xs
xsm
sm
md
lg

“ซุปเปอร์คาร์” สุดยอดรถในฝันของ “รัตนชัย ผาตินาวิน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 

Porsche, Ferrari, Lamborghini สุดยอดรถ Super car ในฝันของใครหลายคนที่อยากจะสัมผัสความเร็วและความแรงสักครั้งหนึ่งในชีวิต เชื่อเลยว่าลูกผู้ชายเกินครึ่งต่างหลงใหลที่จะได้ทะยานแรงม้าไปกับรถหรูราคาแพงคันนี้ เช่นเดียวกับ รัตนชัย ผาตินาวิน นักบริหารผู้รักรถเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยความที่เป็นคนชอบความหรูหราใน Design ที่สุดสวยของ Super car จึงตัดสินใจซื้อรถในฝันเหล่านี้ที่คิดว่าลงตัวและเหมาะสมกับตัวเองที่สุด แถมยังเคยฝากลีลาแชมเปียนส์ในสนามแข่ง Porsche World Roadshow มาแล้ว

แชมป์ Porsche World Roadshow
อย่าเพิ่งตกใจที่คุณรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ขอเปลี่ยนบทบาทชั่วคราว จากนักบริหารหันมาลงสนามแข่งรถ Super car แถมยังคว้าอันดับ 1 Porsche World Roadshow รับถ้วยมาครอบครองได้อย่างสมใจนึก โชว์ฝีมือและฝีเท้าอันร้ายกาจ ถ้าไม่เป็นผู้บริหารเสียก่อนนักแข่ง Super car Thailand อาจต้องยอมศิโรราบให้เลยก็ว่าได้

“Porsche World Roadshow นานๆ 3 ปีจะมาเมืองไทยครั้งหนึ่ง และไปที่สนามแข่งพีระเซอร์กิต ทาง Porsche ก็เชิญผู้สนใจทั้งลูกค้าใหม่และเก่า เขาให้ไปดูนวัตกรรมใหม่ๆ และทดสอบรถ ทั้งยังขับออกถนนจากสนามพีระเซอร์กิตไปเมืองระยอง มีการขับวิบาก (Off Road) และขับแข่งในสนามจริง”

“ส่วนผมก็ชอบขับรถแรงๆ อยู่แล้ว เราก็ศึกษาวิธีการขับ ศึกษา Line ดูว่าจุดไหนเป็นจุดที่จะต้องเข้าโค้ง จะเข้ายังไง ดู line ถ้าเข้าโค้งซ้ายเราต้องชิดขวาก่อนให้รถเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงที่สุดโดยไม่เสียการทรงตัว มีจังหวะในการเปลี่ยนเกียร์ เราก็เรียนรู้มาระดับหนึ่ง ต้องทำระยะทางให้สั้นที่สุดจึงจะเสียเวลาน้อยที่สุด และผมก็เข้าที่ 1 เลย ตอนประกาศผล มีรางวัลหนึ่งก่อนผม เขาประกาศรางวัลนี้เป็นรางวัลผู้ที่ขับปลอดภัยที่สุดคือคนที่เข้าเส้นชัยเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเขาใช้เวลาห่างจากที่ผมชนะอีกเท่าหนึ่งเลย” คุณรัตน์เท้าความให้ฟังอย่างอารมณ์ดีพลอยให้คนฟังหัวเราะตาม

แม้คุณรัตน์จะขอออกตัวก่อนเลยว่าไม่ได้ไปแข่ง Super car Thailand อะไรอย่างนั้น แต่พอลงสนามแข่งครั้งแรกก็ได้ฝากรอยล้อให้เป็นที่จดจำไปเรียบร้อยแล้ว ในฐานะผู้บริหารที่ชอบรถ ชอบความเร็ว และชอบอาการดิบๆ ของรถ Super car

“ส่วน Ferrari เคยเอาไป Exercise ในสนามแข่งเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยลองแข่งกับใครแบบเอาเป็นเอาตาย แค่เหมือนกับว่าเราเอารถไปเข้าฟิตเนส ไปออกกำลังเครื่องยนต์ และเพิ่มทักษะการขับขี่ให้คุ้นเคยมากขึ้นเท่านั้นเอง”

สำหรับคนที่อยากลองขับท้าความเร็วและแรงของรถ Super car ผู้บริหารมากความสามารถมีคำชี้แนะก่อนลงสนามแข่งมาฝาก คืออย่างแรกต้องไปศึกษาเรื่องรถ ทั้งต้องเรียนรู้เรื่องการขับรถ Super car ถึงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักและก็ไม่ได้ยากอะไรมากมาย

เปิดซิง Porsche คันแรก
กว่าจะมาลงสนามแข่งได้ ไม่ใช่เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองชอบรถในวันสองวันก่อนหน้านี้ อาการรักและใฝ่ฝันรถหรู ราคาแพง ระดับ Super car ของเขา ได้ติดตัวมาตั้งแต่สมัยยังเด็กซึ่งมีความรักและชื่นชอบรถเป็นทุนเดิม

“ผมชอบรถเป็นชีวิตจิตใจ คือพ่อแม่ผมทำธุรกิจค้าส่งเวชภัณฑ์ ในช่วงนั้นตอนปี 2516 ที่บ้านผมมีรถ 11 คัน และ ตอนอายุ 11 ผมเริ่มหัดขับรถ ในวันหยุดมีหน้าที่ช่วยล้างรถ คอยเลื่อนรถ และตอนนั้นอาผมเขาเป็นสมาชิกหนังสือรถของต่างประเทศ พอเราได้อ่านก็รู้สึกชอบ และใฝ่ฝันว่าในชีวิตจะต้องซื้อพวกนี้ Porsche, Ferrari, Lamborghini ให้ได้สักคัน ถ้าเอาได้จริงๆ อยากได้ทั้ง 3 ยี่ห้อเลย แต่ขอให้มีบุญได้สักยี่ห้อหนึ่งก่อน เพราะมันแพงมาก ได้สักคันหนึ่งคงเป็นบุญแล้ว” นั่นเป็นความคิดและความฝันในสมัยเด็ก

จากความฝันที่ต้องจับจอง Super car สักคันหนึ่งให้ได้ จนมาถึงตอนนี้ความฝันก็เป็นจริง สามารถหยิบสอยรถหรูคันงามมาเป็นของตัวเอง เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เมื่อมีโอกาสเขาจึงถอย Porsche รถ Super car ราคากว่า 10 ล้านบาทคันแรกในชีวิตมาได้สมความตั้งใจ และนับจากนาทีนี้ไปเราจะได้ฟังคำย้ำชัดๆ จากเจ้าของรถว่า “ถ้าได้ลอง Super car แล้วจะลืม Sport Sedan ไปเลย”

“ย้อนไปเมื่อเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา ผมซื้อ Porsche ในราคา 10 กว่าล้านบาท ตอนนั้นตัดสินใจนานพอสมควร จะเอา...ไม่เอา หรือซื้อ Sport Sedan 4 ล้านกว่าก็พอ? ตอนนั้นในใจก็เป็น Porsche อย่างเดียวเลย แต่พอมาดูตัวเงิน เป็นครั้งแรกที่เราจะใช้เงินมากขนาดนั้นซื้อรถสักคัน จึงคิดว่าหรือจะเอารถสปอร์ตดีนะ สุดท้ายหลังจากที่ผมตัดสินใจอยู่นานหลายเดือน จึงตัดสินใจซื้อ Porsche และถ้าใครลองมานั่งลองมาขับจะลืม Sport Sedan ไปเลย

“ทุกวันนี้ใช้ไปเพียง 4,000 กว่ากิโลเมตรเอง ไม่ค่อยได้มีเวลาขับ ได้ขับอาทิตย์ละครั้ง รถมันค่อนข้างแรง ถ้าไม่ได้เรียนขับรถพวกนี้มาก่อนจะค่อนข้างอันตราย แต่รุ่นหลังๆ เขาก็พัฒนาปรับปรุงให้มันใช้ง่าย ไม่พยศมากนัก มีระบบอิเล็กทรอนิกส์อะไรหลายๆ อย่าง ช่วยการทรงตัวเคยกลับรถเลี้ยว 90 องศา จากถนนใหญ่เข้าซอย ถ้าซอยใหญ่แล้วรถโล่งหน่อยผมก็จะ drift รถเข้าไปเลย แล้วรถมันเซตให้ drift ได้ง่าย แต่เซตรถแบบเนี่ย ทำให้ขับยากมาก” ถ้าใครเห็นรอยล้อจากการ drift บริเวณถนนเพลินจิตก็ไม่ต้องแปลกใจ ซึ่งเจ้าของรถยอมรับว่าเป็นฝีมือของผมเอง (หัวเราะร่วน)

บางครั้งก็ขับแบบปิดระบบควบคุม การปิดระบบควบคุมของรถ Super car ทำให้ได้กลิ่นอายดิบๆ ของแท้ แต่ขับยาก คุมยากและพยศเหมือนรถ Super car สมัยก่อน ซึ่งเป็นการแสดงสมรรถนะความเร็วและความแรงที่แตกต่างจากรถธรรมดาทั่วไป คนรัก Porsche อย่างคุณรัตน์จึงชอบอาการดิบๆ ของรถ Super car ในแบบที่ว่า “หลงใหล” เลยทีเดียว

เสริมทัพด้วย Ferrari คู่ใจ
หลังจากซื้อรถ Porsche มาได้ระยะหนึ่ง เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เขาก็ตามความฝันชิ้นใหม่ ด้วยการจับจองรถ Ferrari รุ่น F430 เพิ่มมาอีกคันหนึ่ง ในราคาที่ทำให้คนฟังตาโตโดยไม่ต้องใส่คอนแทกต์เลนส์ นั่นคือ 19.5 ล้านบาท ซื้อเพราะชอบ Design ที่สุดสวยสุดจะลงตัว เครื่องยนต์และระบบเกียร์ได้พัฒนาใหม่แล้ว สมรรถนะสูง เรียกว่าเกือบดีที่สุด ณ ขณะนั้น ตอนนี้หลายคนอาจสงสัยแล้วว่าเจ้าของรถหรูจะเอาเวลาที่ไหนมาขับได้จริงจัง จึงต้องตอบให้เคลียร์กันไปเลยว่า “ขับอาทิตย์ละครั้งสองครั้งก็มีความสุขแล้ว”

“ด้วยความที่ Ferrari ตั้งใจทำมาเพื่อเป็นรถแข่งอยู่แล้ว ขับบนถนนเหมือนกับรถแข่งดีๆ นี่เอง ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก เนื่องจากเป็นคนเท้าหนักและชอบปิดระบบควบคุมการทรงตัว เผลอไม่ได้รถมันดิ้น จะพยศ เวลาวิ่งอยู่บนถนน บ่อยครั้งจะไม่ขับซ้ายหรือขวาสุด เลือกขับเลนกลาง เผื่อพยศ เราไม่ได้เอาความเร็วสูงสุดแต่สนุกกับอัตราเร่ง Ferrari คันนี้มีความเร็วสูงสุด 320 กม./ชม. กำลังแรงม้าสูงถึง 500 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 ใช้เวลาเพียง 3.9 วินาที แรงมากๆ เลย นับง่ายๆ นะ 1..2..3..ยังไม่ทันนับ 4 เลยมันถึง 100 แล้ว หลายคนนั่งก็ตาเหลือก หลังติดเบาะ มันแรงและขับมันส์มาก” เจ้าของรถฉายภาพให้ฟังได้อย่างชัดเจน

“Ferrari มี 5 โหมด อันแรก Race คือโหมดแข่ง นานๆ ผมเปิดที สอง Sport Mode คือโหมดควบคุม เป็นการใช้ระบบควบคุมแค่ครึ่งเดียว เพราะฉะนั้นคือกึ่งดิบกึ่งคุม แต่ผมชอบปิดระบบควบคุม” คือปิดระบบ CST ซึ่งรถจะตัดการทำงานของระบบ electronics ในการควบคุมการทรงตัวต่างๆ ทั้งหมด และคนขับต้องควบคุมรถด้วยฝีมือตัวเองล้วนๆ อื่นๆ ก็ โหมดการขับบนหิมะ เป็นต้น

“ผมไม่ต้องการใช้ความเร็วสูงสุด แต่ชอบอัตราเร่งที่สั่งได้ มันได้ feeling พอเหยียบปุ๊บ มันขึ้นเลยเพราะแรงม้ามันเยอะ และแรงบิดก็สูง ทุกจังหวะที่กระทืบจึงน่าตื่นเต้น แต่ผมสนุกกับอาการของรถ ช่วงล่างของรถที่รู้สัมผัสเลยว่ามันส่งผ่านมาถึงพวงมาลัย มีความรู้สึกถึงยางรถที่แตะอยู่กับพื้นถนนเหมือนเท้าที่เราสัมผัสพื้นอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญมันขับเคลื่อน 2 ล้อด้วย ถ้ารถแรงแล้วขับเคลื่อน 2 ล้อ คนขับต้องมีสมาธิตลอดเวลา”

จะเห็นว่า Ferrari จะออกแนวดิบๆ ประกอบด้วยเสียงเครื่องยนต์ราวกับคำรามแข่งอยู่ตลอด แสดงถึงพละกำลัง ขณะที่ Porsche จะเป็นรถผู้ดีนิดนึง มีเสียงเครื่องยนต์เรียบนิ่งกว่า ซึ่งทั้งสองคันนี้เป็นรถสุดรักที่คุณรัตน์ไม่เคยคิดขาย มีแต่จะซื้อเพิ่ม มาดูกันต่อไปว่ารถราคาแพงในใจเขาคันต่อไปคืออะไร

เล็ง Lamborghini ความฝันคันใหม่
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา หลังจากคุณรัตน์ ได้มีโอกาสลองขับรถรุ่นใหม่ Lamborghini Aventador ที่สนามแข่ง Formula 1 เซปัง เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย โดยการเชิญชวนของคุณเสรี รักษ์วิทย์ เจ้าของบริษัท นิชคาร์ ผู้นำเข้า Lamborghini ก็เกิดหลงรักเข้าทันที ถึงแม้จะมีราคาแพงลิบลิ่ว แต่ไม่สามารถหยุดความฝันของเขาได้ และเชื่อเลยว่ารถ Super car รุ่นนี้ ตอนนี้อาจเข้าไปอยู่ในฝันของใครหลายคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ผมคิดว่าจะซื้อ Lamborghini ตัดสินใจว่าจะซื้อหลังจากที่ไปลองขับมา เขาตั้งราคา Lamborghini Aventador ตัวใหม่นี้ สวยจริง แรงจริง ราคาอยู่ที่ 36.5 ล้านบาท (ตาลุก) ที่ผ่านมาผมเสียหุ้นเยอะมากจากภาวะน้ำท่วม เซ็งเลย ทำให้ผมเสีย Lamborghini Aventador คิดเป็นเงินก็หลายคัน สัก 3-4 คันเลย(หัวเราะ) เครียดเรื่องขาดทุนหุ้น ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ขึ้น” ช่างพูดให้กำลังใจตัวเอง จึงชวนให้คนฟังหัวเราะตามไปด้วย แม้ว่าในวันที่ให้สัมภาษณ์นั้น (พฤศจิกายน 2554)หุ้นเพิ่งตกหนักๆได้ไม่นานนัก

เมื่อพูดจบก็คว้ามือถือที่บันทึกรูปกับพริตตี้ หน้าตาจิ้มลิ้มกลมๆ ในงานเซปังขึ้นมาโชว์ ทั้งพูดสนุกๆ ให้ขำอีกว่า “หมวยซาลาเปา” แซวพริตตี้นอกเสียอย่างนั้น แล้ววนกลับมาเล่าเรื่องรถในฝันต่ออีกครั้ง “Lamborghini Aventador เป็นรุ่นใหม่กว่าและแรงกว่ามาก อัตราเร่งจาก 0-100 ภายใน 2.9 วินาที คันนี้นอกจากตาเหลือกแล้ว ผมตั้งด้วย (หัวเราะร่า) ปกติขนาดผมขับก็เร็วมากแล้วนะ แต่ Instructor ฝรั่งขับให้ผมนั่งในรอบแรกเพื่อให้คุ้นกับรถและสนาม ตอนออกตัวครั้งแรกนี่ ผมสะดุ้งเลย นับง่ายๆ 1..2 ยังไม่ทัน 3 เลย ถึง 100 แล้ว ตาเหลือกจริงๆ นะเนี่ย” (ชวนนับอีก)

“เขาขับให้ผมนั่งในสนามเซปัง พอลงมาปั๊บ ผมเวียนหัวนิดหน่อย บางคนจะอาเจียนเลย เพราะเข้าโค้งแรงมาก บรื้น...เข้าโค้งทันที อยู่อย่างนี้หลายโค้งจนครบรอบ ตัวเราโดนเหวี่ยง โดนกระชาก ทำให้เวียนหัวจะอาเจียนได้ ยอมรับเลยว่ารถมันแรงจริงๆ”

คราวนี้แหละไม่ใช่เป็นแค่สัปดาห์หนึ่งขับ Porsche หนึ่งวัน Ferrari หนึ่งวัน แต่จะมีเพิ่ม Lamborghini อีกหนึ่งวัน ซึ่งเจ้าของในอนาคตบอกว่า “นี่แหละรถคันใหม่ของผม Lamborghini Aventador แต่ตอนนี้ผมขอเก็บตังค์ก่อนนะ หรือรอหุ้นขึ้นก่อน (ฮาๆ)”

Work hard & Play hard
รู้แล้วว่าคุณรัตน์ทุ่มเทให้แก่รถในฝันแค่ไหน แต่ในเส้นทางชีวิตของนักบริหารธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เขาก็ทุ่มสุดตัวไม่แพ้กัน ตามแบบฉบับการใช้ชีวิตทุกนาทีให้คุ้มค่า work hard & play hard

“เบื้องต้นคนเขามองผมเป็นเด็กเรียนเรียบร้อย แต่จริงๆ ผมมีทั้งสองด้าน work hard และ play hard คือทำอะไรผมก็ทำแบบมุ่งมั่นเกิน 100% จริงๆ เลย ทำงานก็หามรุ่งหามค่ำ ตอนเที่ยวกับเพื่อนสนิทก็เที่ยวกันถึงเช้า แล้วเข้าบ้านแต่งตัวมาทำงานใหม่ สมัยแรกดื่มเหล้าไม่ค่อยเป็น แต่ตอนหลังดื่มได้คนละขวด พอเล่นก็เต็มที่เลย ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่นกีฬา ตอนเรียนอยู่ที่อัสสัมชัญ คอมเมิร์ซ ผมก็เป็นนักกีฬาโรงเรียนทั้งเล่นฟุตบอล เทนนิส และเป็นนักกรีฑา”

และเมื่อเข้าเรียนที่ ABAC ขณะเรียนเขาได้ช่วยงานทางบ้านไปด้วย เพราะช่วงหลังนั้นครอบครัวหันมาทำธุรกิจส่งออก ทำให้ได้ประสบการณ์และความรู้ตั้งแต่อายุ 20 ปี ตลอด 3 ปีที่ทำงานกับพ่อแม่จึงได้ประสบการณ์ที่มีค่ามากมาย

“ตอนเข้าไปเรียนเทอมแรกได้ 3.2 ถ้าได้ 3.25 จะได้เกียรตินิยม พอตอนเรียนจบได้เกรดแค่ 2.3 ตัวเลขมันสลับกันเลยจำได้แม่น (หัวเราะ) วิชาไหนสำคัญก็เข้าเรียน ผมเอาเวลาไปช่วยงานพ่อแม่ทำธุรกิจส่งออก แต่คนอื่นเรียนอย่างเดียว แต่เราเรียนด้วยทำงานด้วย เรียนแค่ 40% ทำงาน 60% ก็เลยได้เรียนรู้ก่อนคนอื่นได้ประสบการณ์จากตรงนี้เยอะมาก เพราะเราทำเองทุกอย่าง บัญชีเราก็ดู ยื่นสรรพากรก็ไปยื่นเอง ทำเอกสาร Shipping เอง ติดต่อลูกค้าต่างประเทศเอง ขยายตลาดเอง ติดต่อธนาคารเอง ผมทำด้วยตัวเองทั้งหมด”

จนมาวันหนึ่งเขาตัดสินใจเดินตามความฝันของตัวเอง ด้วยการออกมาทำงานนอกบ้านที่ไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัว แม้ว่าจะได้เงินเดือนน้อยกว่าที่พ่อแม่เคยให้ก็ตาม แต่แล้วเขาก็ประสบความสำเร็จ โดยทำยอดขายให้แก่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ได้มากถึง 3,000 กว่าล้านบาท

“ตอนนั้นผมคุมมาร์เกตติ้งกับการขายทั้งหมด ในปี 2532 บริษัทมียอดขายถึง 3,000 กว่าล้าน ขณะที่เรามีอายุ 20 กว่าๆ ผู้ใหญ่เขาไม่คิดว่าจะทำได้ จึงได้รับการขึ้นเงินเดือนภายในปีเดียวถึง 4 ครั้ง จากที่เราทุ่มเทในเรื่องงานมากๆ หลายๆ อย่างที่ดีจึงเข้ามา ทั้งโชค ทั้งจังหวะ โอกาสทุกอย่างเข้ามา มีความก้าวหน้าในการทำงานตลอดมา เมื่อ 18 ปีที่แล้ว ผมมีเงินเดือน 180,000 บาท และรถประจำตำแหน่งมูลค่า 1.8 ล้านบาท เป็นผู้บริหารระดับสูงในสมัยนั้นเลย เพื่อนฝูงฮือฮามาก เพราะเพื่อนๆ มีเงินเดือนโดยเฉลี่ย 3 หมื่นต้นๆ อย่างมากไม่เกิน 5 หมื่นบาท ในช่วงเวลานั้น”


ใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุข
เรื่องรถเรื่องใหญ่ สำหรับคนรักรถเป็นชีวิตจิตใจ เหมือนอย่างที่คนนี้เป็น รัตนชัย ผาตินาวิน แม้ว่าจะเป็นเจ้าของรถราคาแพงที่หลายคนได้แค่ฝัน แต่ชีวิตจริงยืนยันได้เลยว่าไม่ได้ติดหรู กินข้าวข้างถนนบ่อยไป “แค่ใช้เงินซื้อความฝันเพื่อสร้างความสุขให้แก่ตัวเอง” หรือที่เรียกว่าใช้เงินตามกำลังทรัพย์ที่หาได้อย่างพอดีจึงจะมีความสุข

“เสน่ห์ของรถพวกนี้ อยู่ที่ความชอบของเราเป็นสำคัญ ผมเป็นคนเพื่อนเยอะ เพื่อนผมบางคนมีหลาย 1,000 ล้าน หรือบางคนมีเป็น 10,000 ล้าน แต่ไม่ชอบ Super car เขาไม่เอาเลย บางคนบอกนั่งไม่สบาย ขับไม่สบาย บางคนก็ไม่ไว้ใจความแรงของรถ บางคนกลัวที่จะขับรถแรง ผมยังแซวเลย คนรวยกลัวตาย ฉะนั้นเสน่ห์ของมันต้องเป็นคนที่รัก ชอบ และเข้าใจ แต่ถ้าไม่รัก ไม่ชอบ ไม่เข้าใจ มันจะมีคำถาม “ซื้อทำไมตั้งหลายสิบล้าน” หลายคนมีพูดกับผมอีก “จะบ้ารึเปล่า มีตั้ง 2 คัน เกือบ 5 ปี เพิ่งขับได้แค่ 4,000 กว่ากิโลเมตร” แล้วยังจะซื้อคันที่สามอีก ที่จริงมันเป็นความชอบและความหลงใหลส่วนตัว”

“เป็นคนที่วางแผนชีวิตไว้ตลอดอยากได้อะไรแล้วจะคำนวณอย่างละเอียดจะคำนวณเยอะๆ ไม่ใช่คนชอบสะสมเงิน ผมแบ่งเงินเลยว่า นี่ไว้ใช้จ่ายไว้ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ซื้อคอนโด ไว้ลงทุน ไว้ซื้อหุ้น ไว้ซื้อรถ ไว้ตอนเกษียณ แบรนด์เนมผมก็ไม่สนใจ ผมเลือกซื้อของ ไม่ได้ดูที่แบรนด์เนม ผมดูเรื่องดีไซน์เหมาะสม สีสัน รูปแบบ ที่เหมาะและเข้ากันกับเรา เช่น เนกไทของผมมีตั้งแต่เส้นละ 300 บาท ถึง 10,000 กว่าบาท เสื้อผ้าก็เหมือนกันมีตั้งแต่ตัวละ 200 บาท ถึง 80,000 บาท และไม่ได้ติดแบรนด์เลย บ่อยครั้งชอบซื้อของ Sales ด้วยซ้ำ”

ผมไม่มีนโยบายเก็บเงินเอาไว้มากๆ ไม่ได้มีความสุขกับตัวเลขที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ผมมีความสุขกับการที่ได้หาเงินมาแล้วใช้เพื่อซื้อความสุข ซื้อความฝันของผม บางคนเขาบอกว่า “ใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย” เราใช้เงินแบบเต็มๆ ถ้ามันไม่เดือดร้อนต่อชีวิตเราในอนาคต และต้องมีวินัยทางการเงิน ข้อแรกเราต้องรู้จักหาเงินก่อน แล้วกล้าที่จะใช้เงินซื้อสิ่งที่อยากจะได้และสมควรจะได้”

การดำเนินชีวิตของผู้บริหารท้าฝันคนนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรต้องมีเป้าหมาย ชีวิตเขาแบ่งเป็น 5 ส่วน ส่วนหนึ่งเพื่อครอบครัว สองธุรกิจการงาน สามเรื่องส่วนตัว สี่เรื่องสังคม เรื่องไหนสำคัญก่อน-หลังขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงของชีวิตที่เราเลือกกำหนด และห้าคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขในประเทศไทยทุกวันนี้ และคุณรัตน์ยังฝากข้อชวนคิดทิ้งท้ายอีกว่า “เราควรทำทุกอย่างอย่างมีเป้าหมาย ทุกคนไขว่คว้าอยากมีเงิน อยากมีอำนาจเพื่ออะไร ก็เพื่อความสุข แต่เมื่อมีแล้วก็ต้องรู้จักพอ รู้จักเผื่อแผ่ผู้อื่น และอย่านับถือเงินมากกว่ามิตรภาพ”
 
 
 
 
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์

ภาพโดย...พลภัทร  วรรณดี
ขอบคุณภาพจาก อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท
 
Ferrari ที่รัก
Porsche คู่ใจ



แชมป์ Porsche World Roadshow


กำลังโหลดความคิดเห็น