง ดูดดื่ม ที่คุณคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา อาจกลายเป็นเรื่องที่ต้องทบทวนกันใหม่ เพราะว่าการจูบนี้อาจเป็นช่องทางแพร่กระจายเชื้อโรคต่างๆ จากคนรักอีกคนไปยังอีกคน เนื่องจากน้ำลายของคนเราจะเจือปนไปด้วยเชื้อโรค เช่น ไวรัส อย่างการเป็นหวัดที่ติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว ก็สามารถติดต่อกันด้วยการจูบเช่นกัน ดังเช่นที่ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ที่ก็แสดงความเป็นห่วงใยเป็นใย สำหรับเหล่านักจูบทั้งหลายว่า เชื้อโรคทั้งหลายสามารถส่งผ่านกันแค่การจูบได้
“ก็เวลาจูบกันอาจจะมีโรคบางอย่าง เช่น สมมติว่าคนที่เราจูบด้วยมีโรคในช่องปาก เอาง่ายๆ เลย ถ้าเขาเป็นหวัด ก็ติดต่อกันได้ การเป็นหวัดเจ็บคอ ติดต่อกันได้แน่ๆ แต่ถ้าเป็นโรคอื่นๆ อย่างที่หลายคนถาม เช่น เอดส์ นี่จูบกันติดต่อได้ไหม...ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแผลในปาก ต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง”
และโรคที่มากับการจูบ อย่างโรคจูบมรณะ หรือ Kissing disease ที่เพียงแค่ได้ยินชื่อก็น่าหวาดผวาแล้ว จูบครั้งเดียวมันทำให้ตายได้เชียวหรือ ก็อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ถ้าเกิดเป็นโรคนี้ขึ้นมาก็น่าจะแย่อยู่พอตัว อาการของโรคจูบมรณะนี้ คือ จะมีไข้ ปวดเมื่อย ปวดหัว เจ็บคอ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต ไปจนถึงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และในอนาคตก็อาจจะกลายพันธุ์เป็นวายร้ายอย่างมะเร็งในช่องลำคอได้ ฤทธิ์แค่นี้ก็พาลทำให้หนาวๆ ร้อนๆ แล้ว แต่นี้ยังเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะยังมีอีกหลายโรคที่จะเดินขบวนกันเข้ามาหาคุณเมื่อยามจูจุ๊บ อาทิเช่น
โรคปอดบวม เพราะเชื้อปอดบวมจะกระจายลงปอดจากแลกจูบกันแต่ละครั้ง โดยจะมีอาการคือ เป็นไข้ ไอ และหอบ หลังจากจูบ
ไวรัสตับอักเสบ ทั้งชนิดเอ บี และซี ก็มีสิทธิ์ติดผ่านการจูบได้ อาการที่อาจบ่งบอกเป็นสัญญาณว่าคุณเสี่ยงเกิดโรคไวรัสตับอักเสบ อาจมีอาการ คือ ไข้, ปวดหัว, ตัวเหลืองตาเหลืองเป็นดีซ่าน เกิดอาการเรื้อรังเบื่ออาหาร ยิ่งถ้าป่วยแบบเรื้อรังแล้ว ก็ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นตับอักเสบ ตับแข็ง ตับวาย และกลายเป็นมะเร็งตับได้ ซึ่งผู้ที่เคยได้รับวัคซีนมาแล้วโอกาสในการติดเชื้อนี้ก็จะน้อยลง
ไวรัสเริม ไวรัสเริมที่ปากนี้เป็นคนละชนิดกับที่อวัยวะสืบพันธุ์ เกิดจากการได้รับสัมผัสแบบจุมพิตหรือโดนสะเก็ดของตุ่มเริม คือ การปลูกเชื้อเริมลงบนเส้นประสาทรอบปากเรา โดยมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำ เจ็บๆ คันๆ ที่บริเวณริมฝีปาก เริมที่ปากนี้สามารถรักษาให้หายได้แต่ไม่หายขาด เพราะเชื้อจะยังซ่อนตัวอยู่ เวลาที่เราอ่อนแอก็จะเกิดเริมที่ปากครั้งใหม่ได้เรื่อยๆ
นายแพทย์สมศักดิ์ ชี้ให้เห็นพิษภัยของการจูบแล้วว่า จูบแบบแลกน้ำลายกันแค่เพียงครั้งเดียวอาจทำให้คุณติดโรคได้อย่างง่ายดายและไม่รู้ตัว ดังนั้นก็อย่าไปจูบกับใครง่ายๆ สงวนไว้แต่คนรักของเราเพียงคนเดียวจะปลอดภัยที่สุด และถ้าหากเป็นหวัด ไม่สบาย ก็ขอให้อดใจไปก่อน ไม่งั้นคนรักอาจได้รับเชื้อโรคจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อตามไปด้วยอีกคน
“ก่อนจะจูบกับใคร อาจจะต้องสำรวจตัวเองนิดหนึ่งว่า เรามีโรคอะไรไหม เป็นหวัดรึเปล่า เจ็บคอรึเปล่า ก็ให้ระวังเรื่องพวกนี้ด้วยครับ”
เรื่องการแสดงออกถึงความรัก ด้วยการแลกจุมพิตนั้นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร แต่ต้องอย่าลืมว่า ถ้ากำลังอยู่ในภาวะป่วยหรือไม่สบาย การจูบกันอาจเป็นการแพร่กระจายเชื้อโรคได้ ดังนั้น จะต้องรักษาสุขภาพให้ดีแล้วค่อยจูบ ถ้าป่วยก็เปลี่ยนไปจูบบริเวณอื่นแทนที่ไม่ต้องสัมผัสน้ำลายกัน และที่สำคัญต้องดูแลรักษาอนามัยภายในช่องปากให้ดีด้วย ซึ่งผ่านตรงกับสะท้อนคำกล่าวที่กล่าวว่า
‘ใครคิดว่า จูบไม่สำคัญ’
>>>>>>>>>>>>>>>>>>
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK