ตลอดเวลา 20 กว่าปี ที่ชายคนนี้อยู่เป็นเพื่อนคุณในค่ำคืนอันมืดสนิท เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความมืด ให้กลายเป็นคืนอันแสนน่ากลัว...M-Lite นัดหมายผู้ชายใส่เสื้อยืด กางเกงเล หนีบรองเท้าแตะ จนกลายเป็นฟอร์มตัวเก่งที่หลายคนก็รู้ว่าเขาคือ ดีเจ พิธีกร นามว่า “ป๋อง-กพล ทองพลับ” ณ ร้านข้าวต้ม The Shock ใครต่อใครต่างก็มองว่าเขาคือ “เจ้าพ่อรายการผี” ไอดอลของวัยรุ่นที่อยากสัมผัสสิ่งลี้ลับ
ทำไมถึงเลือกทำงานกับสิ่งลี้ลับ
เส้นทางหลักในการทำงานป๋องบอกว่าเหมือนตนเองถูกเลือกให้เดินทางสายนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น การรับงานรายการผี ทั้งรายการ The Shock ทางคลื่นวิทยุ FM 101 , รายการ คนอวดผี, รายการ รู้จริงป่ะ ซึ่งถือว่าตนเองได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของวิญญาณ สิ่งลี้ลับ
ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปี ตั้งแต่ตัวเองจบกรุงเทพคริสเตียน แล้วไปต่อรามคำแหงปี 30 อยู่รามก็ไม่ค่อยได้เรียน เริ่มทำงานก็ปี 32 แต่ว่ามันไม่ได้เริ่มต้นเป็นดีเจเลย ก็เริ่มจากไปช่วยกองถ่าย แบกกล้องบ้าง ยกขากล้องบ้าง หาโลเกชัน คือมันทำงานอื่นมาก่อน ครีเอทีฟ ถ่ายมิวสิกบ้าง ทำสปอตโฆษณา ให้พี่ๆ ที่รู้จักกัน
นานไหมกว่าจะมาเป็นนักจัดรายการวิทยุ
ไม่นานหรอก ตอนนั้นก็ทำๆ อยู่ ถึงเราจะเริ่มต้นทำอะไรก่อนก็ตาม แต่ความฝันตั้งแต่เด็กของเราคือการเป็นดีเจ ยังไงเราก็ต้องมาเริ่มความฝันของเราเป็นดีเจให้ได้ ตอนเริ่มทำประมาณปี 34 ตอนนี้ปี 55 ก็ 20กว่าปี
ถ้าถามว่าตอนนี้ยังสนุกกับงานนี้อยู่ไหม มันก็สนุกนะครับ เพราะอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกันมันเหมือนเด็กคนหนึ่งที่มันมาไกลเกินกว่าที่จะฝัน ตอนนั้นแค่ฝันอยากเป็นนักจัดรายการวิทยุ ได้พูดคุย เปิดเพลง ได้หัวเราะมันก็โอเคแล้ว ก็จริงๆ ฝันไว้แค่นั้นแต่มันก็มาไกลเกินฝันแล้วล่ะ พี่เรียนมาน้อยมาก ถึงพี่จะเรียนกรุงเทพคริสเตียนก็จริงแต่พี่เรียนอะไรก็ไม่ได้ เลขก็ไม่ได้ อยู่บ้านก็จะเหมือนเด็กที่เรียบร้อย กลัวพ่อแม่ แต่มาอยู่ กทม. ก็จะซนมากคอยแกล้งเพื่อน เกเร จากเด็กคนนึงที่ไม่มีอนาคตด้วยซ้ำ พ่อตั้งใจอยากให้เรียนจบ เมื่อก่อนเรื่องของการทำงานในวงการบันเทิงมันก็ดูไม่มั่นคงนะ พ่อแม่ก็อยากให้รับราชการ งานออฟฟิศที่มั่นคง แต่เราก็แหกคอก นอกกรอบเค้า เค้าก็เสียใจ เรียนหนังสือก็ไม่จบ เราก็เลือกเดินทางที่เราชอบและก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเราทำได้ ผ่านกาลเวลาช่วงนั้นมาได้ เราเองก็สามารถที่จะดูแลตัวเองและครอบครัวได้ ทำให้เค้ายอมรับ นานมากกว่าเค้าจะยอมรับได้ กลับบ้านสี่ห้าโมงเย็นก็เริ่มกลับดึก เริ่มไม่เข้าบ้าน เค้าก็เริ่มรู้ว่าเราเลือกทางนี้ แล้วเค้าเองก็ไม่ว่าอะไร ก็แค่เป็นห่วงเราอยากให้คิดไตร่ตรองให้ดี
เริ่มเล่าเรื่องผีได้ยังไง
ตอนนั้นเราอยู่สไมล์เรดิโอ และผมก็มีหน้าที่ตอนนั้นเป็นเด็กคนนึงในคลื่นวิทยุ มีพี่ออฟ ที่เค้าเป็นผู้จัดการเราและก็เป็นทั้งอาจารย์เรา ให้ช่วงเวลาจัดรายการตั้งแต่ตีหนึ่งถึงตีสาม เราก็คิดว่าจะทำอะไรดีที่จะให้คนอยู่กับเราไม่ง่วงหลับไปซะก่อน เราเองก็ชอบเรื่องผี เรื่องตึงตัง ทะลึ่ง เมื่อก่อนเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยงามก็เลยเล่าเรื่องผีดีกว่า เราเล่าบ้างคนฟังเล่าบ้าง ซึ่งตอนนั้นมีแอฟเฟกต์บ้าง ช่วงแรกตอนนั้นก็เปิดเพลงสลับกันบ้าง เราก็โปรยก่อน “ช่วงหน้าใครมีเรื่องผีมาเล่าก็จะให้มาเล่าให้กันฟัง” หนึ่งชั่วโมงก็เริ่มจากตรงนั้น สองชั่วโมงสุดท้ายก็เปิดเพลง
ผมก็ไม่ใช่คนแรกที่เล่าเรื่องผีหรอกครับ เท่าที่เราได้ยินมาก็ถ้าเราทันก็มีพี่คนนึงที่เคยจัดมาก่อน เราก็เหมือนลูกศิษย์แก ก่อนหน้าพี่ออฟ ก็จะมีคนเคยจัดนะ แต่ทุกคนที่ทำมาก็ไม่ได้ทำจริงจัง เรามาทำแบบเกาะไม่ปล่อย ทำย้ำๆ ซ้ำๆ จนคนเขารู้ว่าถ้าเป็นเรื่องผีก็ต้องเป็นไอ้ป๋อง กพล ทองพลับ เนี่ยแหละ มันเกิดขึ้นจากการย้ำคิดย้ำทำ และเป็นคนทำแบบนี้ ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ คนเริ่มหันมาสนใจเยอะขึ้น แต่เราก็ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองชอบด้วยนะ ไม่ใช่ว่าทำไปแล้วไม่ชอบมันก็ไม่มีความสุขมายี่สิบกว่าปีแบบนี้หรอก
ที่แปลกกว่าคนอื่นก็คงจะเป็นการที่เราได้มาทำกิจกรรมด้วย ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่คนก็ทำกันตอนกลางวัน แต่เราเลือกทำกิจกรรมตอนกลางคืน ดึกๆ รวมแฟนรายการที่ยังไม่นอน ไปทำกิจกรรมกัน ก็เริ่มเกิดกระแสมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็ได้รับความนิยมมากขึ้น
ทำไมถึงจริงจังกับการทำรายการผี
ถามว่าเราก็มีชอบไม่กี่เรื่องนะ ของเล่น ชอบดูผี กลัวผี ดูผี มีคนมาจับกลุ่มเล่าเรื่องผีแถวบ้านเราก็ชอบไปนั่งฟัง เล่าก็ไม่ได้เล่าไปนั่งฟังเขาเฉยๆ เรื่องไหนเล่าสนุกเราก็ขนลุก ชอบดูหนังผี ปอบผีฟ้า แม่นากพระขโนง ดูไปก็ปิดตาไป มันคงหยั่งลึกอยู่ในใจ กลับบ้านต่างจังหวัดเราก็กลัวผีจะตาย ตื่นเต้น บ้านต่างจังหวัดพื้นบ้านมันร่องๆ เราก็จินตนาการ มีคนบอกว่าเป็นคนโชคดีมั้งและเค้าก็คงเลือกเราที่จะทำงานแบบนี้ มีคนเคยบอกว่า “เค้าคงเลือกแล้ว ” ผู้ใหญ่ที่รู้จักเค้าก็บอกนะ ว่าเค้าเลือกให้เราเป็น จากเด็กที่เรียนก็ไม่เก่ง เอนทรานซ์ก็ไม่ติด ไม่ได้อะไรสักอย่าง ยุคนั้นขับรถไม่เป็น ยุคนั้นกรอกใบสมัครก็มีช่องให้กรอกความสามารถพิเศษเราก็ไม่รู้จะตอบอะไร อะไรก็ทำไม่เป็น ทุกอย่างก็ทำมาเรื่อยๆ ทำมาด้วยใจ ไม่เคยฝืนทำ เพราะไม่มีใครที่ฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบมายี่สิบกว่าปีหรอก
พอรู้ว่าตัวเองชอบอะไรแล้วเริ่มต้นยังไงกับการหยิบจับเรื่องนี้ ก็ไม่ได้ลงไปลึกมากนัก เพราะว่าถ้าลงไปลึกกว่านี้ก็คงมีของขลังเต็มตัวไปแล้ว ทำมา 20 กว่าปีก็ยังคงไม่มีของขลังเลยสักชิ้น ตัวเปล่าเล่าเปลือย เราบอกตัวเองว่าตัวเองชอบฟังชอบดู แต่ก็ไม่ได้ลงลึกอะไรอย่างนั้น เราเองก็แค่อยู่ตรงกลาง ไม่งมงายแล้วก็ไม่ขัดแย้ง เล่าอยู่ตรงกลาง เราก็มีความสุขในการทำ
เรื่องแบบนี้ทำให้คนงมงายหรือเปล่า
มีครับ แรกๆก็มีผู้ใหญ่บอกว่ารายการดูงมงาย ไร้สาระ มันก็นานาจิตตัง มีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ หลากหลายกันไป แต่เราเองเราบอกตัวเองตั้งแต่ปีแรกแล้วว่าเราทำเพื่อความบันเทิง แล้วก็ย้ำตลอดว่า ทำเอาบันเทิง ฟังเพื่อความบันเทิง เราก็จะบอกตอนท้ายตลอดว่า “โปรดใช้วิจารณญาณในการฟังการชม” คนจะเชื่อไม่เชื่อก็อยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละคนไป คนดูเป็นคนตัดสินเอง เมื่อก่อนเราก็เป็นคนฟังก็อยู่ที่เราว่าชอบไม่ชอบ เชื่อไม่เชื่อ ผมว่าอยู่ที่ความสนใจของคนเพราะว่าถ้านำด้วยเรื่องผีแล้วเราจะใส่เรื่องอะไรลงไปคนก็สนใจมากขึ้น เรื่องทำดีทำชั่ว กรรมดีกรรมชั่ว การรู้จักให้รู้จักรับ เราไปทำบุญกัน คนที่มาหลอกมาหลอนตายเพราะอะไร เค้าตายเพราะเค้าผูกคอตาย คิดสั้นเรื่องความรัก คนเราอย่าไปคิดมากนะ การคิดสั้นทำให้เราทรมานไปร้อยชาติพันชาตินะ มันก็จะอยู่สอดแทรกในรายการ อยู่ที่ว่าใครจะเลือกรับตรงไหนไป เพราะฉะนั้นคนที่คิดว่าไร้สาระก็คงเป็นคนที่ดูหรือฟังกันแบบผิวเผิน มันก็มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ มันเหมือนตัวอะไรที่เบรกความคิดไม่ดีของคน อย่างจะคิดฆ่าใครสักคนมันบาปนะ คนก็จะรู้ว่าบาปยังไง เพราะอะไร มันมีเหตุผลที่คนจะใช้วิจารณญาณในการเชื่อ เรื่องแบบนี้ถ้ามีในสังคมมันก็ดี ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย ใครจะทำอะไรกันก็ไม่สนใจ เหมือนมีไว้ให้คนคิดพิจารณาหน่อยนะ
เล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกที่เจอผี
ผมว่าประสบการณ์ที่เราถูกสะสมมากกว่าที่ทำให้เราเชื่อว่าผีมีจริง แล้วก็ตอนเด็กจะโดนผู้ใหญ่หลอกบ้าง คุณตาเสีย ท่านมาหาเรา ก็คิดว่าฝันก็ได้แต่มันสามารถรับรู้ได้ว่าการสัมผัสแบบนี้เป็นระหว่างเรากับคุณตาเท่านั้น เราก็จะรู้ได้คนเดียว เรารู้ว่าไม่ใช่มือพ่อ มือใคร ผมไม่ใช่คนมีเซนส์ หรือสัมผัส เห็นผีได้ ใครจะเห็นก็เห็นไปที่บอกว่าเราไม่หักล้างความเชื่อใคร ใครเชื่อก็ไตร่ตรองกันให้ดี จะมาบอกว่าคนนั้นคนนี้โกหกมันก็ไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ได้ไปเห็นอย่างเค้า ก็แล้วแต่ คนดูต้องพิจารณาเองละกัน
อุปกรณ์เห็นผีหามาจากไหน
ต้องเล่าก่อนว่าโลกใบนี้เรื่องของวิญญาณเป็นเรื่องของที่คู่มากับมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อมีเกิดแก่เจ็บตาย คนอยู่ก็อาจจะถวิลหาคนที่ตายไปแล้ว อยากรู้ว่าเค้ามีทุกข์ สุขอย่างไร ก็มีการทำพิธีกรรม เชื่อมต่อกับโลกวิญญาณ อยากรู้ว่าเค้ามีทุกข์หรือสุขอย่างไร กินข้าวรึยัง ทำบุญไปได้รับหรือป่าว มันเป็นเรื่องของคนที่ยังไม่ตายเป็นห่วง ถามว่าเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือ ฝรั่งก็เชื่อว่า วิญญาณเป็นพลังงานอย่างนึง ฝรั่งเค้าจะมีชมรมพวกนี้เยอะครับ ก็ผลิตอุปกรณ์มาเหมือนโทรศัพท์มือถือเลย มีตกรุ่น มีรุ่นใหม่บ้าง เราเองก็สั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ต หรือเพื่อนอยู่เมืองนอกก็ฝากซื้อ มันก็เหมือนเครื่องตรวจวัดไฟฟ้า แต่ก็เชื่อว่าจะมีกติกาว่าถ้าเครื่องดังเท่านี้อาจจะใช่ หรือดังแบบนี้มันไม่ใช่ ก็มีแบบนี้แหละ มันก็เป็นเรื่องของเครื่องมือที่เอาไว้นำเราไปยังที่ต่างๆ เพราะถ้าเราเดินแบบไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ตื่นเต้น เดินแบบบุ้ยใบ้กันไป เรามีคนมีเซนส์ เราไม่มีเซนส์เรื่องแบบนี้อย่างน้อยเราก็มีทิศทางในการเดินไป
อุปกรณ์เหล่านี้มันจะเชื่อได้ไหม
ไม่มีอะไรในโลกนี้เชื่อได้นะ มันก็เป็นแค่ตัวชี้นำเท่านั้น เหมือนคนมีเซนส์ เราไม่เห็น ถามว่า เชื่อได้ไหม เราเองก็ไม่รู้ไงไม่ได้เชื่อทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก เราเชื่อตัวเอง อย่างน้อยเราทำงานก็ได้อรรถรสในการทำงานมากขึ้น ก็ไม่ได้บอกว่าเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เหมือนเป็นตัวนำร่องในการแนะทิศทางที่เราจะเดินไปมากกว่า มีตั้งแต่หลักร้อยถึงแสนนะ มันเยอะมากเลยนะ มันมีกล้องอินฟราเรด มันสามารถโหลดได้ทางไอโฟน ไอแพดกันเลยนะ มันจะพัฒนาไกลมาก ฝรั่งมันช่างคิดฝรั่งทำมันจริงจังนะ เอามาต่อให้รายการให้น่าสนใจมากขึ้น
ให้พูดถึงรายการคนอวดผี
รายการคนอวดผีมันก็เหมือนกับรายการวิทยุของพี่มาโควกันกับทางรายการเวิร์คพอยท์ มาคุยกันมากกว่าแล้วก็ทำออกมา ช่วงคลิปมันก็เป็นช่วงที่เบาที่สุดนะ หลายคนไม่ต้องรอดูที่รายการก็ได้ ในยูทูบมีเยอะมาก คนที่หามาให้เรามันก็ซีเรียสนะ ไม่ได้ตลกกับเรา ถ้าเราดูเพื่อความบันเทิงมันก็จบนะ ไม่ต้องคิดมากอะไร บางคนดูแล้วเครียด ก็เข้าใจคน พยายามบอกตลอดว่าดูให้สนุกนะ รายการนึงจากวิทยุมาสู่จอทีวี มันอยู่ที่จุดยืนเราชัดเจนนะ วันนึงถ้าเราซ้ายหรือขวา มันคงไม่มาถึงตรงนี้หรอก แล้วเราไม่ได้บอกว่าเราเป็นคนพิเศษอะไร ไม่ได้ไปไหนก็มีลูกประคำเต็มคอ ภาพเรามันชัด ไปไหนคนก็รู้ว่าเรามีจุดยืนของตัวเอง
กระแสช่วงล่าท้าผีที่กลายเป็นรายการ “คนอวดนม” บ้าง คิดอย่างไร
คนก็คิดมาก ให้ดูเอาสนุกเหอะ มันไม่โป๊ทุกตอนหรอก พอเห็นคนก็จะคิดมากเราก็อยากให้เป็นสีสัน คนเห็นความน่ากลัวตื่นเต้น แต่อยากให้มันซอฟต์ลงให้มีผู้ชายหล่อๆ หน้าตาดี ผู้หญิงสวยๆ มาให้ดูแล้วสดชื่นหน่อย ก็จะได้มาบาลานซ์กัน ดูก็ให้มันสนุกๆ มันไม่ได้มาถกให้ดูหนิ จะให้เค้ามาด้วยการใส่ชุดราตรีรึไง บางทีใส่อะไรเยอะๆ มันร้อน อึดอัดนะ บางทีการไปทำกิจกรรมแบบนี้มันตื่นเต้นนะ ถ้าใครไม่เคยไปไม่รู้หรอก ก็ให้ใส่ที่มันคล่องตัวหน่อย ก็อย่าซีเรียส บางคนก็บอกว่ารายการ คนอวดนมอวดผี รึเปล่า ผมได้ยินมาหมดล่ะครับ มันเหมือนการมีทางแยกของมันที่ทั้งคนชอบ ไม่ชอบ ไม่มีใครชอบเราทั้งโลกหรอก โลกของเราสร้างมาให้มันมีสองด้าน ถ้าคุณเข้าใจมันก็จะสามารถอยู่ได้ และเข้าใจมันง่ายขึ้นครับ
ตอนนี้รายการผีลี้ลับเกิดขึ้นเยอะมาก คิดอย่างไรบ้าง
ก็เป็นไปตามธรรมเนียมของโลกใบนี้ครับ จริงๆ มีแล้วก็หายไปนานนะ รายการแบบนี้ ถ้าย้อนกลับไปที่เราทำกับ กิ๊ก มยุริญ รายการ มิติลี้ลับ ก็หายไป แล้วก็กลับมา ชั่วโมงพิศวง แล้วก็นานมากกว่าจะมาเป็นคนอวดผี ซึ่งมันหายไปนานมาก แล้วก็คิดว่า ช่วงที่หายไปทำไมมันไม่ทำกันล่ะ ไม่เข้าใจ พอมีคนอวดผีเกิดขึ้นก็เกิดมาพรึ่บพรั่บกันเลย ก็เข้าใจว่ามันเป็นกระแสของรายการมันเป็นเรื่องของแฟชั่น เชื่อเถอะมีมาก็มีไป แต่สุดท้ายเชื่อว่าคนที่จริงจังจะอยู่ได้ ก็เหมือนแฟชั่น พอมีมาเยอะๆมากขึ้นสักพักมันก็หายไป จริงๆ แล้วเดี๋ยวมันก็จะวนกลับมาใหม่
มีคนมองว่าคุณป๋องเป็นไอดอลบ้างไหม
มีเยอะมาก เพราะเราเองก็ไม่คิดว่าเราจะเป็นไอดอลใครได้ เรามีด้านมืดเยอะมากเลย แต่เราเป็นคนรักพ่อ รักแม่ เป็นคนทำมาหากิน เราต้องขอบคุณที่มองว่าเราเป็นไอดอล มีเด็กหลายคนแต่งตัวแบบเรา หากางเกงเล มาใส่ สะพายย่าม เวลาไปไหนมาไหนกับหนุ่มกรรชัย ผู้หญิงจะกรี๊ดหนุ่ม ผู้ชายจะกรี๊ดเรามากกว่า ชอบพี่ป๋องเว้ย ก็แปลกๆ ดี ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น
ฝากถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงานของคุณป๋อง
โลกนี้มันแย่แล้วนะ คงจะฝากเรื่องของการทำวันนี้ให้ดีที่สุด มองโลกแง่บวก อย่าไปคิดร้าย คิดไม่ดี คิดมากไปก็เท่านั้น เอาความสุขตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ทำคนอื่นเดือดร้อน ทำความดีมากกว่าความเลว สัดส่วนของน้ำในแก้วถ้าความเลวมากกว่าความดีก็จะอยู่ไม่ได้
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย...พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร