xs
xsm
sm
md
lg

"เฮียฮ้อ" คลั่งบอล..จนได้เรื่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรียกว่าเติบโตมาด้วยความหลง รัก คลั่ง สนุก และมีความสุขในการดูบอลจนได้เรื่อง ถึงแม้ธุรกิจฟุตบอลจะยาก และหนักขนาดไหน แต่ก็ทุ่มเทหัวใจไปอย่างเต็มที่ในการบริหารลิขสิทธิ์ฟุตบอลระดับโลกทั้งฟุตบอลยูโร 200, ฟุตบอลโลก 2010รวมถึงล่าสุด “ฟุตบอลลาลีกา สเปน" ในคอนเซปต์เอาใจแฟนลูกหนัง สะดวก ง่าย ถูก และการได้บริหารฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษคือสุดยอดฝันของเด็กบ้าบอลในอดีตอย่าง “เฮียฮ้อ” สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ บิ๊กบอส บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)

ธุรกิจในฝัน “บริหารฟุตบอล”
แม้ว่าการทำธุรกิจกีฬาฟุตบอลจะเป็นสิ่งที่รัก แต่ช่วงที่เริ่มเข้ามาจับธุรกิจนี้ใหม่ๆ เขาก็ยอมรับว่าเคยบาดเจ็บ เคยขาดทุนมาแล้ว แต่ก็ยังไม่หมดหวังกับธุรกิจนี้ เดินหน้าทำต่อไป และนำบทเรียนจากครั้งแรกมาปรับปรุง พร้อมทั้งลงสนามด้วยตนเอง จนฟุตบอลโลก 2010 ประสบความสำเร็จ
 

"ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าการมาทำธุรกิจกีฬาครั้งแรกของอาร์เอสเลยคือเป็นการทำงานร่วมทุนกับพาตเนอร์ ครั้งแรกก็ทำฟุตบอลยูโร 2008 ถ้ามองในเชิงธุรกิจถือว่าล้มเหลว ก็ทำให้เราประสบผลขาดทุนจากตรงนั้น หลังจากนั้นเราก็มาวิเคราะห์ข้อผิดพลาด หลังจากนั้นผมก็ลงมาบริหารเอง วิเคราะห์ข้อผิดพลาดเพื่อที่จะมาบริหารฟุตบอลที่ใหญ่กว่าฟุตบอลยูโรอีก คือฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งก็ได้พิสูจน์ว่าหลังจากเราลงมาบริหารฟุตบอลโลกเองก็ประสบความสำเร็จ และเราก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์ ซึ่งเป็นประโยชน์ให้เราทำธุรกิจมาต่อเนื่อง ประกอบกับการเติบโตของธุรกิจดาวเทียม เราก็เริ่มมองหาลู่ทางในการพัฒนาธุรกิจสายนี้
  

เราคงไม่สามารถทำสิ่งที่เราชอบ โดยไม่สนใจเรื่องธุรกิจก่อน ชอบส่วนชอบ แต่มันดีที่สุดสำหรับเราถ้าได้ทำสิ่งที่ชอบด้วย แล้วมันเป็นธุรกิจที่ดีด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องของการทำลีกฟุตบอล ถือว่าเป็นความโชคดีของผม ที่ได้ทำสิ่งที่ชอบ เวลาทำฟุตบอลนี่มันสนุก เอาไปคิดที่บ้านก็ไม่เครียด มันจะไม่รู้สึกเหมือนเราทำงาน แต่มันก็มีความยาก แต่ในแง่วิธีคิดมันคิดได้เรื่อยๆ อันไหนดีก็จดไว้ บางทีคิดอะไรไม่ออกก็ลุกมานั่งเปิดไฟที่โต๊ะคิดแล้ว มันจะลดความเครียดได้ด้วยตัวของมันเอง เพราะเราทำสิ่งที่เราสนุกกับมัน" เฮียฮ้อกล่าวยิ้มๆ 
  

“ฟุตบอลลาลีกา สเปน" นั้นจัดว่าเป็นการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพลีกสูงสุดในประเทศสเปน และได้รับการยอมรับว่าเป็นลีกฟุตบอลที่เข้มข้นที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรปใกล้เคียงกับพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ
"นี่คือคอนเทนต์ฟุตบอลระดับโลกที่ดีมากๆ ในเมืองไทยเป็นรองแต่อิงลิชพรีเมียร์ลีก มันมีความแข็งแรงในตัวของมันเอง คือเป็นลีกที่เล่นบอลรุก จะเห็นว่าลีกแต่ละลีกจะมีคาแร็กเตอร์ที่ต่างกัน อย่างลีกของอิลาลีจะเน้นเรื่องของแทกติก เรื่องผลแพ้-ชนะมากเกินไป บอลของอิตาลีจะเตะหน่อยหนึ่ง วิ่งๆ ไปแล้วเดี๋ยวก็จะล้ม เอาฟาล์ว ทีนี้ในมุมของคนดูก็จะไม่สนุก แต่ลีกของลาลีกา สเปน เราจะเห็นว่าบอลลาลีกา สเปนส่วนใหญ่สกอร์จะเยอะ ที่สำคัญเป็นลีกที่รวมซุปเปอร์สตาร์มากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นรีล มาดริด, บาเซโลน่า , บาเลนเซีย มันจะดังด้วยตัวมันเองเพราะตรงนี้" 
  

พอถามถึงเป้าหมายต่อไปของธุรกิจฟุตบอล เฮียฮ้อตอบอย่างไม่ปิดบังถึงความฝันที่ว่าอยากทำฟุตบอลลีกที่ดีที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ "ต้องบอกว่าสนใจ แล้วก็อยากได้ แต่ว่ามันก็มีเงื่อนไข เรื่องของราคา พรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่มีต้นทุนค่าลิขสิทธิ์สูงมาก เป็นหลักหลายพันล้าน แต่ถามว่าเราเตรียมตัวไหม เราก็เตรียมตัวที่จะเข้าไปประมูล เราก็เตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ก็น่าสนใจ นี่คือเป้าหมายต่อไป เราสนใจเฉพาะลีกที่ดีที่สุด และแข็งแรงมากๆ คือ พรีเมียร์ลีก และลาลีกา สเปน แม้มันอาจจะแพงหน่อย แต่เวลาเราไปขายผู้บริโภคด้วยการขายแบบช่องเดียว เราเชื่อว่าผู้บริโภคก็ไม่ต้องจ่ายเงินแพงมาก เลือกซื้อเฉพาะช่องนี้ จริงๆ แล้วคล้ายธุรกิจเพลง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องซื้อซีดีทั้งแผ่น แต่ว่าฟังแค่ 1-2เพลงแบบในอดีต"

มองศิลปินคือคนธรรมดา
สำหรับมุมมองในการบริหารศิลปิน โดยเฉพาะศิลปินวัยรุ่นซึ่งเป็นที่จับตามองของแฟนคลับ บางกรณีก็ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ยกตัวอย่างศิลปินที่เห็นเป็นข่าวดังทั้งเรื่องอื้อฉาวส่วนตัว ทั้งเรื่องยาเสพติด เฮียฮ้ออธิบายว่าหลักสำคัญคือต้องอาศัยความเข้าใจ และมองว่าศิลปินก็คือคนธรรมดา มีทั้งดีและไม่ดีได้ เพราะฉะนั้นแฟนคลับก็ควรเลือกมองและทำตามแต่สิ่งดีๆ
  

"ศิลปินก็คือปุถุชน เป็นวัยรุ่นทั่วไป โอกาสที่ศิลปินจะทำอะไรที่ผิดพลาด หรือไม่เหมาะสมมันเป็นไปได้ อย่างอาร์เอสก็มีกติกาชัดว่าเรื่องไหนไม่ควรไหน อย่างเรื่องยาเสพติดทุกคนที่มาทำงานกับเราจะรู้อยู่แล้วว่าเราซีเรียส ถ้ามีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวของศิลปิน หรือเรื่องอะไรก็จะกลับมาดูที่ข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร เราก็จะแก้ปัญหา เรื่องนั้นๆ ตามข้อเท็จจริง
  

วันนี้เราก็เข้าใจว่าศิลปินก็คือวัยรุ่น วัยรุ่นมีวิธีใช้ชีวิตอย่างไร เราก็จะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องของเขาก็เป็นเรื่องธรรมดา วัยรุ่นแต่งตัวแบบนี้ มีแฟนก็เรื่องธรรมดา ถ้าถามว่าจำเป็นต้องมีการวางตัวไหม ก็จำเป็น เพราะศิลปินเป็นคนของสื่อฯ คนที่อยู่ในสื่อแล้วมีคนชอบเยอะ เขาก็ควรเป็นแบบอย่างที่ดี เพียงแต่ว่าเราก็ต้องยอมรับ แล้วก็แฟร์กับศิลปินด้วย การที่จะไปบอกว่าคุณเป็นแบบอย่างที่ดี แล้วคุณต้องทำทุกอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ ผมว่าบางทีขนาดพระยังทำไม่ได้เลย ถ้าเขาทำสิ่งที่ไม่ได้แล้วไม่ยี่หระเลย ไม่สนใจ ผมว่าสังคมลงโทษเขาอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาทำแล้วมันพลาดไป แล้วแก้ไขได้คนไทยก็ให้อภัย
  

การที่แฟนเพลงชอบศิลปินคนหนึ่ง แล้วตามไป ผมว่าเลือกเลียนแบบในสิ่งที่ดีๆ บางทีไปมองศิลปินอย่างเดียวไม่ได้ อยากให้มองย้อมกลับมาว่าแฟนๆ เองก็ต้องมีสมอง มีสติ ไม่ใช่รักใครชอบใครก็จะเลียนแบบเขาทุกอย่าง ก็ต้องเชื่อว่ามนุษย์มีทั้งดีและไม่ดี เวลารักศิลปินคนหนึ่งให้รักที่งานเขา รักที่ผลงานเขา แล้วก็วิธีคิดดีๆ ของเขา คุณก็เลียนแบบ อะไรที่คิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ต้องไปเลียนแบบ"

บริหารอาร์เอสแบบทีมฟุตบอล
"ผมมองเหมือนบริษัทเป็นทีมฟุตบอล 1 ทีม ผมก็มองง่ายๆ สมมุติพนักงาน 1 พันคน ก็เปรียบง่ายๆ ในสนาม 11 คน ผมคิดอย่างนี้ กองหน้าคือใคร กองหลังคือใคร กองหลังคือบัญชี กองหน้าแล้วแต่เกม ถ้ามองในภาพธุรกิจกองหน้าวันนี้อาจจะเป็นฟุตยอลลาลีกา สเปน กับดาวเทียม ก็จะเปรียบอย่างนี้ บางเกมต้องบุก ก็จะจัดกองหน้าอีกแบบหนึ่ง บางสถานการณ์ต้องรับก็จัดอีกแบบหนึ่ง 
  

บางเกมผู้จัดการต้องลงไปเล่นเอง บางธุรกิจที่เริ่มใหม่ อย่างธุกิจดาวเทียม ผมก็ลงมาดูเอง ไม่ใช่ซีอีโอที่มาวางนโยบาย บางเรื่องเราลงมาประชุมกับทีมเองบ่อยๆ มันก็เหมือนฟุตบอล บางทีม หรือบางสถานการณ์ผู้จัดการทีม ที่ยังหนุ่มยังแน่นก็ลงมาเล่นเองเป็นมิดฟิล ภาษาบอลเขาเรียนเป็นมิดฟิลด์ หรือคนบัญชาเกม คอยอยู่ตรงกลางสนาม จะโยนลูกบอลให้ใคร จะส่งให้ใคร
  

มันเป็นกลยุทธ์ที่เปรียบเทียบแล้วมันสนุก (หัวเราะ) บริหารธุรกิจ ถ้าบริหารเป็นมันก็สนุก อย่าไปเครียด คือความเครียดมันมีอยู่แล้ว ถ้าเรามองธุรกิจว่ามันเครียด มันก็เครียด คุณจะทำธุรกิจหมื่นล้าน พันล้าน หรือเปิดร้านเล็กๆ ก็เครียด ถ้าเรามองว่าเราทำธุรกิจ ทำมันด้วยความสนุก ปัญหาที่เจอเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราแก้ แล้วผ่านไป มองอย่างนี้ความเครียดจะลดลง บางทีก็เจอเกมง่าย เหมือนฟุตบอลบางทีเจอทีมง่ายเกินไป มันก็ไม่สนุก ไม่ท้าทาย ชีวิตบางทีมันต้องมีอะไรท้าทายบ้าง"
เห็นชอบกีฬาฟุตบอลขนาดหนี้ พอถามว่าเป็นแฟนทีมไหน เขาตอบว่าทีมเดียวในดวงใจคือทีมทีมสิงโตคราม “เชลซี” เป็นทีมที่ชื่นชอบมานานเกือบ 20 ปีแล้ว "ผมชอบเชลซีมาประมาณเกือบๆ 20 ปีแล้ว ตอนนั้นที่ประทับใจเพราะบังเอิญเราดูบอลอังกฤษ แล้วบอลอังกฤษส่วนใหญ่มันจะโยนแล้ววิ่ง นี่คือสไตล์บอลอังกฤษ แต่บอลอเมริกา หรือบอลลาตินจะเล่นบนพื้น เชลซีรู้สึกจะเป็นบอลอังกฤษเพียงไม่กี่ทีมที่เล่นผสมโยนด้วยแล้วเล่นบนพื้นด้วย ผมก็เลยชอบทีมนี้ สไตล์เขาเล่นสนุก เวลาเชียร์ทีมอื่นก็เฉยๆ แต่เมื่อไหร่ที่ทีมนี้เล่นเราจะชอบ เพราะว่ามันไม่น่าเบื่อ
  

ผมเชียร์เชลซีมาตั้งแต่เชลซียังเป็นระดับกลางๆ ตาราง ยังไม่ดังแบบปัจจุบัน แต่ถามว่า ณ วันนี้ ชอบเชลซีเพราะอะไร ผมว่าเชลซีเป็นทีมที่เหมือนกับลงตัวแล้ว สร้างมาจนแข็งแรง เชื่อว่าจะเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ ในระดับท็อปไฟว์ของอังกฤษไปอย่างนี้อีกนาน"
 

อยากฝากถึงคนดูบอลแล้วต้องเล่นพนันบอลว่าคนดูบอลเป็น ไม่เล่นพนันก็ดูสนุกได้ "อันนี้พูดแบบตรงๆ เพราะเราก็ผ่านทุกอย่างมา เข้าใจว่าดูบอลต้องเล่นพนันบอลถึงจะสนุก ต้องบอกอย่างนี้ ดูบอลเนี่ยสนุกอยู่แล้ว ไม่ต้องมีพนันขันต่อก็สนุก แต่ถามว่าถ้ามีแล้วมันเพิ่มความสนุกไหม ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วน แต่ผมว่าเล่นพอกล้อมแกล้ม เช่น เลี้ยงข้าวกัน เล่นพอตามกระเป๋าตัวเองเพื่อให้สนุกสนานกับเพื่อนฝูง เราห้ามไม่ได้ก็ไม่ว่ากัน สำคัญคือให้เหมาะสมและประมาณตัวเองได้ แต่ก็ฝากเอาไว้ว่าคนเล่นบอลไม่มีทางชนะ สุดท้ายแล้วเจ้ามือชนะหมด"

มีสติ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
เขาเล่าต่อถึงแนวคิดในการทำธุรกิจขนาดใหญ่ พร้อมทั้งยกตัวอย่างผลกระทบต่อธุรกิจจากเหตุการณ์วิกฤตน้ำท่วมที่ผ่านมาด้วยมุมมองแบบคิดบวก "การทำธุรกิจเปรียบเหมือนเรือล่องทะเล ตราบใดที่เรือยังล่องอยู่ในทะเล แม้คลื่นลมจะสงบอย่าวางใจ มันอาจจะเกิดพายุได้ตลอดเวลา เราก็ต้องมีความพร้อมระมัดระวังตลอดเวลาว่ามันอาจจะเกิดเหตุการณ์ ซึ่งมันอาจจะไม่ได้มาจากเราเลย มาจากภายนอกก็ได้ 
 

ทุกครั้งที่มีวิกฤต ถ้าเรามีสติ มีวิธีคิด ควบคุมความคิดได้ จัดการได้ดี บางทีนอกจากเราจะผ่าวิกฤตไปได้แล้วเนี่ย เราอาจจะได้อะไรดีๆ เรียกว่ามันก็เป็นโอกาสในวิกฤตนั้นๆ ในอดีตที่ผ่านมาเราก็เคยเจอวิกฤตหลายต่อหลายครั้ง ทั้งเรื่องธุรกิจเพลง การปรับโครงสร้าง อย่างน้ำท่วมที่เห็นๆ คือเสียหายก่อน ในเชิงธุรกิจนี่เสียหายเยอะแยะมากมายไปหมด ยังต้องมาเสียเงินในเรื่องของการซ่อมแซม ในขณะที่บริษัทก็ขาดทุน เจอเรื่องน้ำท่วมก็ต้องใช้เงินก้อนเพื่อดูแลพนักงาน ถามว่านี่เป็นการเสียหรือได้ ผมว่าการเสียเงินก้อนใหญ่ เพื่อไปดูแลพนักงานนั่นเรียกว่าได้ ไม่ใช่เสีย เพราะเราได้อะไรกลับมาจากพนักงานเยอะ และมันก็ทำให้เราผ่านเหตุการณ์นั้นไปเพื่อที่จะได้แข็งแรงขึ้นในวันข้างหน้า เราต้องคิดอย่างนี้"

ความสุขอยู่รอบตัว
สังเกตจากวิธีคิด และมุมมองในการใช้ชีวิตของเฮียฮ้อจะเป็นไปในแนวทางของการคิดบวกซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเขายอมรับว่าวิธีคิดแบบนี้เป็นมาตั้งนานแล้ว และมาจากตัวตนของเขาจริงๆ
 

"วิธีคิดของผมไม่ได้เจตนาว่าจะต้องเอาหลักธรรมะมาใช้ แต่ว่าวิธีคิดอย่างนี้มันไปตรงเอง จริงๆ ธรรมะกับวิธีในการดำเนินชีวิตมันก็ถูกปลูกฝังมา เกิดมาพร้อมๆ กัน หลักการของเราคือทำอะไรด้วยความซื่อสัตย์ ขยันอดทน ศึกษาใฝ่รู้ อยู่ตลอดเวลา สำคัญที่สุดคือต้องคิดบวก 
 

ผมเป็นคนไม่คิดลบ เคยสงสัยเหมือนกันคิดลบมันคิดยังไง ผมว่าคนคิดลบเขาไม่ต้องเจอปัญหาหรอก เขาเจอเรื่องดีๆ ในชีวิตก็จะกลายเป็นเรื่องไม่ดี คนที่คิดลบแสดงว่ามองโลกทุกอย่างแย่ไปหมด มองรอบตัว มองตัวเอง คนพวกนี้จะไม่เคารพตัวเอง ผมว่าวิธีที่ง่ายที่สุดถ้าเรารักตัวเอง เราเคารพตัวเอง นั่นคือจุดตั้งต้นของการมองโลกในแง่บวก
 

อีกอย่างคือชีวิตคือการเรียนรู้ ผมเป็นคนเรียนรู้ตลอดเวลา การเรียนรู้มันไม่ยากเลย แค่เปิดตัวเอง เปิดใจ เปิดสมอง เราก็สามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ ตลอดเวลา ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าทุกอย่างรอบตัวเป็นการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ความรู้มันได้อยู่ในหนังสือย่างเดียว หรือต้องไปเรียนอย่างเดียว การพูดคุยกับใครสักคนหนึ่ง แม้กระทั่งคุยกับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ผมชอบคุยกับลูกบ่อย ๆ ก็จะได้ความรู้ เราต้องยอมรับว่าบางแง่มุมของโลก บางเรื่องเด็กรู้ดีกว่าผู้ใหญ่ ไวกว่าเรา แต่เราอาจจะดีกว่าตรงที่วิเคราะห์ได้ดีกว่า เราเทรนด์อยู่ตลอด (ยิ้ม) เราได้เปรียบตรงที่เราผ่านมาเยอะ เรามีประสบการณ์เยอะ"
 

"วิธีหาความสุของผมก็มีหลายแบบ อ่านหนังสือก็ชอบอ่าน คุยกับเด็กก็ชอบคุย คุยกับคน ดูทีวีก็จะมองในมุมอื่นว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในโลก ดูอินเทอร์เน็ตก็เป็นการหาความรู้ พยายามมองในมุมที่แตกต่าง การที่เรามีพยายามมองหาสิ่งต่างๆ รอบตัว ถ้าเราไม่สามารถมองมุมแตกต่างจากคนอื่นได้ เราก็ไม่สามารถเอามันมาเป็นประโยชน์ในการทำธุรกิจได้
 

ผมไม่ใช่คนที่ทำงานหนักๆ เก็บมันไว้จนเครียด เป็นปี เป็นเดือน ถึงเวลาแล้วไปเที่ยวยาวๆ คนที่ทำอย่างนั้นหมายความว่าช่วงเวลาทำงาน เขาไม่วางเลย แต่ผมวาง ผมจะทำงานไปชาร์ตไป วิธีชาร์ตแบตของผมก็ไม่จำเป็นต้องไปต่างประเทศหรือไปเที่ยว แต่อยู่บ้าน อยู่กับครอบครัว สำคัญที่สุดคือเราตัดงานได้หรือเปล่า ถ้าตัดงานออกจากตัวได้เพียงแค่เวลาสัก 1 ชั่วโมง ช่วงเวลานั้นที่เราไม่คิดเรื่องอะไรเลย มันก็สามารถดึงความสดชื่น ดึงความกระตือรือร้นกลับมาที่ตัวเองได้แล้ว" 
 

เครียดได้ แต่ไม่แบกปัญหาเอาไว้ ปล่อยวาง และคิดหาวิธีแก้ไขเป็นอีกหนึ่งวิธีคิดที่ทำให้มีความสุขในการทำงานได้ "ถามว่าเครียดไหม ไม่เครียดไม่ได้ (หัวเราะ) เครียดแต่ไม่ได้แบกมัน ตื่นเช้ามาพอเข้าออฟฟิศมันก็เอาล่ะ เจอปัญหา วุ่นกับเรื่องงาน มันก็จะเครียดทั้งวัน พอเลิกงานกลับบ้าน ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง ผมก็จะเปลี่ยนแล้ว มันก็จะเริ่มผ่อน ก็จะสบายๆ แล้ว ผมก็จะดูทีวี ดูบันเทิงเพราะติดตาม ไม่ได้ดูเพราะสนุก ดูละครก็ไม่ได้ดูเป็นจริงเป็นจัง ไม่ได้ติด ดูรายการทีวี ก็จะแตะๆ ไปเรื่อยๆ ดูเพื่อได้รู้ว่าเขาเป็นไปอย่างไรแล้ว มันเปลี่ยนไปอย่างไรแล้ว แต่ที่ดูแล้วมีความสุขก็จะดูกีฬา ดูฟุตบอล ดูกอล์ฟ จะแช่ ไว้เลย"

"ทวิตเตอร์" พื้นที่แสดงความคิดเห็น
ทวิตเตอร์ พื้นที่แสดงความคิดเห็นบนสังคมออนไลน์ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ซึ่งเฮียฮ้อใช้ชื่อ@HereHorRS เป็นสื่อในการพูดคุย และติดต่อกับแฟนคลับที่ติดตามผลงานของอารเอส
 

"ผมก็จะไม่ใช้ทวิตเตอร์ในลักษณะของการโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์จริงจัง แต่เป็นเรื่องของ ผมคิดอะไร อยากพูดอะไร ก็พูด เราเจอสิ่งไหนรู้สึกกับมันอย่างไร ก็แสดงออกผ่านไป เหมือนพูดให้คนที่ติดตามเราในสังคมโซเชียลมีเดียที่เป็นเพื่อนเราเห็น แต่เรื่องพวกนี้ก็ต้องระวัง ก็มีเรื่องที่เป็นข้อห้าม ผมจะไม่พูดเรื่องการเมือง ไม่ใช่เราไม่มีมุมมอง มี แต่ไม่แสดงความเห็นเรื่องนี้ เพราะว่าเรื่องการเมืองผมว่าไม่มีถูกไม่มีผิด กับเรื่องศาสนา เป็นสองเรื่องที่จะไม่แสดงความเห็น เพราะเรื่องแบบนี้เราอาจจะเชื่ออย่างหนึ่ง ในขณะคนอื่นอาจจะชอบอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเรื่องพวกนี้เราก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง
 

ทวิตเตอร์ในมุมของผมคือ มันเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดสิ่งที่เราเห็น และเราอยากแสดงความรู้สึกกับสิ่งนั้น หรือสิ่งที่เราคิด เราอยากแสดงความคิดเห็นในสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นมากกว่า เรื่องงาน เรื่องชีวิต เรื่องสังคมรอบข้าง บางเรื่องที่เราเห็นแล้วรู้สึกว่า เอ๊ะ! มันไม่เข้าท่า เราก็พูดไป ส่วนใหญ่จะชอบพูดเรื่องวิธีคิด เช่น วิธีคิดในการทำธุรกิจ วิธีคิดในการทำการตลาด คนที่ตามเราก็แล้วแต่คน บางคนก็อาจจะเอาไปใช้ประโยชน์ต่อได้ บางคนก็ก็เอาไปคิดต่อได้ เราก็คิดว่าประสบการณ์ และมุมมอง บางเรื่องอาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่เอาไปคิดต่อ และนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้"

“สตีฟ จ๊อบส์” ไอดอลและหนังสือในดวงใจ
หนังสือที่นักอ่านตัวยงอย่างเฮียฮ้อชื่นชอบมากคือหนังสือชีวประวัติ สตีฟ จ๊อบส์ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มหนาที่เขาอ่านถึง 2 รอบ และได้แรงบันดาลใจดีๆ จากหนังสือเล่มนี้ และอยากบอกต่อให้คนอ่าน

“ชอบอ่านหนังสือประเภทประวัติบุคคลที่ประสบความสำเร็จจากทั่วโลก เรื่องกลยุทธ์ ใหม่ๆ ในการบริหารธุกิจ หลักบริหารธุรกิจ หนังสือทุกเล่มมีประโยชน์ และนำมาปรับใช้กับชีวิตได้หมด หนังสือที่นำมาปรับใช้ในการทำงานก็เยอะ แต่มันไม่ได้บอกว่าเราได้มาจากเล่มนั้น หรือเล่มนี้ การอ่านหนังสือมันคือประสบการณ์อย่างหนึ่ง เราอ่านหนังสือเยอะๆ เนี่ย สุดท้ายมันเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยบางทีเราไม่รู้ตัว แล้วมันก็จะหล่อหลอมเรา บางทีเราก็จะหยิบมาใช้ได้โดยไม่รู้ตัว

ล่าสุดก็ชอบหนังสือประวัติของสตีฟ จ๊อบส์ ที่ดังๆ เล่มหนาๆ เนี่ยครับ อ่าน 7 วันก็จบ สตีฟ จ๊อบส์เป็นไอดอลที่เราชอบคนหนึ่ง อ่านหนังสือเล่มนี้ถามว่าได้อะไร ได้เยอะมาก แล้วเจอใครก็จะแนะนำให้อ่าน เจอลูกน้องก็ถามว่าอ่านหรือยัง ยังไม่อ่าน ไปซื้อมาอ่านซะ ผมจะบอกเขาว่านี่เป็นหนังสือเล่มเดียวในรอบ 10 ปี ที่ผมอ่านแล้ววางไม่ลง นี่โปรโมทหนังสือให้ฟรีเลย (หัวเราะ)

ในมุมนักธุรกิจ หนังสือเล่มนี้ให้วิธีคิด ให้กลยุทธ์ ให้หลายอย่างมาก กับคนทำธุรกิจ แต่ว่าก็ต้องรู้จักเอามาใช้ เพราะว่าวิธีคิด วิธีการทำงานของสตีฟ จ๊อบส์ไม่ใช่ถูกต้องทั้งหมด วิธีบริหารของเขาหลายๆ เรื่องก็สุดโต่ง ผมอ่าน 2 รอบนะ สนุกมาก เจอใครก็เชียร์ ซื้อ 2 เล่ม เล่มหนึ่งปกแข็ง ไม่อ่าน เก็บเอาไว้เลย ซีลอย่างดี อีกเล่มปกอ่อนอ่าน 2 รอบ อ่านจนเยิน"

ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์

ภาพโดย พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร








รีแลกซด้วยการเล่นกอล์ฟ
หนังสือเล่มโปรด
กำลังโหลดความคิดเห็น