ตลอดเกือบ 10 ปีในวงการฯ "เขียว-นงนุช สมบูรณ์" หรือเจ้าแม่ก็อบปี้โชว์ผิวเข้มอารมณ์ดีที่รู้จักกันในชื่อ "เจเน็ต เขียว" เธอมีผลงานทั้งภาพยนตร์ งานละคร และงานเพลงมาให้คนเห็นหน้าอยู่เรื่อยๆ เรียกว่ามีงาน มีเงินไม่ขาด แต่ชีวิตจริงอาจจะไม่ค่อยสวยหรูเหมือนภาพภายนอกที่เห็น ด้วยความที่เป็นคนเชื่อ และไว้ใจคนง่าย เคยมีเงินเก็บเป็นล้าน แต่ก็ถูกโกงจากคนในวงการฯ และคนรอบตัวไปจนหมด แต่ถึงจะหมดเงิน เธอก็ไม่เคยหมดพลังใจ เธอยังหัวเราะ ยิ้มสู้ อดทนทำงานต่อไปแบบไม่มีคำว่าท้อถอย
ตลกร้องไห้
เพียงได้เริ่มพูดคุยกับสาวผิวเข้ม ยิ้มเก่งคนนี้ก็รู้สึกได้ถึงความเป็นคนมีอารมณ์ขัน เห็นเธอปล่อยมุกด้วยคำพูด และทักทาย แซวคนอื่นๆ ทำให้คนรอบข้างมีรอยยิ้มแบบนี้ แต่ชีวิตจริงเธอกลับเล่าว่าเคยโดนโกง โดนหลอกทั้งจากคนในวงการฯ และคนใกล้ตัวนี่แหละ เป็นจำนวนเงินกว่าล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่เก็บสะสมไว้สำหรับจะซื้อบ้าน
“ไม่รู้ว่าเป็นกรรมหรือเปล่า ที่ผ่านมาสมมติเจอคน 10 คนนะ ก็เข้ามาเอา แล้วก็หายไปเลย ทำให้เสียเพื่อน เสียคนที่เคยรู้จัก ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวัง แต่ตอนนี้ไม่มีให้แล้ว (หัวเราะ) ปกติเวลามีเรื่องอะไรเข้ามา เราจะเป็นที่รับได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้เสียใจคงเป็นเรื่องเสียรู้คน เราอาจจะเป็นคนไม่ทันคน เพราะเราเป็นคนซื่อตรง ซื่อสัตย์ เราไม่โกงใคร ก็เลยคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนเรา
ปัญหาที่เจอส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการคุยในเรื่องของมัดจำ คือเรื่องเงินเรื่องทอง เราจะโดนอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นคนที่เข้ามา ผู้จัดการส่วนตัว พีอาร์ แดนเซอร์ หรือออร์กาไนซ์ บางคนก็เข้ามาเพื่อโกงเราโดยเฉพาะ ใช้เราให้ไปงาน เล่นเสร็จไม่ได้เงินกลับมา แต่เรามานั่งเคลียร์ทุกคน แล้วเรานั่งรออยู่คนเดียว ผู้จัดการคนเก่าก็เรียกเก็บเงินค่างานแสนกว่าบาท แล้วก็หายไปเลย ศิลปินด้วยกันที่มายืมก็เป็นหลักแสน บางคนก็ทยอยคืน ที่ผ่านมาจะเป็นปัญหาเรื่องการรับงาน เจอเช็คเด้ง ไม่ได้เงิน รวมๆ แล้วน่าจะประมาณล้านกว่าบาท ช่วงที่มีคนมายืมเงินเยอะๆ ตอนนั้นไม่ได้ทำธุรกิจอะไรค่ะ ไม่มีบ้านด้วย แค่ผ่อนรถ เรามีเงินเก็บเยอะจะเอาเงินไปซื้อบ้าน แต่ยังไม่ได้ซื้อ หาดูบ้านอยู่ เขาก็มายืมช่วงนั้นพอดี
เวลาคนมายืม เราไม่ได้ทำสัญญาอะไรเลย เราให้โดยเสน่ห์หา ถึงบอกว่าถ้าเขาจะโกงเราก็โกงได้ คือเราเชื่อคน พูดแล้วก็จะร้องไห้ เราไม่ได้หากินในเรื่องของการให้เงินกู้ ใครโทรมาขอยืมเงินก็โอนให้เลย บางคนโทรมาร้องไห้ เขาบอกต้องใช้เงินไปช่วยพ่อ พ่อเป็นโรคสมองเสื่อม เราก็สงสารเราก็ให้เขาก่อนแล้วคิดว่าเดี๋ยวอีกไม่กี่วันเขาคงเอาเงินมาคืนเรานะ คิดอย่างนี้ เราก็เป็นคนเชื่อคนง่าย เราก็โดนไปเรื่อยๆ หลายเจ้ามาก จนทุกวันนี้ ต้องสกรีนงาน ต้องวางมัดจำ เคยเจอออร์กาไนซ์ที่เคยร่วมงานกันมาหลายปี ปีแรกๆ ไม่เคยเป็นนะ แต่พอปีที่ 3 โกงเงินเราไป 5 แสนกว่า หายวั๊บเลย"
ความที่เป็นคนเชื่อคนง่าย และไว้ใจคนอื่น จึงทำให้ต้องเสียรู้คนอื่นอยู่หลายครั้ง พอเจอเหตุการณ์ซ้ำๆ กัน บ่อยๆ ขึ้นทุกวันนี้ก็ทำให้เธอมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น มีการสกรีนการรับงาน เห็นความสำคัญของคนรอบข้าง และรักตัวเองมากขึ้น
"พอโดนบ่อยๆ เข้า เราก็มานั่งคิดว่าคงเป็นเพราะกรรมเก่านะ พยายามทำบุญเยอะๆ ให้เจ้ากรรมนายเวร ไปวัดถวายสังฆทาน ให้อาหารปลา อะไรที่เป็นทั้งทาน ทั้งบุญเราก็ทำหมด ทำเยอะหน่อย ไม่ได้เงินตรงนี้ไม่เป็นไร แต่ขอให้ได้งานดีๆ ได้เจอคนที่ดีๆ เข้ามาในชีวิตในวันข้างหน้า สิ่งที่เสียไปในอดีตเราเรียกคืนมาไม่ได้ ขอให้มิจฉาชีพ คนคดคนโกงหายไปจากชีวิตเราก็พอ
ตอนนี้เราก็มองสิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียน แต่เรื่องเดิมๆ มันก็ยังเกิดซ้ำๆ บ่อย เหมือนเราเป็นคนที่ให้โอกาสคน พอเจอคนใหม่ๆ ก็คิดว่าคนใหม่จะไม่เป็น แต่มันก็เป็นอีก ทีนี้พอเจอบ่อยๆ ก็เริ่มที่จะรักตัวเองมากขึ้น รักครอบครัวมากขึ้น ทุกอย่างที่เราทำมาเราต้องเก็บไว้เผื่อครอบครัว บทเรียนที่ผ่านมาก็สอนเราว่าเวลามีคนเข้ามาหา เราอย่ามองเพียงแค่เปลือกนอก อย่าคิดว่าเขามีพร้อมทุกอย่าง เขามีชื่อเสียง ทุกอย่างเขาดูดีแล้วเขาจะไม่ทำร้ายเรา บางทีเขาเข้ามาเอาผลประโยชน์จากเรา มายืมเงินแล้วก็หายไปเลย จะเจออย่างนี้ซะส่วนใหญ่ เราก็ช่วยเขาเพราะคิดว่าเขาไม่โกงเราแน่ แต่สุดท้ายแล้ว 10 ปีที่ผ่านมาเนี่ย แทบจะหายไปเลย"
ถึงวันนี้เธอมองว่าสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ และมีความเชื่อว่าคงเป็นเพราะกรรมเก่าถึงเจอเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคนที่ยืมเงินของเธอไปก็จะมีกรรมติดพ่วงไปถึงชาติหน้า ด้วยความเชื่อเช่นนี้เธอจึงพยายามใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีเวลาก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ยึดถือคำว่าซื่อสัตย์ และซื่อตรงเป็นแนวทางของชีวิตต่อไป
"เราก็มีความเชื่อว่าเป็นกรรมเก่าของเราไป ตอนนี้คนที่ยืมเงินเราไปเขามีกรรมแล้ว แต่เขายังไม่ใช้ไง ถ้าเขาใช้เงินเราเขาก็หมดกรรม เราก็มีกรรมที่เรายังไม่ได้เงินคืน คือเรื่องกรรมนี้จะพ่วงไปถึงชาติหน้าของเขานะ ชาติหน้าเขาเกิดมาเขาก็จะลำบาก พอเราเชื่ออย่างนี้เราก็พยายามที่จะซื่อตรงกับคน ไม่คดโกงคน เราไม่โกหก พอมีคนมาถามเรื่องเงิน ตอนที่เราเก็บเงินไว้ซื้อบ้าน พอเขาถามว่ามีเงินไหมเราก็บอกว่ามีไง เพราะเราโกหกไม่เป็น เขาก็เลยบอกว่ามีเงินงั้นขอยืมก่อนได้ไหม ตอนนี้ใครมายืมเราก็จะบอกว่าเรามีหนี้ เราทำธุรกิจรีสอร์ตก็ต้องหมุนเงิน เราไม่โกหกไง ทุกวันนี้เราก็หามาใช้ไป"
อารมณ์ดีเพราะคิดบวก
แม้ว่าในชีวิตจะผ่านเรื่องหนักหนาขนาดไหน เธอก็สามารถรับมือ และยังมีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ อารมณ์ขันไม่เคยหายไปไหน ซึ่งเธอบอกว่าเธอเป็นคนมองโลกในแง่บวกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้รับมือกับเรื่องที่ผ่านมาได้ และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
"เราเป็นคนที่คิดจะทำงานให้มีความสุข ไม่คิดว่าปัญหาอะไรมันจะหนักสำหรับเรา ส่วนใจไม่ค่อยดูแล เพราะใจเราจะคิดบวกอยู่แล้ว เรามีความสุขอยู่แล้ว เราคิดว่าทุกคนที่เข้ามาเป็นคนดีหมด เพื่อนที่เราคบก็เป็นคนดี คนที่เข้ามาใหม่ก็เป็นคนดี คือคิดว่าทุกคนเป็นคนดีหมดแล้วใจเราก็จะสดชื่นเอง มันจะสวยงาม มองโลกสวยงาม แล้วจะทำให้ขยัน
เวลามีปัญหาจะใช้วิธีบ่นกับผู้จัดการ แต่ไม่ค่อยท้อ เพราะถ้าเราท้อมันจะถอย เพียงแต่ว่ามันจะเหนื่อย คิดว่าทำไมเหนื่อยจัง เหนื่อยหนัก เหนื่อยมากเลย บ่นแล้วก็หาย เวลาเจอปัญหาเราก็จะคิดว่ามันเป็นไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว เสียไปแล้ว เหลือใจอย่างเดียวที่ยังไม่เสีย เพราะฉะนั้นเอาใจกลับมาก่อน แล้วค่อยมาเริ่มใหม่อีกทีหนึ่ง
ช่วงแรกๆ จะรู้สึกเสียดายมาก รู้สึกเสียรู้คนมาก รู้สึกท้อแท้กับชีวิตคน คือรู้สึกท้อแท้กับชีวิตของเขา คนที่มาโกงเรา เราจะรู้สึกว่าทำไมเขาเป็นอย่างนั้น คือคิดแทนเขา ว่าเขาทำแบบนี้แล้วชีวิตเขาจะเป็นยังไง เขามาโกงเรา มาหลอกล่อเราอย่างนั้น แล้วชีวิตเขาข้างหน้าล่ะ เราจะรู้สึกแทนเขาแล้ว ว่าวันข้างหน้าเขาจะไม่มีมิตรแท้ ไม่มีมิตรภาพ จะไม่มีคนดีๆ เข้ามาในชีวิต เพราะจะมีแต่คนกลัว ชีวิตเขาจะลำบาก ไม่มีเพื่อนแท้จนตายถ้าเขายังทำอย่างนี้อยู่นะ แต่ตัวเรา ถ้าเราปล่อยวางได้แล้ว เราทำบุญเยอะๆ ชีวิตเราก็จะมีคนดีๆ เข้ามา"
"สมาธิ" พัฒนาจิตใจ
ด้วยความที่เป็นคนมีงานเยอะ ไม่ค่อยมีเวลาไปเข้าวัดปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แต่เธอมีความตั้งใจว่าอยากจะฝึกนั่งสมาธิ เพราะมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้มีภูมิคุ้มกันทางด้านจิตใจเพิ่มมากขึ้น
"ปกติจะนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่าง หลวงปู่ทวด หลวงพ่อสด พระประจำวัน พระแก้วมรกต มีพระแม่อุมา พระพิฆเนศ พระศิวะ นับถือหมดทุกสำนัก แล้วเราวางฐานของเราให้อยู่บนความซื่อสัตย์ ซื่อตรงด้วย ไม่โกง ไม่อะไรใคร ช่วงนี้เพิ่งคุยกับดาว-มยุรี ชวนกันไปนั่งสมาธิ รายนั้นเขาชอบนั่งสมาธิมาก เราก็อยากไปนั่งสมาธิที่กาญจนบุรี อยากจะมีสมาธิ ในเรื่องของสิ่งที่ผ่านเข้ามา ที่เข้ามารบกวนจิตใจเราเนี่ย เราจะได้มีจิตใจที่ปล่อยวาง ซึ่งตอนนี้ก็ปล่อยวางได้แหละ เพียงแต่ว่าบางทีเรารู้สึกว่าใจเรายังไม่นิ่ง คิดว่าไม่น่าเลย...ไม่น่าเลย เราก็คิดว่าการไปนั่งสมาธิ จะช่วยให้เรารับมือกับปัญหาได้มากขึ้น มีสติปัญญา มีวิธีแก้ไข อาจจะด้วยการใช้คำพูดกับคน มานั่งสอนกัน มานั่งคุยกันว่าจะแก้ไขด้วยวิธีไหนดี
เวลาเราเจออะไรเราก็จะเป็นใจร้อน จะโวยวายกับคนของเราเองเนี่ยแหละ ซึ่งมันทำอะไรไม่ได้ มันโดนไปแล้ว ก็ทำได้เพียงแต่บ่น เราก็กลายเป็นคนพูดมาก ขี้บ่น เราก็ไม่อยากเป็นคนอย่างนั้น เพราะมันไม่มีประโยชน์ แต่ก็บ่นให้หายไปก่อน ก็เลยคิดว่าการนั่งสมาธิจะช่วยได้ ในเรื่องของการวางจิตใจให้สงบ มีจิตใจที่ปล่อยวางมากขึ้น"
เสียงเพลงคือความสุข
อีกงานหนึ่งในวงการฯที่เธอรักและไม่มีวันทิ้งก็คืองานร้องเพลง ถึงแม้จะไม่ดังเปรี้ยงปร้างทุกชุด แต่เธอก็ยังมีผลงานออกมาให้แฟนเพลงได้ฟังอยู่ตลอด
"งานเพลงเป็นสิ่งที่เรารัก และเราคงไม่ทิ้ง อยากร้องไปตลอดชีวิต ตราบใดที่ยังมีคนฟังเพลงเราอยู่ เพราะเราชอบร้องเพลงมาก แต่เพลงยุคนี้ก็เปลี่ยนไป เพลงดังแป๊บเดียว แล้วก็หาย พอคนมาร้องเยอะๆ เดี๋ยวก็เบื่อแล้ว เพลงไม่ได้ดังเป็นอมตะนิรันด์การแบบเมื่อก่อน เพลงเกาหลียังดังในบ้านเราเยอะเลย มองว่าเป็นแฟชั่นแล้วสมัยนี้"
นอกจากการร้องเพลงจะเป็นงานที่เธอรักแล้ว มันยังสามารถดึงตัวตนของเธอออกมา ผ่านความสนุก คึกคัก และยังบำบัดจิตใจได้ด้วย ช่วยให้ปล่อยวาง ไม่เครียด เพราะเวลาร้องเพลงทำให้เธอมีความสุข และบทเพลงจังหวะคึกคักที่ผ่านความตั้งใจสไตล์เจเน็ต เขียว ก็ทำให้คนฟังมีความสุขกับเพลงของเธอ
"เพลงมันบำบัดเราด้วยนะ มันทำให้เรามีความสุข และทำให้เราปล่อยวางได้เยอะ ทำให้เราไม่เครียดด้วย เราก็ไม่ได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องออกอัลบั้ม แค่อยากให้มีคนรู้ว่าเรายังร้องเพลงอยู่ เราทำเพราะอยากให้คนหายคิดถึงเราในเรื่องการร้องเพลง แต่เราคงทำอัลบั้มออกมาขายกับซีดีผีไม่ไหวหรอกค่ะ มันยาก เพราะเราไม่ใช่ค่ายใหญ่ด้วย การที่ทำเพลงมันเหนื่อย
ทุกวันนี้เราต้องทำเพลงเอง ลงทุนเอง เราไม่ได้ทำเต็มอัลบั้ม เราทำเป็นซิงเกิ้ลเพื่อให้คนเห็นว่าเราไม่ได้หายไปไหน เรายังมีผลงานเพลงอยู่เรื่อยๆ ให้คนหายคิดถึง ถึงจะไม่ได้ยากแต่เหนื่อยนะ เหนื่อยในการที่จะหาจุดที่คนอยากให้เราเป็น จุดที่เราอยากเป็นมันผ่านไปแล้ว เราอยากเป็นนักร้องที่มีคนฟังเยอะแยะ ร้องเพลงสไตล์ที่เราอยากร้อง มีเพลงที่เป็นอมตะ อย่างพุ่มพวง อยากจะเป็นอย่างนั้น แต่บางครั้งคนก็อยากจะเห็นเราในมุมที่ดูสนุกสนาน เราก็เลยเน้นความสนุกสนานมาก่อนเลย แนวฮาๆ มีลูกเล่น ก็กลายเป็นสไตล์ของเรา"
ส่วนการแสดงเลียนแบบ ซึ่งดึงความโดดเด่นที่สุดของเธอออกมา ก็ยังคงเป็นงานหลักที่ยังทำอยู่ "งานก็อบปี้โชว์ก็ยังทำอยู่ เป็นงานหลักประจำเลย หลังจากโชว์เพลงของเจเน็ต เขียว เราก็จะมีก็อบปี้โชว์ เราก็จะเล่นกับคนดู เช่น วันนี้เราขนศิลปินมาเป็นร้อย แต่ผ่านสายสินเข้ามาไม่ได้ มาได้ 10 กว่าคน เขาก็จะฮากันแล้ว โชว์ของเราเรียกว่ามีวาไรตี้ในการแสดง เหมือนไม่เหมือน ไม่คล้ายก็ขำ แล้วเราก็เล่นอะไรได้บนเวที มันมีความสุข ทุกวันนี้มีงานละคร มีงานโชว์ ก็พอใจแล้วค่ะ ไม่ต้องถึงกับดังเปรี้ยงปร้าง มีคนรู้จักเราไปเรื่อยๆ อย่างนี้ถือเป็นการดีแล้ว นี่ก็สุดยอดของความสุขแล้วที่คนจำได้ มีผู้ใหญ่ให้งานเราก็ยินดีน้อมรับ แล้วเราก็พยายามเล่นอย่างที่เขาอยากให้เราเป็น"
ไม่ถนัดงานแสดง
เห็นเป็นคนตลกโปกฮา และงานแสดงเธอก็ทำได้ดี เล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่เธอกลับบอกว่างานแสดงเป็นงานที่ไม่ค่อยถนัดที่สุด แต่เมื่อมีคนให้โอกาสและเห็นศักยภาพของตัวเธอ เธอจึงรับ และตั้งใจทำให้ดีที่สุด
"เรื่องการแสดงก็ยังรู้สึกว่ายังไม่คุ้น ไม่ถนัด แต่ถ้าเป็นเรื่องของการร้องเพลงถนัดมาก อย่างก็อปปี้โชว์ ก็เป็นเรื่องของการร้องเพลง ร้องเพลงของนักร้องหญิงมันง่ายสำหรับเรามากกว่า แต่ก็มีพี่หน่อง (อรุโณชา ภาณุพันธุ์) แห่งบรอดคาซท์ฯ เป็นคนให้งานเราประจำ ตอนนี้ก็มีละครซิตคอมเรื่องวิงค์เจ้าเสน่ห์ เขาให้เล่นเป็นตัวนั้น ให้เล่นเป็นตัวนี้ เราก็จะพยายามเล่นทุกครั้ง เพื่อพี่หน่อง เพราะว่าเขาเห็นว่าเราทำได้ เราก็ต้องทำได้ ส่วนใหญ่เขาให้เล่นตามสไตล์เรา เล่นแบบลุกลี้ลุกลน (หัวเราะ) ส่วนใหญ่เขาจะให้เล่นเป็นบุคลิกของเรา
สังเกตได้เลยไม่เคยได้รับบทดราม่าสักเรื่องเดียว คนเห็นเราก็ขำแล้ว แต่ก็อยากอยู่นะ อยากเล่นบทตลกร้องไห้ ก็เล่นเป็นตลกนะ แต่ว่ามีเรื่องเศร้า อยากดูว่าคนจะเชื่อไหม อยากแสดงบทที่ดรามา แต่คิดว่ายากนะ เพราะคนเห็นหน้าเราก็ขำแล้ว อยากแสดงบท ตลกร้องไห้ เราคิดว่าที่เรามีงานตลอดเพราะมีผู้ใหญ่เมตตา งานร้องเพลงก็มีหลายคนเมตตา อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนรักษาเวลา ไม่เกี่ยงงาน มีงานอะไรเรารับหมด"
ธุรกิจเพื่อครอบครัว
อย่างที่ทราบกันจากข่าวว่าเธอไม่ค่อยประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจรีสอร์ต (กรีนคอทเทจ แอนด์ บีช รีสอร์ต) ที่เกาะช้าง ถึงจะยอมรับว่างานธุรกิจไม่ใช่งานที่ถนัด แต่เธอก็ตั้งใจทำ และนำเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนกับธุรกิจรีสอร์ต เพื่อที่หวังจะให้ครอบครัวมีงานทำ มีรายได้ และดูแลกันเองได้
"ธุรกิจรีสอร์ตที่เกาะช้างเปิดมาได้ 2 ปีแล้ว ที่เราทำงานทุกวันนี้ก็เก็บเงินเพื่อเอามาทำรีสอร์ต ได้เงินมาก็มาต่อเติมเพิ่ม ทำรั้ว ทำสวน ลงดิน คือเราก็ทำเรื่อยๆ เราก็ได้เรียนรู้ว่าธุรกิจนี้มันต้องมีเอเยนต์เยอะๆ รู้จักทัวร์ แต่เราก็ไม่ค่อยรู้จัก เราจะทัวร์คอนเสิร์ตซะมากกว่า (หัวเราะ) เราก็ไม่ค่อยรู้ เราก็ต้องเริ่มทำความรู้จักกับธุรกิจใหม่ของเรา ก็อยากจะทำไปเรื่อยๆ อยากให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแล ได้มีเงินเดือน แต่ตอนนี้ก็บอกเซ้งแล้ว คือเราไม่ไหว แต่ถ้ายังไม่มีคนมาเซ้งเราก็ยังทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าธุรกิจนี้มันไม่ดีนะ เพียงแต่มันเป็นรูปแบบที่เราไม่ถนัด เราก็เลยอยากให้คนที่ถนัดเข้ามาดูแลตรงนี้มากกว่า"
ทุกวันนี้เธอเป็นเสาหลักของครอบครัว คอยช่วยเหลือพี่น้องตามกำลังที่เธอจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้ใช้วิธีช่วยเหลือด้วยเงินทองอย่างเดียว แต่เธอจะเน้นช่วยเหลือครอบครัวให้สามารถดูแลตัวเองได้ และอยู่ได้อย่างมั่นคง
"เวลาครอบครัวมีอะไรเขาก็จะโทรมาหาเรา เวลาเราทำอะไรเราก็แชร์ให้ครอบครัว อะไร ตรงไหนดีเราก็ซื้อให้เขา อยากให้ครอบครัวมีฐานที่มั่นคง เวลาที่เขาขาดเหลือเขาก็จะโทรหาเรา เราช่วยได้ก็ช่วย แต่เราก็ไม่ได้ช่วยจนเขานิสัยเสีย จะไม่ช่วยเกินไปจนเขาไม่ทำเองเลย อย่างนั้นเราไม่เอา เวลาเราช่วยเราก็จะบอกว่าเราช่วยเพราะอะไร คนเราต้องทำถึงจะได้ ก็จะบอกเขาตลอด เพราะว่าวันหนึ่งไม่มีเราข้างหน้าเขาจะแย่ แต่เราไม่ถือว่าเป็นภาระ คือเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำอยู่แล้ว การพูดคุย การสอนคนก็ยาก เราต้องมีวิธีพูด ไปนั่งบวชชีดีกว่าเนอะ จะได้เข้าใจคน (หัวเราะ)
คนเรามีเงินเยอะก็ต้องทำงาน ความสุขอีกอย่างในชีวิตก็คือการได้อยู่ในกลุ่มของคนที่เรารัก ได้เจอคนดีๆ ก็มีความสุข ไม่จำเป็นต้องมีบ้านหลังใหญ่ อยู่อย่างนี้มีความสุขแล้ว มีแฟนคลับที่น่ารัก ถึงจะมีไม่กี่คน แต่เขาก็รักเรา สนับสนุนในสิ่งที่เราเป็น คนในครอบครัวเราก็เฉลี่ยให้เขาได้"
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี