xs
xsm
sm
md
lg

ออกกำลัง “ใจ” ผู้ประสบภัยไม่อ่อนแอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถึงจะเครียดกับเรื่องน้ำท่วมแค่ไหน แต่ในเมื่อยังต้องฟื้นฟูและอยู่กับสภาพความเสียหายกันไปอีกพักใหญ่ๆ จะปล่อยให้สุขภาพอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด “มิกกี้ AF5” หนึ่งในผู้ประสบภัย จึงมีวิธีดูแลสุขภาพกาย-ผ่อนคลายจิตใจในแบบฉบับของตัวเองมาฝากพี่น้องชาวไทยที่กำลังอ่อนแอทั้งกายและใจ เผื่อจะทำให้ยิ้มกว้างๆ ให้แก่เรื่องหนักๆ ที่อยู่ตรงหน้ากันได้มากขึ้น

อันดับแรกต้องทำใจให้ได้ก่อนค่ะ ต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่ใช่แค่เราที่โดน ยังมีคนที่แย่กว่าเราอีกเยอะเลย ยิ่งได้อยู่กับครอบครัว อยู่กับคนเยอะๆ ยิ่งดีใหญ่ ใช้เวลาตรงนั้นแหละค่ะปลอบใจกัน ให้กำลังใจกันว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้ จากนั้นอยากให้ลองหากิจกรรมอย่างอื่นทำดู หันมาดูแลตัวเอง หาความบันเทิง แล้วก็ออกกำลังกายบ้าง เสร็จแล้วพอสมองโปร่งๆ มองย้อนกลับไปคิดปัญหาเดิมอีกที จะทำให้เห็นมุมใหม่ๆ หรือคิดอะไรดีๆ ได้อีกเยอะเลย
 
มิกกี้-อิสรีย์ ทองธรรมโรจน์ เผยทริกเล็กๆ จากประสบการณ์ตรงในช่วงฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของตัวเองหลังน้ำท่วมขังทั้งที่บ้านและโรงงานมานานกว่าสองสัปดาห์ ถึงตอนนี้น้ำจะลดลงให้พอคลายกังวลไปได้บ้าง แต่ในทางกลับกันก็เหมือนยิ่งเผยสภาพความเสียหายให้ได้คิดได้เครียดมากขึ้นไปอีก วิธีเดียวที่จะหลุดพ้นจากอาการเต้นตุบๆ ของสมองได้ก็คือการหันมาใช้ชีวิตปกติ มองหา “ความสุข” ในเรื่องที่จะทำ และลงมือทำมันเสีย



หย่อนกายสบายใจ
“บำบัดด้วยกลิ่น” คือวิธีที่ง่ายที่สุดแล้วที่จะช่วยให้ผ่อนคลายจากความเศร้าและความเครียดได้ สำหรับมิกกี้แล้ว กลิ่นที่บำบัดเธอได้ดีที่สุดคือ “วานิลลา” ทั้งอโรม่า น้ำหอมในรถ หรือแม้กระทั่งโลชั่นทาตัวจึงเป็นกลิ่นเดียวกันแทบทั้งสิ้น
 

“เป็นคนชอบกลิ่นวานิลลามาก (ลากเสียง) เพราะฉะนั้นจะเลือกใช้ทุกอย่างที่เป็นกลิ่นวานิลลาเลยค่ะ ไม่รู้ทำไม พอได้กลิ่นนี้แล้วจะรู้สึกผ่อนคลาย โดยเฉพาะตอนกลับบ้านมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปบนห้อง จุดอโรมาปุ๊บ พอได้กลิ่นละมุนๆ ของวานิลลา มันเหมือนเราได้บำบัดตัวเองไปในตัว แค่สูดหายใจเข้าก็รู้สึกว่าได้พักผ่อนแล้ว อีกกลิ่นหนึ่งที่คนส่วนใหญ่จะชอบน่าจะเป็นกลิ่นมินต์ค่ะ เพราะมันมีความเย็นแฝงอยู่ด้วย ดมแล้วจะรู้สึกสดชื่น น่าจะเหมาะกับคนที่กำลังเครียดๆ ตอนนี้ แต่จริงๆ ก็แล้วแต่ค่ะว่าใครจะชอบกลิ่นไหน มิกกี้ว่าแค่เลือกใช้กลิ่นที่ตัวเองชอบก็น่าจะช่วยให้มีความสุขแล้วนะ”
 

เมื่อหาตัวช่วยผ่อนคลายจิตใจได้แล้ว จุดสำคัญที่ต้องดูให้ละเอียดไม่แพ้กันก็คือประสิทธิภาพในการใช้งาน อย่างโลชั่นที่เลือกใช้ มิกกี้จะไม่ชอบแบบเนื้อครีมหนาเกินไป เพราะเธอเป็นคนผิวมันอยู่แล้ว เช่นเดียวกับสครับผิวที่มักจะใช้แบบมีมอยส์เจอไรเซอร์น้อยๆ ไว้ก่อนเสมอ
 

เราใช้ร่างกายอย่างหนักทุกวัน ก็ต้องหาทางขับออกมาบ้างค่ะ ก่อนหน้านี้มิกกี้จะเข้าคอร์สขัดผิวกับทางร้าน แต่หลังๆ จะชอบซื้อมาทำเองที่บ้านเพราะเราสามารถเลือกแบบที่เราอยากได้จริงๆ แล้วทำเองก็ลดต้นทุนได้เยอะเลยค่ะ (ยิ้ม) วิธีเลือกอย่างแรกเลย ต้องเป็นกลิ่นวานิลลา (หัวเราะ) แล้วก็ดูที่ส่วนผสมด้วย บางตัวล้างออกแล้วผิวจะแห้งทันที ไม่มีมอยส์เจอร์ติดค้างอยู่ กับอีกประเภทที่ล้างออกแล้วจะทิ้งไขมันๆ ไว้ ซึ่งมิกกี้ชอบแบบล้างออกแล้วแห้งเลยค่ะ เพราะยังไงพอสครับเสร็จก็ต้องทาครีมทับอยู่ดี ซึ่งมันก็มีมอยส์เจอร์ให้ความชุ่มชื้นอยู่แล้ว
 
แต่ก็อย่ามัวเพลิน หลงกลิ่นหอมๆ จนทำบ่อยเกินไป เพราะการสครับผิวติดต่อกันหลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่ว่าจะดี กลับทำให้ผิวแห้งกว่าปกติด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงควรเว้นระยะสักสองอาทิตย์ต่อครั้งเพื่อความเหมาะสม



ออกกำลัง “ใจ”
การรีดเหงื่อออกจากตัวก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้หายเครียดได้เป็นปลิดทิ้ง ถึงแม้ว่าหลายต่อหลายคนจะยังไม่มีกะจิตกะใจลุกขึ้นมาออกกำลังกาย แต่ก็ต้องฝืนใจทำบ้างเพื่อไม่ให้ร่างกายทรุดหนักตามความเครียดที่สั่งสมไว้ อย่างน้อยให้เริ่มจากการเลือกเล่นกีฬาที่ตัวเองชื่นชอบ จะทำให้ไม่รู้สึกทรมานเกินไป อย่างที่มิกกี้เลือก “โยคะร้อน” เป็นกิจกรรมโปรดของเธอ
 

“จริงๆ แล้วเป็นคนไม่ค่อยเล่นกีฬาเท่าไหร่ค่ะ หากีฬาที่เหมาะกับตัวเองไม่ค่อยได้ จะให้เข้าฟิตเนสก็ไม่ถนัด เพราะไม่ชอบวิ่งบนลู่ วิ่งได้แค่ไม่ถึง 10 นาทีก็ลิ้นห้อยแล้ว (หัวเราะ) แต่พอได้ลองเล่นโยคะก็รู้สึกว่าโอเค ไม่หนักเกินไป แถมยังได้เรียนกับคนอื่นด้วย พอจบคลาส ระหว่างพักก็ได้พูดคุยกับคนอื่นๆ ได้รู้จักคนเยอะขึ้น มีเพื่อนมากขึ้น แล้วเพื่อนที่เรียนกับมิกกี้ไม่ใช่รุ่นเดียวกันด้วยนะ คนที่เรียนโยคะร้อนส่วนใหญ่เป็นคนมีอายุหมดเลย เป็นรุ่นคุณแม่ (ยิ้ม) ก็เลยกลายเป็นว่าเราได้เพื่อนกลุ่มใหม่จากการออกกำลังกายไปด้วยเลย”
 

มองอีกแง่หนึ่ง นอกจากโยคะจะช่วยขับเหงื่อ ทำให้ได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้ “ออกกำลังใจ” ไปในตัว อย่างที่รู้กันว่าท่าเล่นแต่ละท่าต้องอาศัยสมาธิอย่างมาก จึงน่าจะช่วยให้ผู้ประสบภัยที่กำลังเครียดๆ หลุดพ้นจากเรื่องฟุ้งซ่านได้ด้วยการโฟกัสไปในระหว่างเล่น โดยเฉพาะมือใหม่หัดลอง ยิ่งต้องอาศัยความอดทนเป็นพิเศษ ถ้าผ่านพ้นท่าโหดๆ เหล่านี้ไปได้ ก็ไม่ยากเกินที่จะฟันฝ่าปัญหาคาใจเรื่องอื่นๆ ให้หมดไปเช่นกัน
 

“ใจเท่านั้นค่ะที่จะช่วยให้รอดได้ (ยิ้ม) เพราะมันเหนื่อยจริงๆ โดยเฉพาะโยคะร้อนนี่ เหนื่อยกว่าโยคะปกติอีกหลายเท่า เพราะเราต้องอยู่ในห้องอุณหภูมิสูงๆ ประมาณ 38 องศาเป็นชั่วโมง เหงื่อออกทุกส่วนจริงๆ ค่ะ แล้วต้องทำท่าฉีกขา ยืดแขน ยืดตัวในท่าที่ไม่เคยทำมาก่อน ตอนแรกๆ จะทรมานมาก (เน้นเสียง) ปวดไปทั้งตัว จนครั้งที่สามถึงจะเริ่มปรับตัวได้ ตัวจะเริ่มยืดหยุ่นมากขึ้น
 

คนที่เคยเล่นกีฬาชนิดอื่นมาก่อนอาจจะได้เปรียบอยู่สักหน่อย เพราะร่างกายจะมีความยืดหยุ่นอยู่แล้วเป็นทุนเดิม จึงทำให้ปรับตัวกับท่าโยคะได้รวดเร็วกว่า แต่คนที่ยังไม่เคยก็อย่าเพิ่งท้อ
 
เริ่มจากโยคะเย็นก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อยเปลี่ยนมาเล่นโยคะร้อน จะง่ายกว่า ค่อยๆ ปรับตัวไปจะได้ไม่ทรมานมาก แต่ตอนที่มิกกี้เล่นแรกๆ มิกกี้หักดิบด้วยโยคะร้อนเลย ก็เลยเหนื่อยมาก แล้วก็เป็นวิธีที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คุณครูบอกว่าถ้าร่างกายไม่แข็งแรงพอ บางคนอาจจะเป็นลมได้ ต้องพักจิบน้ำบ่อยๆ ค่ะ แล้วก็อย่าหักโหม เล่นครั้งละชั่วโมงก็พอแล้ว ยกเว้นคนที่เก่งๆ แล้วเขาอาจจะต่ออีกชั่วโมงหนึ่ง แต่มิกกี้แค่อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละชั่วโมง ควบไปกับการควบคุมอาหารก็โอเคแล้วค่ะ”



ตามใจปากบ้างก็ดี
ที่บอกว่าควบคุมอาหาร มิกกี้ย้ำว่าให้ “ลด” ไม่ใช่ “อด” ที่สำคัญต้องรับประทานให้ครบห้าหมู่ด้วย โดยเฉพาะผักและผลไม้ เป็นเมนูหลักที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับเธอ
 

ไม่ต้องกินวิตามินเสริมก็ได้ค่ะ มิกกี้ว่าแค่อาหารหลักปกติ ถ้าจัดให้ครบห้าหมู่ก็น่าจะเอาอยู่นะ หนูโชคดีด้วยแหละค่ะที่หม่าม้าจะเตรียมอาหารให้ตลอด แล้วทุกมื้อต้องมีผัก ถ้าเป็นเนื้อหมู จะไม่ทอดค่ะ แต่จะใช้ย่างแทน ไม่งั้นก็ใส่ลงไปในแกงจืด แกงจืดบวบกับแกงจืดแตงญี่ปุ่นเป็นเมนูสุขภาพที่คุณแม่ชอบทำให้กินค่ะ กินบ่อยมาก (ยิ้ม) ถ้าวันไหนกินข้าวข้างนอก รู้สึกว่ามีผักน้อยไป หนูจะเข้าซูเปอร์ไปซื้อสลัดมากินเพิ่มอีก มีอยู่วันหนึ่งไปกินข้าวในห้างฯ แล้วรู้สึกว่ามันมีแต่แป้ง หนูเดินเข้าไปซื้อผักสดในซูเปอร์มากินเลยค่ะ ทั้งที่รสชาติมันไม่น่าจะเข้ากันได้เลย (หัวเราะเบาๆ)”
 

“เน้นผัก เน้นกับ แป้งน้อย” คือสูตรหุ่นสวยของเธอ มิกกี้บอกว่าเธอเริ่มควบคุมแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียน ม.3 แล้ว “แต่ไม่ได้อดนะคะ แค่กินแป้งน้อยๆ หน่อย ไม่อยากบวมแป้งค่ะ เป็นคนรักสวยรักงามตั้งแต่เด็ก (ยิ้มกว้าง) หนูเป็นคนเลือดกรุ๊ปโอด้วยค่ะ เคยอ่านหนังสือ เขาบอกว่ากรุ๊ปโอจะย่อยแป้งได้ไม่ค่อยดี กินมากๆ จะทำให้อ้วนเร็วกว่ากรุ๊ปเลือดอื่น ก็เลยคุมมาตั้งแต่ตอนนั้น”
 

เคยมีบ้างเหมือนกันที่เกิดสติแตก กินตามใจปากแบบฟาดไม่ยั้ง แล้วค่อยมาลดอาหารแบบหักดิบทีหลัง แต่เมื่อค้นพบว่าเป็นวิธีที่ไม่ดีต่อสุขภาพ มิกกี้จึงหันมาใช้วิธีตามใจปากบ้างบางครั้งและลดอย่างพอดีแทน
 
เวลาเรากินจนกระเพาะขยาย แล้วมาหักดิบกินน้อยอีกที ร่างกายมันจะปรับตัวไม่ทัน แล้วจะทรมานมากค่ะ หนูเคยทำมาแล้วก็เลยรู้ว่ามันเป็นวิธีที่ผิด ทุกวันนี้ไม่ทำอย่างนั้นแล้วค่ะ ใช้วิธีตามใจปากแทน คืออยากกินเมื่อไหร่ก็กินค่ะ แต่ต้องมีลิมิต พวกของหวาน เค้กช็อกโกแลตก็กินได้นะ แต่จะลิมิตว่าอาทิตย์ละไม่เกินหนึ่งชิ้น สั่งมาแบ่งกันกินกับเพื่อน ส่วนกาแฟที่ดื่มตอนเช้าๆ ก็จะเติมน้ำตาลกับคอฟฟี่เมตน้อยๆ ไม่งั้นก็กินกาแฟดำไปเลยค่ะ หรือวันไหนต้องทำงานดึก นอนดึกตื่นเช้า ก็จะพยายามดื่มน้ำเยอะๆ กินผักผลไม้ เพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ เพราะเรื่องการนอนคงเอาอย่างอื่นมาทดแทนกันไม่ได้จริงๆ”



ประสบภัยแต่ใจแข็งแรง
ถ้าทุกวิธีที่แนะนำมาทั้งหมดยังไม่สามารถทำให้ผู้ประสบภัยทั้งหลายสบายใจขึ้นมาได้ อยากให้ฟังเรื่องเล่าจากผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันดู เพราะมิกกี้ก็จัดอยู่ในกลุ่มผู้เดือดร้อนจากอุทกภัยครั้งนี้เหมือนกัน
 

“เครียดเหมือนกันนะ (ยิ้มปลงๆ) เพราะหนูท่วมทั้งที่บ้านและที่โรงงานเลยค่ะ คือบ้านมิกกี้อยู่แถวตลิ่งชันค่ะซึ่งตอนนี้น้ำลดแล้ว แต่ที่โรงงานเสื้อผ้าแถวจรัญฯ ก็ท่วมสูงมากเหมือนกัน มิดคอเลยค่ะ วันที่น้ำมาทำอะไรกันไม่ถูกเลย โรงงานตั้งอยู่ต่ำกว่าพื้นถนนด้วย เรามีเวลาเตรียมตัวกั้นน้ำจากฝั่งถนนนะคะ แต่ปรากฏว่าน้ำที่เข้ามาจากข้างหลัง มาทางพื้นที่ต่ำ เรากั้นไม่ทัน น้ำเข้ามาตามท่อ แป๊บเดียวท่วมมิดชั้นหนึ่ง ขนจักรออกก็ไม่ทัน โชคยังดีที่ยังย้ายขึ้นบนชั้นสองได้ ไม่งั้นแย่แน่”
 

“ตอนแรกก็เครียดกันทั้งบ้านเลยค่ะ เพราะเราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ไม่รู้ว่าอีกกี่วันน้ำจะลดหรือจะขึ้นอีกไหม ลุ้นกัน เครียดกันวันต่อวันเลย แล้วช่วงน้ำท่วม คุณแม่กับพี่ชายอีกคนไปต่างประเทศเลยต้องรอก่อน พอทุกคนกลับมาก็ตัดสินใจหนีน้ำไปอยู่ระยองเลยค่ะ ไปฟื้นฟูสภาพจิตใจกันที่นั่น พยายามปลอบใจกัน ให้กำลังใจกันว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้ ซึ่งการอยู่ด้วยกันหลายๆ คนในครอบครัวก็ช่วยให้เราลืมไปได้เยอะเหมือนกันนะคะ
 

สำหรับคนที่เผชิญชะตากรรมเดียวกันหรืออาจจะหนักหน่วงกว่า มิกกี้ขอฝากกำลังใจเอาไว้ว่า “อยากให้สู้แล้วกันค่ะ เหตุการณ์แบบนี้จะโทษใครก็ไม่ได้ มันเป็นภัยธรรมชาติที่มาเร็ว และเรายังไม่มีการรับมือที่พร้อมพอ ก็คงต้องพยายามทำความเข้าใจ คิดเสียว่าอย่างน้อยชีวิตของเราสำคัญที่สุดค่ะ ของที่เสียหายไป บ้านเราก็ทาสีใหม่ได้ ปรับปรุงกันใหม่ได้ ดูแลตัวเรา ดูแลจิตใจกันก่อน นั่นแหละค่ะสำคัญที่สุด

“ลองหากิจกรรมอย่างอื่นทำ ให้สมองเปิดรับเรื่องอื่นบ้าง บางคนอาจจะรู้สึกขัดแย้งถ้าตัวเองจะออกไปผ่อนคลาย ดูหนังฟังเพลง ทั้งๆ ที่สถานการณ์รอบตัวยังอึมครึมอยู่ แต่มิกกี้ไม่อยากให้คิดแบบนั้นค่ะ เพราะการผ่อนคลายไม่ใช่เรื่องผิดแต่เป็นสิ่งที่สมควรทำต่างหาก ตราบใดที่เราไม่ได้บันเทิงด้วยวิธีเมาปลิ้นและไปมีเรื่องกับคนอื่น ทำเถอะค่ะ บางทีพอสมองโปร่งๆ มองย้อนกลับมาคิดปัญหาเดิมอีกครั้ง อาจจะมองเห็นมุมใหม่ๆ หรือคิดอะไรดีๆ ได้อีกเยอะเลย ดีกว่าย้ำคิดย้ำทำย้ำทุกข์อยู่กับจุดเดิมอีกนะมิกกี้ว่า”




---ล้อมกรอบ---
อย่ากลัวอ้วน!
เห็นผอมเพรียวอย่างนี้ แต่มิกกี้ยืนยันว่าเธอผอมแบบสุขภาพดีนะ ไม่ใช่ผอมเพราะอดอาหารจนร่างกายอ่อนแอ พอพูดถึงเรื่องนี้เธอก็นึกขึ้นได้ ขอหยิบเอาอุทาหรณ์จากเพื่อนสนิทมาไว้เตือนใจวัยรุ่นที่อยากมีหุ่นนางแบบกันเสียเลย
 

“มีเพื่อนหนูคนหนึ่งค่ะ เขาเป็นโรคกลัวอ้วน กินแล้วต้องล้วงออก พอทำไปเรื่อยๆ มันก็กลายเป็นความเคยชิน พอหนูมารู้ทีหลัง หนูก็คุยกับเขา พยายามหาทางเลิกมาปีหนึ่งแล้ว ไปหาหมอแล้ว แต่ก็ยังเลิกไม่ได้ ทุกวันนี้น้ำหนักเขาเหลือแค่ 38-39 เองค่ะ ผอมจนกระดูกโผล่ พอกินอะไรเข้าไป ร่างกายก็ดันออกมาตลอด แล้วก็จะแสบช่องท้อง แสบทางเดินอาหารตลอด เห็นแล้วรู้เลยว่ามันทรมานมากจริงๆ”

“ทุกวันนี้เวลาคุยกัน เขาพยายามบอกอยู่ตลอดว่าไม่อยากให้ใครมาเป็นเหมือนเขา เลยอยากฝากเอาไว้ตรงนี้ค่ะว่าถ้าใครอยากจะลดน้ำหนัก ให้ใช้วิธีลดแป้ง ควบไปกับการออกกำลังกาย ไม่ใช่ว่าไม่กินเลยหรือต้องอดอาหาร หรือกินจนอิ่มแล้วล้วงออก มันเป็นความเชื่อที่ผิดและอันตรายมากเลยค่ะ” สาวๆ หุ่นนางแบบจำเอาไว้

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... อดิศร ฉาบสูงเนิน



ถึงจะประสบภัยแต่ใจยิ้มได้





กำลังโหลดความคิดเห็น