“เซ็กซี่แย่งซีน” คือสมญานามที่หลายคนตั้งให้ “กี้-รฐกร สถิรบุตร” ตั้งแต่ละครเรื่องแรกๆ ของเธอ เพราะไม่ว่าจะต้องเล่นประกบนางเอกสาวสวยรวยเสน่ห์สักกี่คนในซีน ทรวดทรงสมส่วนเฉพาะตัวก็สามารถดึงดูดผู้ชมให้หลงใหลจนไม่อาจละสายตาไปจากเธอคนนี้ได้
ล่าสุดเธอลุกขึ้นมาเพิ่มดีกรีความฮอตให้ตัวเองด้วยการสลัดผ้าคว้าชุดว่ายน้ำมาสวมใส่รับลมร้อน จึงยิ่งย้ำภาพความแรงและกล้าเกินกว่าผู้หญิงทั่วๆ ไปมากขึ้นไปอีก ทั้งที่ความจริงแล้วความเซ็กซี่ที่หลายคนมองเพียงผิวเผิน ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่าค้นหามากกว่านั้น
เบื้องหลังส่วนเว้าส่วนโค้ง
เห็นวางท่าเป็นสาวมั่น สวมชุดรัดเปรี๊ยะ ทำท่ายั่วยวนในทีวี เอาเข้าจริง พอสิ้นเสียงคัตเมื่อไหร่ กี้-รฐกรกลับรู้สึกอายมากที่ต้องทำแบบนั้น “หลายๆ อย่างที่ต้องทำในละครเรื่อง “นางฟ้ามาเฟีย” ทำแล้วรู้สึกว่าโอย! เอาอีกแล้ว (ทำหน้าหนักใจ) อย่างฉากที่ต้องไปยั่วพระเอกเนี่ย จะคิดในใจตลอดเลยว่าโห! ตัวละครตัวนี้ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าเขาไม่ชอบ แต่ฉากที่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำที่หลายคนมองว่าเราแรง ทำไมถึงกล้าจัง จริงๆ แล้วกี้ไม่ค่อยอายกับอะไรแบบนี้เท่าไหร่นะ เพราะเราว่ายน้ำประจำ ใส่ชุดว่ายน้ำบ่อยค่ะ” เธอยิ้มสบายๆ
“หรือเรื่องชุดฟิตๆ ที่ทีมงานให้เราใส่ บางครั้งเราคิดว่าหุ่นเราไม่มีอะไร คงไม่เป็นไรหรอก แต่พอเจอผ้ารัดรูปเข้าไป มันกลายเป็นว่าเรามีเยอะซะงั้น (หัวเราะ) หลังๆ เลยต้องปฏิเสธไปบ้างค่ะว่าขอรัดน้อยกว่านี้ได้ไหม ต้องพึ่งเพื่อนในวงการด้วย คอยถามคนอื่นว่าชุดนี้มันโป๊ไปหรือเปล่า เพราะกี้จะไม่ค่อยรู้นะว่าแบบไหนโป๊เกินไปสำหรับคนไทย คงเพราะเราโตที่เมืองนอกด้วยมั้งคะ เลยเห็นเป็นเรื่องค่อนข้างปกติ”
ปริศนาอีกอย่างที่ชวนให้หลายคนสงสัยคือเหตุใดเธอจึงหุ่นดีได้ขนาดนี้ เอวคอด สะโพกผาย แถมยังมีกล้ามท้องอีกต่างหาก ต้องมีเคล็ดลับดูแลตัวเองเป็นพิเศษแน่ๆ กี้ได้แต่อมยิ้มแล้วบอกความลับเล็กๆ ว่าจริงๆ แล้วการแสดงละครนั่นแหละที่ทำให้เธอหุ่นฟิตเปรี๊ยะจนน่าอิจฉา
“ก่อนหน้าจะถ่าย มีไปเรียนมวย ฝึกเตะต่อยลดน้ำหนักอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกันค่ะ ซึ่งมันก็ช่วยได้นะ แป๊บๆ น้ำหนักลดเลย แต่พอได้ถ่ายละครเรื่องเสาร์ 5 ยิ่งรู้สึกฟิตกว่าเดิมอีกค่ะ ต้องวิ่งกลางแดดทุกวัน ถือว่าไปถ่ายงานทีหนึ่งก็ได้ออกกำลังกายไปด้วยเลย อาหลอง (ฉลอง ภักดีวิจิตร) จะมีฉากให้วิ่งหลบลูกระเบิดเป็นทางยาวๆ ตลอด คิวบู๊ก็เยอะ แล้วอาเขาชอบถ่ายยาวทีเดียว ถ้าผิดคิวก็ต้องเทกใหม่หมด ก็เลยได้วิ่งไปวิ่งมาแบบนั้นจนฟิตไปเลย” กี้หัวเราะเบาๆ ปิดท้าย
แต่ช่วงนี้ละครปิดกล้องหมดแล้ว เมื่อไม่ได้ใช้พลังงานไปกับการวิ่งในฉากแอ็กชัน เธอจึงต้องหันมาควบคุมเรื่องอาหารมากขึ้น “ตอนถ่ายละครกินหนักมากเพราะทำงานเหนื่อย แต่ตอนนี้กินแบบนั้นไม่ได้แล้วค่ะ ต้องควบคุมให้หนักไปทางผักผลไม้แทน กี้จะลดกินแป้งแล้วก็ไม่กินชีสด้วย เพราะจริงๆ แล้วเป็นคนชอบชีสมาก ถ้าเริ่มกินปุ๊บจะหยุดไม่ได้ แถมปริมาณแต่ละวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่รู้ตัว ก็เลยต้องแก้ด้วยการเลิกกินไปเลย จากแต่ก่อนตอนอายุ 18 อยากกินอะไรก็กิน แม็คโดนัลด์กินทุกวันก็ไม่หวั่น ตอนนี้เริ่มหวั่นแล้วค่ะ ถ้าเพิ่งกินไปแล้วอยากกินอีก ก็ต้องบอกตัวเองว่ารอก่อนๆ เว้นช่วงบ้างก็ได้” สาววัย 27 ยิ้มบางๆ ให้ตัวเอง
วิธีดูแลตัวเองของเธอไม่ได้มีดีแค่คำพูด แต่กี้เพิ่งตอกย้ำภาพสาวเซ็กซี่สุขภาพดีด้วยการถ่ายชุดว่ายน้ำลงนิตยสาร FHM ฉบับเดือนกุมภาพันธ์นี้โดยการโชว์เรือนร่างฟิตแอนด์เฟิร์มให้ได้เห็นกันเต็มๆ ตา เล่นเอาหนุ่มๆ ตาลุก สาวๆ ตาร้อนกันเป็นแถบ แต่จริงๆ แล้วถ้าเลือกได้ กี้บอกว่าเธอไม่อยากให้ภาพเหล่านี้กลายเป็นภาพติดตาเมื่อนึกถึงเธอ
“คงพักการถ่ายแบบนี้ไปสักพักหนึ่งก่อนค่ะ ไม่อยากได้บทแนวนี้ตลอด เพราะถ้าถ่ายติดๆ กันเรื่อยๆ คนดูอาจจะคิดว่าเราเป็นเหมือนตัวละครที่เปรี้ยวๆ พอได้เล่นเป็นตัวดีๆ คนก็จะไม่เชื่อเพราะติดภาพไปแล้ว อีกอย่างกี้ไม่อยากให้มองกี้ว่าขายเซ็กซี่อย่างเดียว เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองเซ็กซี่อะไรขนาดนั้น จริงๆ ถ้าไม่มาทำงานจะไม่แต่งหน้าแต่งตัวเลยด้วยซ้ำนะ ถ้าคนอื่นรู้จักเราในมุมอื่นบ้างน่าจะดีกว่า”
ชอบตบเป็นชีวิต
มุมอื่นๆ ที่กี้หมายถึงคือแท้จริงแล้วเธอไม่ใช่สาวเปรี้ยวเน้นเซ็กซี่ แต่เป็นคนลุยๆ แถมยังเป็นนักกีฬาตัวยงอีกต่างหาก โดยเฉพาะวอลเลย์บอล กีฬาสุดโปรดที่เล่นมาตั้งแต่มัธยม ลองให้พูดถึงเรื่องสนุกและความประทับใจ เธอเล่าไปยิ้มไปบอกวันทั้งวันก็พูดไม่หมด
“จริงๆ กี้เป็นเด็กที่ห้าวแล้วก็โก๊ะมากนะ เพราะคุณพ่อไม่มีลูกชายค่ะ เราเลยต้องรับหน้าที่เป็นลูกชายคนนั้นให้พ่อ ลองเล่นกีฬาหลายอย่างมากจนมาเจอวอลเลย์บอลนี่แหละค่ะ คิดว่าถนัดสุดแล้ว ฝึกแป๊บเดียวก็เล่นท่าต่างๆ ได้คล่อง จากอยู่ทีม 2 ก็ย้ายมาทีม 1 ซึ่งเป็นทีมแข่ง ตอนที่เล่นหนักๆ เคยคิดอยากเป็นนักวอลเลย์บอลเหมือนกัน แต่เผอิญว่าส่วนสูงเราไมได้ มันต้องสูง 177 ขึ้นไปค่ะถึงจะได้ทุนนักกีฬาเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่เราสูงแค่ 172 ถือว่าตัวเล็กไปถ้าจะเป็นนักกีฬา แค่ตอนกระโดดขึ้นไปบล็อกลูกก็รู้สึกเลยว่าระดับเราไม่ได้ (ใช้ฝ่ามือสองข้างเทียบระยะห่างให้เห็น) ก็เลยไม่ได้เอาดีทางนี้”
ถึงแม้มีอุปสรรคมาทำลายความฝัน แต่ความชอบของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย หลังจากจบชั้นมัธยมปลายและย้ายไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ไม่มีเพื่อนร่วมก๊วนเดิมๆ คอยชวนตั้งกลุ่มนักตบ แต่กี้ก็หาลู่ทางให้ตัวเองจนได้
“เพื่อนมหาวิทยาลัยจะไม่ค่อยซี้เท่าเพื่อนที่โรงเรียนค่ะ เหมือนกับต่างคนต่างมีความสนใจของตัวเอง แล้วเราเรียนด้านแฟชั่นมาด้วย จะให้เพื่อนมารวมตัวกัน 12 คน (ทีมละ 6 คน) เพื่อแข่งวอลเลย์ฯ เหมือนตอนเรียนไฮสกูล มันเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่พอดีช่วงนั้นย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ทะเล ปั่นจักรยานไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงชายหาดแล้ว ก็เลยตัดปัญหา เปลี่ยนไปเล่นวอลเลย์บอลชายหาดแทน อาศัยชวนเพื่อนๆ แถวๆ บ้านนั่นแหละมาเล่นกัน แค่ 4 คนก็เล่นได้แล้ว แถมไม่เครียดดีด้วย ไม่มีรถติด คนก็ไม่เยอะ ได้ออกกำลังไปด้วย ชิลสุดๆ”
ถามว่าเสน่ห์ของวอลเลย์บอลอยู่ตรงไหน ทำไมฟังเธอเล่าแล้วจึงดูน่าสนุกขนาดนี้ กี้ยิ้มสดใสแล้วอธิบายให้ฟังตามที่คิด “มันสนุกดีนะ รู้สึกเลยว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายเราได้ใช้งานหมดจริงๆ แล้ววอลเลย์บอลชายหาดจะเล่นกันฝั่งละสองคน เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ได้หมดทั้งเซตทั้งตบ เวลาเล่นกับคู่ของเรา จังหวะของสองคนต้องเข้ากันได้ แล้วก็ต้องเล่นให้รับกับอีกสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย ต้องอ่านเกม เคลื่อนไหวร่างกายตลอด ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้กำลังเล่นกีฬาหรือบังคับตัวเองให้ออกกำลังกายอยู่ แค่เล่นสนุกๆ เฉยๆ มันก็ได้เหงื่อเองแล้ว แถมได้ใช้เวลาว่างกับเพื่อนๆ ด้วยค่ะ”
จะกลัวดำกันทำไม?
ก่อนจะค้นพบว่าตัวเองรักวอลเลย์บอลที่สุด กี้เคยลองมาหมดแล้วหลายอย่างตั้งแต่เล่นบาสฯ เตะบอล ว่ายน้ำ ไปจนถึงกีฬาเอ็กสตรีมอย่างวินด์เซิร์ฟและสโนว์บอร์ด ดูๆ แล้วทุกกิจกรรมที่กล่าวมาค่อนไปทางผาดโผนและเหมาะแก่ผู้ชายมากกว่า ผู้สัมภาษณ์เปรยไว้อย่างนั้น กี้ไม่ปฏิเสธอะไร ได้แต่ยิ้มมุมปากแล้วเล่าที่มาที่ไปให้ฟัง
“กี้อยู่ที่ไทยตั้งแต่ 6-12 ขวบ พอย้ายกลับไปที่นู่น (อเมริกา) ก็ไม่ค่อยมีเพื่อน แล้วตอนเด็กๆ เราเป็นคนขี้อายด้วย ตอนนั้นเลยมีเพื่อนอยู่คนเดียวค่ะ เป็นเด็กผู้ชาย เขาจะเล่นเซิร์ฟทุกวันตอนเช้า เราก็ตามๆ เขาไปแล้วก็หัดเล่นกับเขา เพราะอยากมีเพื่อนเล่น (ยิ้ม) ตอนแรกๆ กลัวคลื่นซัดมากๆ เลย ไม่ค่อยกล้ายืนบนบอร์ด แต่พอกระโดดไปทรงตัวอยู่บนนั้นจริงๆ รู้สึกว่ามันง่ายแล้วก็ตื่นเต้นดีด้วย ก็เลยชอบค่ะ หลังจากนั้นก็กลายเป็นคนชอบกีฬาผาดโผนไปเลย รู้สึกว่ามันได้ออกกำลังกายทั้งตัวดี”
นอกจากโต้คลื่นแล้วเธอยังชอบโต้หิมะด้วย หรือที่เรียกว่า “สโนว์บอร์ด” นั่นเอง “อันนี้เพิ่งหัดเล่นตอน 17 ค่ะ ลงทุนขับรถไปที่เขาทุกอาทิตย์เลยค่ะเพื่อจะไปเล่น มีวันหนึ่งดูการแข่งขันช่วง Winter ที่จะเน้น Snow Board Ski หมดเลย เห็นว่าเขาแข่งที่รัฐยูทาห์ วันต่อมาเราก็ตามไปเล่นที่เดียวกันเลย แต่เล่นอยู่ข้างๆ สนามแข่งนะ ง่ายกว่าของนักกีฬาหน่อย แล้วก็ชื่นชมจากข้างๆ ว่าสักวันเราก็คงจะเล่นได้แบบเขานะ (หัวเราะ) เวลาเล่นกี้จะชอบใส่หูฟังฟังเพลงไปด้วย เล่นจากข้างบนลงไปข้างล่างเลยได้ความรู้สึกเหมือนเล่นวิดีโอเกมอยู่ เหมือนเกมขับรถที่มีเพลงประกอบ ก็รู้สึกว่าสนุกดีค่ะ” กี้เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงร่าเริง
นอกจากเพื่อนผู้ชายในวัยเด็กแล้ว คุณพ่อคือตัวแปรสำคัญที่คอยปลูกฝังนิสัยรักกีฬาให้เธอ “คุณพ่อจะเป็นแกนนำตลอดตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วค่ะว่าเดี๋ยว 3 เดือนนี้เราจะเล่นบาสฯ กันนะ แล้วถ้าชอบก็จะพาไปแข่งในลีกของเด็กรุ่นเดียวกัน สักพักพอเริ่มเบื่อก็เปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่นแทน
ที่ตลกคือช่วงหลังๆ พอคุณพ่อเริ่มอายุมากขึ้น เขาจะเริ่มชวนลูกสาวให้ไปเล่นกอล์ฟด้วย พยายามเกลี้ยกล่อมเรานะว่ากอล์ฟเป็นกีฬาที่มีเสน่ห์ ไม่ว่าอายุเราจะมากขนาดไหนก็สามารถเล่นไปได้เรื่อยๆ แต่เรายังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นกีฬาเนิบๆ ช้าๆ ไงคะ ก็เลยเล่นบ้างนิดหน่อย ถือว่าเป็นกีฬาที่เอาไว้เล่นกับคุณพ่อ จะได้มีเรื่องคุยกัน แต่ช่วงหลังๆ คุณพ่อบอกให้เป็นแคดดี้แทนแล้วค่ะ เพราะเราตีไม่ได้เรื่อง” เธอยังคงอารมณ์ดี และขี้เล่นอย่างที่เป็นมาตลอดบทสนทนา
วัดจากกีฬาแต่ละประเภทแล้วมีแต่เอาต์ดอร์ทั้งนั้นเลย ถามว่าไม่กลัวผิวเสียบ้างหรือ กี้มองแขนขาตัวเองอย่างครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ไม่ค่อยกลัวค่ะเพราะปกติก็ไม่ใช่คนขาวอยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะเราเล่นกีฬากลางแดดมาตลอดด้วยมั้งคะก็เลยชิน แต่ก่อนทาครีมกันแดดแค่ตรงหน้าผากกับจมูกด้วยซ้ำ แค่ไม่ให้มันไหม้ (ยิ้ม) เพราะแดดที่นู่นไม่แรงเท่าเมืองไทย แต่พอมาอยู่ที่ไทยก็ต้องทาเยอะขึ้นกว่าเดิมเหมือนกันค่ะ” เมื่อเปิดประเด็นเรื่องสีผิวเอาไว้แล้ว กี้จึงขอสานต่อสิ่งที่อยากบอกให้ผู้หญิงอีกหลายๆ คนได้รับรู้
“เท่าที่สังเกต กี้ว่าผู้หญิงไทยส่วนใหญ่กลัวดำมาก บางคนถึงกับไปฉีดเพื่อให้ผิวขาวด้วย ซึ่งกี้ว่ามันน่ากลัวนะแล้วก็ดูรู้ด้วยว่าใครทำใครไม่ทำ คือคนที่ทำ ผิวเขาจะขาวซีดแบบแปลกๆ เหมือนเอาแป้งเด็กมาทาทับไว้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เปลี่ยนความคิดกันใหม่ดีกว่าค่ะ ไม่อยากให้มองเรื่องขาวเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือคนที่ผิวขาวมาตั้งแต่เกิดก็ดีแล้ว แต่คนที่ไม่ขาว อยากให้รู้ว่าถึงไม่ขาวก็สวยได้เหมือนกัน คนผิวสีน้ำผึ้ง ผิวสีแทนแล้วสวยได้เยอะแยะนะบนโลกนี้ พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีเถอะค่ะ ไม่อยากให้ไปฝืนธรรมชาติ”
“อยากให้ผู้หญิงไทยแยกแยะให้ออกระหว่าง “อยากเป็น” กับ “ชื่นชม” มันไม่เหมือนกันนะ อย่างกี้ กี้ก็มีคนที่เราชื่นชมว่าเขาผิวขาวสวยเหมือนกันค่ะ อย่างน้องเกรซหรือน้องแพนเค้ก แต่เราก็รู้ตัวว่าเราขาวอย่างเขาไม่ได้ ถ้าอยากขาวก็ต้องไปฉีด ซึ่งฉีดมาแล้วมันก็ไม่ได้เหมือนผิวธรรมชาติอยู่ดี กี้เลยเลือกที่จะพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็นดีกว่าค่ะ
จริงๆ เคยมีคนแนะนำให้เราไปทำหน้าอกเหมือนกันนะ ยิ่งช่วงนี้ยิ่งบ่อยเพราะผอมลงจนแทบจะไม่เหลือแล้ว (หัวเราะ) แต่กี้ก็จะปฏิเสธไป กี้มองว่าการศัลยกรรมเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาสำหรับคนที่จำเป็นจริงๆ อย่างผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม ต้องตัดหน้าอกทิ้งไปข้างหนึ่ง มันช่วยเสริมให้ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นผู้หญิงอยู่ แต่ถ้าคนทั่วไป อยากให้ทุกคนพอใจตัวเองมาจากข้างในก่อนดีกว่าค่ะ เรื่องภายนอกค่อยว่ากัน”
ผู้หญิงไทยเนื้อเหลว
ย้อนไปสมัยย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ ตอนนั้นกี้ก็ถือว่าอวบระยะสุดท้ายเหมือนกัน “เพราะมาตรฐานของไซส์อาหารที่อเมริกากับที่นี่ไม่เหมือนกัน ที่นู่นครึ่งจานเท่ากับที่นี่เลย (ยิ้ม) ตอนนั้นหุ่นเราเหมือนฝรั่งเลยค่ะ เทียบกับผู้หญิงไทยเป็นไซส์นิ้วก้อย ตอนนั้นเราไซส์นิ้วโป้งเลย (หัวเราะ)” เธอบอกอย่างนั้น แต่ท้ายที่สุดกี้ก็หาสมดุลในชีวิตเจอ กระทั่งหุ่นเฟิร์มคงที่อย่างในปัจจุบัน
“ตอนนี้ก็พยายามคุมให้น้ำหนักอยู่ระดับกลางๆ ค่ะ อยากให้ตัวเองแข็งแรง เอาแบบเดินขึ้นลงบันไดแล้วไม่เหนื่อยดีกว่า เพราะถ้าอ้วนไปก็ไม่คล่องตัว ผอมไปเดี๋ยวเป็นลมอีก แต่คุณพ่อคุณแม่ก็บอกว่านี่ผอมไปนะ คงต้องเพิ่มน้ำหนักอีกนิดหนึ่งค่ะถึงจะพอดี แต่ทุกวันนี้กี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเฮลตี้นะ คงเพราะเราออกกำลังกายด้วย แต่กี้เห็นผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ออกกำลังกายกันน้อยมาก แต่เน้นกินน้อยแทน ถ้าเอาแต่ลดอาหาร ไม่ออกกำลังกายเลยแบบนั้น กี้คงทำไม่ได้ค่ะ อาจจะเป็นลมไปเลย”
เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่เคยอดข้าวเลย เพียงแต่ใช้วิธีลดและควบคุมการกินให้เหมาะสมแทน โดยเฉพาะมื้อที่แวะไปกินข้าวกับคุณพ่อ เธอจะพลอยสุขภาพดีไปด้วย “แต่ก่อนคุณพ่อเขาสูบบุหรี่จัด ตอนนี้เลยต้องกินอาหารที่คอเลสเตอรอลน้อยๆ ไม่ส่งผลต่อความดัน แฟนคุณพ่อเป็นคนทำให้กินค่ะ มีแต่เมนูสุขภาพทั้งนั้นเลย เราก็เลยได้รับผลพลอยได้ไปด้วยเวลาไปกินข้าวกับคุณพ่อ” แต่ถ้ามื้อไหนไม่ได้แวะไป เธอก็มีวิธีการดูแลตัวเองเป็นกฎเหล็กไว้อยู่แล้ว
“จะบอกตัวเองว่าถ้าอยากกินแป้งจริงๆ หรือหิวมากๆ ให้กินมื้อเช้าค่ะ อยากกินเท่าไหร่กินไปเลยเพราะมื้อแรกสำคัญที่สุด พอเที่ยงก็ค่อยๆ ลดลงมา จากเคยกินเต็มจานอาจจะเหลือแค่ครึ่งเดียว มื้อเย็นก็เอาข้าวออก กินผักต้มหรือผลไม้แทนดีกว่า ส่วนใหญ่ตอนเย็นกี้จะกินสลัดแซลมอนย่างค่ะ รู้สึกว่ามันไม่มีไขมันสะสมดี แล้วก็กินแคลเซียมเสริมด้วย เคยอ่านเจอว่าพออายุ 21 เป็นต้นไป ผู้หญิงจะสูญเสียแคลเซียมมากกว่าผู้ชาย เลยต้องกินกันไว้ ส่วนเรื่องขนมหวาน มีกินบ้างเหมือนกัน แต่จะกินแค่พอหายอยาก จะไม่หอบกลับบ้านมานั่งกินคนเดียวเด็ดขาด ต้องลิมิตตัวเองด้วยว่าถ้าเป็นขนมที่มีกะทิเยอะๆ อาทิตย์หนึ่งกินครั้งเดียวก็พอแล้ว แล้วก็ต้องออกกำลังกายช่วยด้วย”
สำหรับสาวๆ ที่หุ่นดีได้โดยการลดอาหารแต่ไม่เคยออกกำลังกายเลย กี้ขอแนะนำว่าอย่าทำดีกว่า เพราะพฤติกรรมดังกล่าวน่าเป็นห่วงเกินไป “เวลาเห็นผู้หญิงที่สูงเท่าเราแต่หนักน้อยกว่าประมาณ 5 กิโลฯ รู้สึกว่าเขาผอมมาก เหมือนตัวจะหักกลางเลย ดูแขนขาเขาเล็กมาก ถามว่าสวยไหมก็ดูสวยนะคะ แต่ถ้าให้ใส่ชุดโชว์หน้าท้องจริงๆ มันจะดูเนื้อเหลวๆ ไม่ฟิตเท่าไหร่เพราะไม่ได้ออกกำลังกาย (ยิ้มเกรงใจ) อันนี้ไม่ได้อยากจะว่านะ แต่มันเป็นแบบนี้จริงๆ ค่ะ กี้ว่าลองหากีฬาที่ตัวเองชอบดูอาจจะช่วยได้นะ ถ้ารู้สึกสนุก เราก็จะไม่ท้อไม่เหนื่อยที่จะทำ”
“อีกอย่างคือเรื่องชุดออกกำลังกายค่ะ กี้รู้สึกว่าคนไทยแต่งตัวจัดกันมากเวลาไปฟิตเนส เห็นครั้งแรกตกใจเลย เราใส่แค่เสื้อยืดกางเกงเตะบอลไป กะเหงื่อโชกเต็มที่ เห็นคนอื่นมาแบบแมตชิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้าแบรนด์เดียวกันหมด ผมก็รวบมาเนี้ยบมาก เนี้ยบกว่าตอนเรามาทำงานอีก (ยิ้ม) ก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องใส่ใจตรงนั้นมากก็ได้ค่ะ จะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเตรียมตัวอะไรมากเวลาจะมาออกกำลังกายแต่ละที เอาแบบไม่ต้องบังคับตัวเองมาก สบายๆ ดีกว่าค่ะ จะได้ทำได้นานๆ”
---ล้อมกรอบ---
ว่างเป็นฟิต
หุ่นดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอา เพราะฉะนั้นกี้จึงใช้เวลาทุกนาทีอย่างเป็นประโยชน์ แม้กระทั่งขณะดูทีวี “อย่างตอนอยู่บ้านเฉยๆ ดูทีวีไปก็จะทำท่าบริหารขาไปด้วย คือนั่งยองๆ บนเก้าอี้อากาศแล้วก็ดูทีวีไปจนกว่าจะทนไม่ไหวค่อยหยุดเป็นพักๆ ส่วนแขนก็จะเอากระป๋องลิ้นจี่มายกแทนดรัมเบลค่ะ เห็นเขาบอกว่าน้ำหนักเท่านี้กำลังดี ไม่ถึงกิโลฯ ไม่ทำให้ขึ้นกล้ามแต่เนื้อจะกระชับ บางทีคุยโทรศัพท์ไปด้วยก็ยกไปด้วยค่ะ พอเราทำอย่างอื่นไป ไม่จดจ่อกับการยก เราก็จะทำได้นานขึ้น”
หรือถ้าวันไหนขี้เกียจมากๆ เธอจะเอาตัวไปแช่น้ำในสระว่ายน้ำของคอนโด “แต่ต้องอย่าลงไปยืนเฉยๆ นะ อย่างน้อยทำท่าลูกหมาตกน้ำ เคลื่อนไหวในน้ำสัก 10-15 นาทีก็ยังดีค่ะ” เธอบอกเคล็ดลับ และถ้าออกกำลังกายเป็นประจำ รับรองว่าจะมีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันเพิ่มขึ้นจนสังเกตได้
“พอออกกำลังกายแล้วรู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่ค่อยเหนื่อยค่ะ ตอนแรกๆ ที่เริ่มออกอาจจะปวดตัวมาก แต่พอสักพักเริ่มชิน ตื่นเช้ามาเราจะไม่งัวเงียเลย เหมือนร่างกายเราพร้อมที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น รู้สึกสดชื่นมากกว่าเดิมเยอะเลย สมมติวันหนึ่งต้องทำ 10 อย่าง ถ้าเป็นก่อนออกกำลังกาย พอถึงอย่างที่ 7 เราก็เริ่มหมดแรงแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้นเลยค่ะ รู้สึกเฟรชตลอดจนถึงอย่างที่ 10 จริงๆ” กี้คอนเฟิร์ม
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... ธัชกร กิจไชยภณ