"ไม่มีใครอยากแก่ หรืออยากเจ็บป่วย” แต่ตามกลไกของธรรมชาติยิ่งอายุมากขึ้นร่างกายก็ยิ่งเสื่อมถอยลง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริโภค และการใช้ชีวิตแบบผิดๆ โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ใช้ชีวิตเร่งรีบจนลืมใส่ใจดูแลตัวเอง สิ่งสำคัญที่ควรจะนำมาปฏิบัติเพื่อการมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว ควรเริ่มจากการกินอาหารดีๆ ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ผ่อนคลายจิตใจ และรักษาร่างกายและสมองให้เสื่อมช้าที่สุด เพราะเมื่อร่างกายได้รับแต่สิ่งดีๆ ก็จะส่งผลให้มีสุขภาพดีตามไปด้วย
M-Healthy มีวิธีการเลือกรับประทานอาหารสุขภาพจาก "นภาวรรณ ทรงประเสริฐกุล" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ด อินดัสทรี เน็ทเวอร์ค จำกัด และผู้จัดงาน Health Food and Ingredient Thailand 2012 ซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงการธุรกิจอาหารมานานกว่า 20 ปี โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารประเภท “Super Foods” อาหารซึ่งเป็นสุดยอดของอาหาร ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงและบำบัดโรคได้ ที่สำคัญสามารถหาได้ง่ายๆ ในบ้านเรา
ชาเขียวต้านมะเร็ง
"ชาเขียว" เครื่องดื่มยอดฮิตในบ้านเรา เป็นเครื่องดื่มซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน รวมถึงสามารถป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ด้วย การดื่มชาเขียวทุกวัน วันละประมาณ 4 แก้ว หรือมากกว่านั้น ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ เพราะในชาเขียวมีสารแอนติออกซิแดนท์ โพลีฟีนอล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง
สรรพคุณของชาเขียว คือช่วยลดน้ำหนัก สารกาเฟอีนในชาเขียวทำให้เมตาบอลิซึมในร่างกายดีขึ้น เผาผลาญพลังงานได้มาก เป็นผลทำให้น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีผลกระทบต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ชาเขียวทำมาจากใบชาชนิดเดียวกับที่ใช้ทำชาดำ แต่การทำชาดำจะต้องผ่านการหมัก ส่วนชาเขียวทำจากใบชาตากแห้งเท่านั้น
คุณสมบัติที่โดดเด่นของชาเขียวก็คือ การช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้ลึกถึงระดับเซลล์ ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของชาเขียวช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ ชะลอความชรา ลดขบวนการทำลายสารพันธุกรรมและยับยั้งการก่อมะเร็ง
ชาเขียวช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้มีการพัฒนาการทำงานได้ดีขึ้น จึงลดการแทนที่จากแบคทีเรียที่ไม่ดีได้ ส่งผลให้การเผาผลาญอาหารได้ดีขึ้น ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL และเพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันที่ดี ชาเขียวจึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไขมันอุดตันหลอดเลือดได้ ซึ่งเป็นผลดีต่อหัวใจและสมอง ชาเขียวสามารถยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปาก ป้องกันฟันผุ และบรรเทาอาการเหงือกอักเสบ ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำหนักโดยออกฤทธิ์ร่วมกับ Caffeine ในการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน ในระหว่างวันของร่างกายให้มากขึ้น
"กระเทียม" สุดยอดอาหารรักษาโรค
คนไทยมักจะใช้กระเทียมเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องปรุงของอาหาร ไม่ว่าจะเป็นผัดต่างๆ หรือน้ำพริก นอกจากนี้ กระเทียมยังมีสรรพคุณช่วยลดระดับไขมันในเลือดและรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วย
กระเทียมเป็นอาหารที่มีประโยชน์สุดยอด! "อัลลิซิน" เป็นสารต่อต้านแบคทีเรียและต่อต้านเชื้อราที่พบในกระเทียม ซึ่งสารตัวนี้กระเทียมสร้างขึ้นมาเพื่อสู้กับแมลงก่อนกวน แต่ถ้ามันไปอยู่ในร่างกายคน มันจะสู้กับมะเร็งแทน และทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดสมดุล เส้นเลือดแข็งแรงขึ้น ลดการสะสมไขมันในเส้นเลือด และยังทำให้สิวอักเสบลดลงด้วย
เพื่อให้ได้สารอัลลิซินเยอะที่สุด อย่างแรกคือต้องกินกระเทียมที่ผ่านความร้อนน้อยที่สุด แค่ลอกเปลือกออก ทุบ และสับให้ละเอียด เอาไปประกอบอาหาร อย่าให้มันสุกเกินไป เพราะความร้อนที่มากเกินไปจะทำลายสารตัวนี้และกระเทียมก็จะหมดประโยชน์ ถ้ากินกระเทียมไม่ได้ก็ลอง หัวหอม ต้นหอม พืชตระกูลหอมๆ ทั้งหลาย
"เกรปฟรุต" ผลไม้หุ่นสวย
ผลไม้หน้าตาคล้ายส้ม แต่ไม่ใช่ส้ม เรียกอีกอย่างว่า ผลไม้หุ่นสวย การกิน "เกรปฟรุต" ครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารจะช่วยให้น้ำหนักลดลง ได้อย่างเหลือเชื่อ โดยสามารถลดปริมาณแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีต่อวัน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ทานเกรปฟรุตมีระดับอินซูลินลดลงด้วย แสดงให้เห็นว่าผลไม้ชนิดนี้ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญน้ำตาลให้ทำงานได้ดีขึ้น และในเกรปฟรุตยังมีสารไลโคปิน ซึ่งเป็นสารป้องกันมะเร็งพบในมะเขือเทศด้วย
นอกจากนี้ เกรปฟรุต ยังอุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดซิตริก และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีประโยชน์กับตับ ส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมทั้งชะล้างสารพิษและทำความสะอาดร่างกาย อีกทั้งยังช่วยละลายเมือกและของเสียออกจากระบบภายในร่างกายทั้งหมด ที่สำคัญ ยังมีสารต้านมะเร็งอย่างเช่น ไลมินอยด์ และไลโคปีน อีกด้วย
สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือด นอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
“โยเกิร์ต" ดีต่อลำไส้
ในโยเกิร์ตจะประกอบด้วยแบคทีเรียหลักๆ 2 ชนิดด้วยกันคือ Streptococcus thermophilus และ Lactobacillus bulgaricus ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้จะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนนมให้เป็นโยเกิร์ต นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการเติมแบคทีเรีย Bifido และ Lactobacillus casei ในโยเกิร์ตเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารอีกด้วย
โยเกิร์ตมีประโยชน์ต่อลำไส้ เนื่องจากในโยเกิร์ตประกอบด้วยแบคที่เรียแลคโตบาซิลัสที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้ ตลอดจนช่วยความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ แบคทีเรียแลคโตบาซิลัสโดยเฉพาะ Lactobaciillus acidophilus จะช่วยเร่งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในลำไส้ใหญ่และช่วยลดการเปลี่ยนน้ำดีเป็นกรดน้ำดีซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง ปริมาณแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคต่างๆที่บริเวณลำไส้ นอกจากนี้แบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้พวกนี้จะทำลายสารอันตรายต่างๆ เช่น สารไนเตรตและไนไตรท์ ก่อนที่สารเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งอย่างหนึ่ง
การรับประทานโยเกิร์ตเป็นอาหารเช้าจะช่วยทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากในโยเกิร์ตมีกรดอะมิโนไทโรซีนปริมาณสูงซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท และมีกรดอะมิโนทริปโตเฟนซึ่งทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะสงบในปริมาณน้อย ควรจะรับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่มีการแต่งกลิ่นแต่งรสเพิ่มน้ำตาลลงไป แต่ถ้าไม่ชอบความเปรี้ยวของมัน จะเอาไปทานแทนมายองเนสหรือปั่นรวมกับผลไม้ให้เป็นน้ำผลไม้อร่อยๆ ก็เป็นไอเดียที่ดี
"ไข่" สุดยอดโปรตีน
ไข่เจียวเป็นเมนูโปรดแทบจะทุกมื้อที่ไม่มีใครอดใจไม่ทานได้ ไข่ 1 ฟองให้พลังงาน 72 แคลอรี โปรตีนคุณภาพสูงอีก 6.3 กรัม และยังมีสารอาหารสำคัญอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน คนที่กินไข่แทนขนมปังในมื้อเช้า จะลดน้ำหนักได้เร็วกว่าคนที่กินแต่ขนมปังถึง 65% และจะได้รับวิตามิน B12 วิตามิน A วิตามิน E อย่างเพียงพอ
ไข่จัดอยู่ในอาหารประเภทโปรตีนประเภทสูง ไข่ 1ฟองให้โปรตีนประมาณ 7 กรัม โปรตีนในไข่เป็นโปรตีนที่สมบูรณ์ มีกรดอะมิโนครบทุกชนิดตามที่ร่างกายต้องการในปริมาณสูง ร่างกายสามารถนำโปรตีนจากไข่ไปใช้ได้ทั้งหมด นอกจากไข่จะมีโปรตีนแล้ว ยังมีเกลือแร่ต่างๆที่สำคัญมากมาย เช่น เหล็ก วิตามินดี และบีสอง
“ข้าวไม่ขัดสี” ช่วยในการขับถ่าย
ข้าวกล้อง, ข้าวซ้อม, ข้าวซ้อมมือ คือเมล็ดข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีหรือผ่านการขัดสีแค่บางส่วน ข้าวกล้องมีรสชาติมันปานกลางและมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าข้าวสาร (ข้าวขาว) ข้าวทุกประเภทอาทิ ข้าวเมล็ดยาว ข้าวเมล็ดสั้น ข้าวเหนียว สามารถทำเป็นข้าวกล้องได้ทั้งสิ้น การรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน จะช่วยในระบบย่อยอาหารของร่างกายให้ดีขึ้นด้วย ดูดซึมสารอาหารเข้าร่างกายได้เป็นอย่างดี แล้วนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด
ข้าวกล้องและข้าวสารมีปริมาณพลังงาน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันที่กระบวนการผลิตและคุณสมบัติทางโภชนาการอื่น เมื่อเปลือกของเมล็ดข้าวเปลือกถูกกะเทาะออกจะได้ข้าวกล้อง ถ้าต้องการได้ข้าวสาร ผิวของเมล็ดข้าวอีกชั้นหนึ่งคือเยื่อหุ้มเมล็ดและจมูกข้าวจะถูกขัดสีออกไป ซึ่งทำให้วิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ลดลงเช่น วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี6 ธาตุเหล็ก และแมกนีเซียม
“ถั่ว” ดีต่อหัวใจ
อัลมอนด์ประมาณ 23 เม็ดต่อวัน จะให้กรด oleic acid ประมาณ 9 กรัม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อหัวใจมากๆ ซึ่งถั่วอัลมอนด์ให้กรดตัวนี้มากกว่าการกินถั่วลิสง วอลนัต และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ไขมันไม่อิ่มตัวแบบโมเลกุลเดี่ยวนี้ เป็นที่รู้กันว่าจะเป็นประโยชน์ต่อหัวใจตัวตรง และเพิ่งค้นพบเร็วๆ นี้ว่า มันช่วยเรื่องความจำอีกด้วย
ถ้าเกิดหิวขึ้นมา การกินถั่วอัลมอนด์เล่นๆ ช่วยให้หายหิวได้ แถมไม่อ้วนด้วย เพราะแคลอรีเกือบทั้งหมดจากถั่วอัลมอนด์มาจากไฟเบอร์ที่ช่วยให้อิ่มท้อง
"อะโวคาโด" ผลไม้มหัศจรรย์เพื่อความงาม
"อะโวคาโด" ผลไม้รูปทรงรีสีเขียวเข้ม เนื้อในสีเหลืองอ่อน เป็นผลไม้ที่ปลูกมากในอเมริกา ซื้อกันได้ไม่ยากตามซูปเปอร์มาร์เกตชั้นนำทั่วไป ถือว่าเป็นอาหารสุขภาพ และเริ่มเป็นที่รู้จักของนักกินมากขึ้น โดยสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะกินสดๆ หรือนำไปใส่ในสลัด หรือทำเป็นซอสอะโวคาโดก็อร่อยได้เช่นกัน
ผลของอะโวคาโดอุดมสมบูรณ์ไปด้วยวิตามินต่างๆ ทั้งวิตามินเอ ดี และอี แร่ธาตุต่างๆเช่นโพแทสเซียมและ ซัลเฟอร์ และน้ำมันจากธรรมชาติ อะโวคาโดเหมาะอย่างยิ่งกับการนำมาเสริมความงามให้กับเรือนผม และใบหน้า เพราะเนื้ออะโวคาโดจะแทรกซึมสู่เส้นผมและผิวหนังได้เป็นอย่างเป็นดี
ในเนื้อของอะโวคาโดนั้นมีปริมาณไขมันสูง แต่ไขมันนั้นเป็นไขมันที่ดีต่อร่างกาย เพราะเป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ชื่อว่า "กรดไขมันโอเมก้า 9" มีอยู่ในปริมาณสูงเช่นเดียวกับในน้ำมันมะกอก เมื่อกินผลอะโวคาโดเป็นประจำ ก็จะช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดลงได้ด้วย รวมทั้งยังให้พลังงานสูง แต่มีน้ำตาลต่ำ ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจึงสามารถกินได้อย่างปลอดภัย
ถึงแม้อะโวคาโดจะเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มาก เพราะพลังงานกว่าครึ่งมาจากไขมันที่ดีต่อสุขภาพอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว จากการศึกษาพบว่า ไขมันตัวดีนี้ช่วยลดคอเลสเตอรอลและระดับไตรกลีเซอไรด์ในเส้นเลือด ซึ่งจะช่วยลดอาการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและอัมพาต และคุณก็ไม่ต้องกังวลด้วยว่า เมื่อกินไขมันตัวนี้แล้วจะทำให้น้ำหนักขึ้น ถ้าหาอะโวคาโดไม่ได้ ลองนี่ดู มะกอก, ถั่ว, เนยถั่ว
นอกจากการดูแลสุขภาพในเรื่องของการเลือกรับประทานอาหารดีๆ มีประโยชน์ประเภท Super Foods แล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการได้พักผ่อน ออกไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ก็เป็นตัวช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรง ห่างไกลโรคร้ายได้
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต