ชุดดำพอดีตัว กางเกงขายาวซีทรู คือลุคสาวมั่นในงานเปิดตัวเทศกาลพุทธลีลากรุงเทพ 2012 ของเธอ “แนตตี้-ณัฐณิชา ธนาลงกรณ์” ด้วยบุคลิกโฉบเฉี่ยวและการพูดจาแบบตรงไปตรงมา ดูอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าคือคนที่ถือศีลห้าอย่างเคร่งครัดและเข้าปฏิบัติที่วัดป่าแทบทุกเดือน แต่ร้อยทั้งร้อยยืนยันตรงกันว่าเป็นความจริง
แม้จะออกปากว่าไม่อยากให้เรียก “เซเลบ” แต่ในวงสังคมชั้นสูงแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอคือ “ณัฐณิชา ธนาลงกรณ์” หรือ “แน็ตตี้” ทายาทชุดชั้นในแบรนด์ไทยชื่อดัง “จินตนา” เจ้าของเดียวกับ Sabina ซึ่งถือครองส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจประเภทนี้อยู่ไม่น้อย เพื่อนไฮโซที่เคยเห็นเธอออกงานอีเวนต์มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ อาจเคยชินกับภาพสาวเปรี้ยว เที่ยว เฮฮาปาร์ตี้ ทำตัวนอกกรอบจนคุณแม่ต้องหนักใจ แต่วันนี้เธอเปลี่ยนไปแล้ว ด้วยคำสั้นๆ ที่เรียกว่า “ธรรมะ”
ไม่ต้องสนุกขนาดนั้น
“จุดเปลี่ยนจริงๆ คงเป็นเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วค่ะ แต่ก่อนแน็ตเป็นเด็กค่อนข้างดื้อ อยู่โรงเรียนก็ไฮเปอร์ ไม่ค่อยตั้งใจเรียน แถมยังอยู่ไม่เคยติดบ้าน หาทางออกไปข้างนอกตลอด พอย้ายไปเรียนอเมริกาตอนอายุ 15 คุณยายขอให้เราตั้งใจเรียนสักที แน็ตก็เลยอยากพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าเราทำได้ พอเรียนหนังสืออยู่ในเมืองสงบๆ (ซานฟรานซิสโก) ก็เลยได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น มีเวลามองตัวเองมากขึ้น แล้วก็เริ่มสนใจธรรมะขึ้นมา เลยลองหาวัดไทยที่นั่นดู เป็นวัดป่าค่ะ ได้ไปเจอพระอาจารย์ท่านก็แนะนำให้เราลองตั้งสติ พอได้ลองทำก็รู้สึกว่ามันดีนะ จากนั้นเลยหาทางไปทุกเดือนเลย ไปคนเดียวบ้าง ชวนเพื่อนๆ ไปด้วยบ้าง แล้วก็เริ่มถือศีลห้าอย่างจริงจังด้วย”
“ศีลข้อห้า” คือความตั้งใจที่เห็นผลชัดที่สุดในการเปลี่ยนแปลงตัวเองของเธอ แน็ตเล่าว่าเธอเองก็เคยผ่านช่วงดื่มแล้วอ้วก เมาแล้วปลิ้นมาเหมือนกัน จึงไม่เคยต่อต้านคนที่ดื่มและไม่เคยมองว่าตัวเองดีเลิศไปกว่าใคร แต่ที่ตัดสินใจเลิกเพียงเพราะมองไม่เห็นสาระของความสนุกสนานผ่านน้ำเมาอีกต่อไปแล้วเท่านั้นเอง
“ถามว่าการดื่มเหล้าผิดไหม ก็ไม่ผิดนะถ้าจะดื่ม เพียงแต่มันเป็นคนละเป้าหมายกับทางที่แน็ตอยากเดินน่ะค่ะ คนเราไม่รู้หรอกว่าจะตายเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นถ้าตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทำอะไร แน็ตก็อยากจะไปถึงมันให้ได้เร็วที่สุด ถ้าดื่มเหล้าแล้วมันทำให้เราเดินช้าลง แน็ตก็เลือกจะไม่ดื่มดีกว่า คนอื่นอาจจะมองว่าไปปาร์ตี้ ดื่มเหล้าเป็นการผ่อนคลาย แต่สำหรับแน็ต แน็ตว่าเวลาเราเครียดเรื่องเรียนแล้วได้เข้าวัด ทำสมาธิ มันรีแลกซ์กว่าเยอะเลย”
“ทุกวันนี้แน็ตก็ยังไปนั่งชิลกับเพื่อนในผับได้เหมือนเดิมนะคะ เพียงแต่เราไม่ดื่ม เพื่อนเราก็เข้าใจแล้วก็ไม่ได้บังคับอะไร ถ้าจะบอกว่าไม่ดื่มเข้าสังคมไม่ได้ อันนี้ขอเถียงเลยค่ะ เพราะคนที่แน็ตรู้จักหลายคนก็ไม่จำเป็นต้องดื่มแต่เขาก็ยังไปปาร์ตี้กับคนอื่นๆ ได้ ส่วนคนที่ดื่มเพราะอยากลืมปัญหา อันนี้ก็อยากให้คิดดีๆ ค่ะ เพราะการดื่มมันเหมือนเป็นการกล่อมให้เราหลับและฝันไปมากกว่า สุขได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม พอตื่นขึ้นมาปัญหาเดิมก็ยังอยู่อยู่ดี"
"ส่วนคนที่ดื่มเพราะอยากสนุก คิดว่าถ้าไม่ดื่มแล้วจะทำให้รู้สึกสนุกน้อยลง แน็ตมองว่าการที่เราสนุกน้อยลงก็ดีเหมือนกันนะคะ ชีวิตคนเรามันไม่จำเป็นต้องสนุกขนาดนั้นหรอก เพราะถ้ายิ่งสนุก ยิ่งสุขมากก็ยิ่งทุกข์มาก... จริงๆ นะ” เธอย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้ามั่นใจ
สุดโต่งจนได้ดี
ไม่หย่อนหรือตึงเกินไปคือเรื่องที่พระพุทธศาสนาสอนไว้เสมอ แน็ตเองก็รู้ดีแต่ยอมรับว่าทุกวันนี้ยังทำไม่ได้อย่างนั้น เนื่องจากนิสัย “สุดโต่ง” คือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก เธอจึงขอเริ่มจากวิธีง่ายๆ ก่อน โดยมองหาข้อดีในข้อเสียดังกล่าวให้เจอ แล้วดึงมาใช้ให้เกิดประโยชน์
“เรารู้ตัวว่าเป็นคนสุดโต่ง เราก็ใช้ข้อดีของความสุดโต่งนี่แหละค่ะมาเลิกเหล้า เห็นเพื่อนเราหลายคนบอกว่าจะเลิกๆ แล้วก็ค่อยๆ ลด แต่สุดท้ายก็เลิกไม่ได้สักที แต่แน็ตไม่ได้ติดเหล้าอยู่แล้ว ที่สำคัญเรามีเป้าหมายชัดเจนว่าเราต้องการอะไร พอมองเห็นชัดเราก็ทำได้สำเร็จทุกอย่างแหละค่ะ” แน็ตแจกยิ้มกว้างก่อนเสนอทางออกให้แก่คนที่สุดโต่งด้านการทำบุญทำทานว่ายังพอจะมีข้อดีอยู่บ้างเหมือนกัน
“อย่างตอนไปเมืองอินเล (ประเทศพม่า) เห็นเลยค่ะว่าคนที่นั่นเขาไม่ได้แข่งกันรวย แต่เขาแข่งสะสมบุญกัน แน็ตว่ามันเป็นการหยิบเอากิเลสของมนุษย์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ดีนะคะ คือถ้ามองกันตามหลักธรรมจริงๆ ก็ถือว่ายังไม่หลุดพ้นค่ะ ยังทำบุญเพื่อหวังผลอยู่ แต่แน็ตว่าอย่างน้อยถ้ามีกิเลสแล้วหยิบมันมาแปลงเป็นเรื่องดีๆ แข่งกันสร้างวัด แข่งกันทำบุญ ช่วยเหลือคนอื่น ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะสำหรับคนที่ไม่รู้เลยว่าการปฏิบัติคืออะไร ถนัดแต่ทำบุญอย่างเดียว แค่รู้จักตัดความตระหนี่ในใจเราได้ แค่นี้ก็ดีแล้วค่ะ”
ถ้าเทียบกับอัตราสุดโต่งที่มีอยู่ในตัวสมัยก่อนแล้ว ต้องถือว่าเธอลดระดับลงได้มากทีเดียว “แต่ก่อนเป็นคนขี้หงุดหงิดแล้วก็รอไม่เป็นเลยค่ะ ต้องมีคนขับรถไปรับไปส่งได้ทันใจ แต่พอไปอยู่อเมริกา กลายเป็นว่าต้องรอรถเมล์ รอรถไฟ เลยทำให้เราปรับตัวได้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็มาจากธรรมะนี่แหละค่ะที่ช่วยให้เรามองโลกได้ตามความเป็นจริงมากขึ้น เข้าใจอะไรๆ ได้ดีขึ้นอีกเยอะเลย” โดยเฉพาะเรื่องการมองคน ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เธอมักตัดสินคนจากสิ่งที่เห็นเพียงผิวเผินแล้วประเมินว่าคนคนนั้นดี-ไม่ดี แต่ทุกวันนี้เธอใช้ธรรมะตัดสินแทน
“แต่ก่อนจะมองอะไรสุดโต่งไปหมดค่ะ ขาวก็ขาวเลย ดำก็ดำไปเลย ถ้าเจอคนโกหก เราอาจจะคิดว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจ เขาโกหกคนอื่นแต่คงไม่โกหกเราหรอก แต่พอมองผ่านธรรมะก็ทำให้เห็นความจริงว่าเป็นยังไง คิดว่าถ้าเขาโกหกคนอื่นได้ แสดงว่าเขาก็โกหกเราได้เหมือนกัน คือไม่ได้มองในแง่ดีไปเลยหรือร้ายไปเลย แต่มองอย่างเข้าใจกว่าเดิมค่ะ"
"หรืออย่างเวลาทะเลาะกับใคร แต่ก่อนจะพยายามหาคนผิดให้ได้ ไม่งั้นไม่จบ แต่เดี๋ยวนี้คิดได้แล้วว่าหาคนผิดคนถูกไปก็เท่านั้น สิ่งที่เกิดไปแล้วก็คือสิ่งที่เกิดแล้วอยู่ดี ถ้าอยากจะหาเหตุผล จะหาว่าปัญหามันเกิดจากอะไร หาทางแก้ไขแล้วอย่าให้ผิดซ้ำอีกมากกว่าค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งโทษกัน”
ทุกข์จนสุข
เห็นเป็นสาวมั่น ตอบคำถามชัดถ้อยชัดคำและตรงไปตรงมาแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วสาวน้อยวัย 21 อย่างเธอก็มีมุมอ่อนหวานและอ่อนไหวเหมือนกัน โดยเฉพาะกับเด็กๆ ด้อยโอกาสที่เคยใช้เวลาลงไปสัมผัสด้วยตัวเองในฐานะผู้ดูแลมูลนิธิ “คุณแม่จินตนา” เมื่อไม่นานมานี้ซึ่งทำเอาเธอร้องไห้ไปหลายยกเลยทีเดียว
“เห็นน้องแล้วสงสารมากค่ะ มีคนหนึ่งแม่เป็นเอดส์ พ่อเสียแล้ว อยู่กับยายแก่ๆ แล้วน้องเขาก็ต้องหาเลี้ยง น้องก็บ่นกับเรานะ บอกว่าหนูทุกข์มากเลยพี่ แต่พอฟุ้งซ่านมากๆ หนูก็แค่ไม่ต้องคิดสิ แค่ปล่อยมันไป เราฟังแล้วโอ้โห! นับถือมากๆ รู้สึกเลยว่าความทุกข์ของเราที่เคยคิดว่ามันทุกข์มากๆ พอเทียบกับเขาแล้วมันกลายเป็นสิ่งงี่เง่าไปเลย” แน็ตยังคงพรั่งพรูความประทับใจออกมา
“คนส่วนใหญ่เวลาผิดหวังกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จะรู้สึกว่ามันทุกข์มากแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว แต่น้องๆ พวกนี้เขาอยู่ในจุดที่ทุกข์มากๆ อยู่แล้ว แต่เขากลับทำใจได้มากกว่าเราอีกค่ะ น้องบอกว่าเวลาหนูฟุ้งซ่าน หนูจะพยายามไม่คิดถึงมัน แค่คิดในสิ่งที่ต้องทำแล้วก็ตั้งใจทำ ดูสิคะ น้องเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะ แต่เขายังมีธรรมะในใจ ยังเข้าใจชีวิตมากกว่าพวกเราที่มีโอกาสศึกษาอีกค่ะ”
คนไทยบางคนมีโอกาสเข้าวัดมากกว่าน้องๆ ผู้ด้อยโอกาส แต่ก็ไม่เคยตั้งใจไปฟังธรรมหรือน้อมนำธรรมะมาใส่ใจอย่างจริงจังเลยสักครั้ง กลับไปเพียงเพื่อกราบไหว้ขอพรให้สมหวังเสียส่วนใหญ่ แน็ตมองเห็นปรากฏการณ์เหล่านี้ที่ยืดเยื้อมานานว่าควรได้รับการแก้ไข ซึ่งเธอก็เริ่มแก้จากตัวเธอเองเป็นอันดับแรก
“ทุกวันนี้เวลาไหว้พระ แน็ตขอแค่ให้ท่านมอบสติให้เราค่ะ ไม่ได้ขอพรอะไร ขอให้เราคิดดี พูดดี ทำดีก็พอ แล้วที่เราขอออกไปก็ไม่ได้คิดว่าขอแล้วจะทำให้เราทำได้นะคะ แต่มันเหมือนเป็นการย้ำกับตัวเองมากกว่า เราจะได้พยายามทำตามสิ่งที่พูด ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการกระทำของเราอยู่แล้วค่ะ” หากคำแนะนำเมื่อสักครู่ไม่เพียงพอให้ใครบางคนลุกขึ้นมาสร้างปาฏิหาริย์มากกว่างอมืองอเท้าคอยให้สมปรารถนา แน็ตแนะให้มองน้องๆ ด้อยโอกาสเหล่านี้เป็นต้นแบบดู
“น้องพวกนี้ช่วยสอนให้คิดอะไรดีๆ ได้ตั้งหลายอย่างแน่ะ แน็ตรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากเลยค่ะที่เกิดมาในครอบครัวที่เขาสามารถส่งเสียเราได้ ไม่ต้องมานั่งเลี้ยงดูตัวเองหรือสมาชิกคนอื่นในบ้าน แต่ดูน้องพวกนั้นสิคะ แค่ข้าวก็ยังจะไม่มีกิน เขาจนจริงๆ (เสียงอ่อย) พอเห็นอะไรแบบนี้มันก็ทำให้ต้องกลับมามองตัวเอง ดูสิเรามีมากกว่าเขาขนาดนี้แต่เราทำอะไรอยู่เนี่ย เรายังเที่ยวเล่นอยู่เลย” แน็ตนิ่งไปสักพักก่อนเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวของวีรบุรุษผู้ด้อยโอกาสอีกหนึ่งคนด้วยแววตาเป็นประกาย
“ตอนคัดเลือกน้องที่จะได้รับทุนการศึกษารอบสุดท้าย เหลือน้องสองคนที่เรายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกให้คนไหนดีเพราะทุนเรามีจำกัด แน็ตเลยเรียกมาคุยทีละคน ถามเขาว่าพี่ถามน้องจริงๆ ว่าพี่ควรจะให้ใครได้ไป พี่ชอบน้องมากนะ แต่น้องอีกคนเขาก็ลำบากเหมือนกัน น้องคนหนึ่งตอบเลยว่าผมว่าผมลำบากแล้วนะ ถ้าเกิดมีคนที่ลำบากมากกว่าผมอีกก็ให้เขาไปเถอะครับ โห! รู้สึกว่าน้องสุดยอดมากเลยค่ะ สุดท้ายเลยเลือกน้องคนนี้แหละ เพราะเรารู้ว่าถ้าเราให้โอกาสเขาไป เขาจะสานต่อความดีเป็นโซ่ช่วยคล้องคนอื่นต่อไปได้อีก แน็ตว่าสังคมเราต้องให้โอกาสคนแบบนี้แหละค่ะ คนที่รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ น้องเป็นตัวอย่างของคนที่มีธรรมะในหัวใจจริงๆ”
ถ้าใจยังไม่แข็งแรง
แต่ถึงจะมีธรรมะในหัวใจแค่ไหน ถ้าใจไม่แข็งแรงก็จบเห่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน เมื่อรู้อย่างนี้แน็ตจึงชอบพาตัวเองออกจากความวุ่นวายในเมือง แล้วหนีไปรวบรวมสติที่วัดป่าตักศิลาย่าโม เมืองโคราชอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงที่รู้สึกว่าฟุ้งซ่านมากเกินไปแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ใจเตลิดไปไกลจนเกินจะกู่กลับ
“พระอาจารย์หลายรูปบอกว่าการปฏิบัติไม่ต้องทำในวัดก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ แค่มีสติอยู่กับปัจจุบัน แต่สำหรับแน็ต แน็ตรู้สึกว่าถ้าเรายังไม่แข็งแรงพอ การได้ไปชาร์จแบตไกลๆ หนีจากความวุ่นวาย อยู่อย่างสงบกับตัวเองสักพักน่าจะดีกว่าค่ะ อย่างน้อยพอกลับมาสามวันแรกมันก็ทำให้เรายังมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวนะ ถึงวันต่อมาสติจะเริ่มกลับมาหลุดเหมือนเดิมก็เถอะ (ยิ้มขำตัวเอง) ถ้าเกิดเรารู้ตัวว่ายังไม่เข้มแข็งพอ หาเวลาอยู่กับตัวเองแบบสงบๆ ง่ายกว่า”
กฎเหล็กอีกข้อคือต้องไม่พาตัวเองเข้าไปหาสิ่งเร้าเดิมๆ ที่ชวนให้เกิดกิเลส ด้วยความคิดแบบนี้เองจึงทำให้พักหลังๆ แวดวงตระกูลดังจึงอาจไม่ได้เห็นแน็ตออกอีเวนต์โชว์ตัวถี่เท่าเมื่อก่อน นอกเสียจากว่า “เรารู้จุดยืนของเราว่าคืออะไรและทำไปเพื่ออะไรค่ะ เพราะถ้าเกิดออกงานปุ๊บแล้วต้องไปเที่ยวต่อกับเพื่อนเหมือนเดิม กลับเข้าสู่วงจรเดิมๆ ชวนกันแต่งตัว ชอปปิ้ง แล้วก็ปาร์ตี้กันต่อ แน็ตไม่เอาดีกว่า แรงดึงดูดทางโลกมันแรงกว่าทางธรรมอยู่แล้ว มีสิ่งเร้ามากมายพร้อมจะเข้ามาหาเราอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นเราต้องระวังตัวดีๆ เผลอเมื่อไหร่สติก็หลุดเมื่อนั้น แค่เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยจะมีสติอยู่แล้วด้วย (หัวเราะ)”
“ขนาดกับพระท่านเอง บางรูปบวชมาเป็นสิบพรรษายังสึกก็มี แล้วคนธรรมดาล่ะคะจะไปเหลืออะไร เราก็ต้องกลับมามองตัวเองด้วยค่ะว่าจริงๆ แล้วเราอยู่ในจุดไหน ทุกวันนี้แน็ตก็พยายามพิจารณาตัวเองบ่อยๆ จะได้มีสติ ไม่อย่างนั้นจะคิดนู่นคิดนี่ไม่หยุด หลุดตลอด ที่หลุดบ่อยๆ น่าจะเป็นเรื่องความสวยความงาม เรื่องน้ำหนักค่ะ จะกังวลอยู่ตลอด ทั้งที่พระท่านบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของภายนอก ไม่ควรให้ความสนใจอะไรมากมาย แต่เราก็ยังทำไม่ได้ แค่อ้วนก็เครียดแล้ว เหมือนกับเรายังติดเรื่องรูปอยู่ ยังต้องฝึกสู้กับกิเลสของตัวเองอีกเยอะเลยค่ะ” ปลายเสียงของเธอแผ่วลงคล้ายกำลังพูดกับตัวเอง
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าบางคนยังคงมองเธอด้วยสายตาประหลาดใจ ไม่เชื่อว่าลูกสาวคนตระกูลดังจะเป็นผู้หญิงธรรมะธัมโมไปได้ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ภายนอกที่ขัดกับคำพูดและความคิดอย่างมาก แต่แน็ตยืนยันว่าเธอไม่เคยกังวลต่อสายตาคนมอง ยังคงทำผิดได้แก้ไขได้ ไม่ต่างจากคนทั่วไปเลย
“เราก็ยังเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งเหมือนเดิม ยังใช้ชีวิต มีเพื่อน มีแฟนได้ แน็ตไม่เคยมานั่งห่วงภาพ กังวลว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้หรือเสแสร้งอยู่แล้วค่ะ เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นเลย ไม่ได้คิดว่าต้องพยายามสร้างภาพให้ตัวเองดูดีขึ้นเพื่อให้คนอื่นมองว่าดี หรือถ้าเกิดว่าวันไหนทำผิดพลาดอะไรไป เราก็เอาบทเรียนตรงนั้นแหละมาแก้ให้ครั้งหน้าดีขึ้น ทุกคนทำผิดพลาดกันได้เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ถ้ารู้ตัวว่าทำผิดก็เปลี่ยนแปลงแก้ไข ครั้งหน้าผิดอีกก็แก้อีก จากที่เคยผิด 10 อาจจะเหลือแค่ 5 หรือเหลือ 2 แค่รู้จักยอมรับผิดแล้วพัฒนาตัวเอง มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดแล้วนะ แน็ตคิดแบบนี้”
---ล้อมกรอบ---
พุทธไอที
รู้สึกตัวไหมว่าทุกวันนี้ใช้สมองไปกับการอยู่ในโลกออนไลน์มากเกินไปจนลืมให้เวลาตัวเอง ถ้ารู้สึกเหมือนกัน แน็ตมีวิธีสมดุลชีวิตมาฝาก โดยเฉพาะผีเฟซบุ๊กทั้งหลาย
“แน็ตเชื่อว่าเวลาเราสนใจสิ่งหนึ่งแล้วเราจะให้ความสนใจอีกสิ่งหนึ่งน้อยลง เพราะฉะนั้นถ้าตอนไหนที่คิดว่าตัวเองเริ่มฟุ้งซ่านมากไป อยู่กับโลกออนไลน์นานเกินไป แน็ตก็จะปลีกวิเวกไปในมุมธรรมะของแน็ต แล้วพอเราให้ความสนใจกับสติของตัวเอง ความฟุ้งซ่านมันก็จะลดลง ความสมดุลมันก็จะเข้ามาแทนที่เอง ถ้าเราสมดุลการเล่นได้แบบนี้ มันก็ไม่กระทบนะ”
สำหรับคนที่แยกแยะได้แล้ว อยากใช้เทคโนโลยีช่วยหนุนทางธรรมก็ทำได้เหมือนกัน ขอให้ติดตามข่าวคราวบน http://www.buddhaleela.org/ หรือเฟซบุ๊ก “Buddhaleela” ให้ดี อีกไม่นานจะมีกิจกรรมประกวดหนังสั้น ส่งคลิปมือถือเล่าเรื่องราวธรรมะที่อยู่ใกล้ตัวมาแลกเปลี่ยนกัน รับรองว่าถ้ากดไลค์เข้าร่วมต้องได้บุญออนไลน์แน่ๆ อย่างที่แน็ตขอเป็นแกนนำทำคลิปเข้าร่วมจนได้บุญล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
“ไปปรึกษาพระอาจารย์ชยสาโรมา ท่านก็ให้ไอเดียมาทำคลิปวิดีโอค่ะ ก็เลยทำร่วมกับพี่อุ๋ย บุดดาเบลส มีอยู่ตัวหนึ่งแน็ตชอบมาก ได้พี่กิ๊ก มยุริญมาแสดงให้ด้วย พี่เขาแสดงเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังโกรธมากจนเสียสติ แต่พอหันไปมองกระจก เห็นใบหน้าตัวเองว่าความโกรธเกลียดที่มีอยู่ในตัวมันทำให้เขาน่าเกลียดน่ากลัวขนาดไหน สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็เลยคิดได้ นี่ก็ส่งคลิปเข้าร่วมโครงการไปทั้งหมดสามตัวค่ะ งานนี้มีพี่ๆ ดาราคนอื่นมาช่วยกันทำอีกตั้งหลายคนเลยนะคะ” งานนี้จะรอติดตามดูหรือรอเข้าร่วมก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่ศรัทธาจริงๆ
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... ธัชกร กิจไชยภณ