xs
xsm
sm
md
lg

โยคะช่วยได้จริง! เคล็ดลับฉบับปอบหยิบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
เจ้าของฉายา “ปอบหยิบ” ตลอดกาล ป้าหน่อย-ณัฐินี สิทธิสมาน เจ้าเก่า หน้าเดิม ไม่ว่าจะเปิดดูบ้านผีปอบภาคไหนหรือละครช่องใดก็ตาม ใบหน้าผีปอบในแบบของป้าหน่อยยังคงติดตาคนดูไปทุกยุคทุกสมัย แม้เวลาจะผ่านมาถึง 23 ปีกับบทบาทการแสดงเป็นปอบหยิบ และกลับมาเยือนอีกครั้งใน บ้านผีปอบ รีฟอร์เมชัน ซึ่งคอยวิ่งเต้น ทะลวงไส้ชาวบ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าเอากำลังวังชามาจากไหน แต่แอบรู้มาว่าป้าหน่อยซุ่มเล่นโยคะเพิ่มพลังอยู่เป็นประจำ จึงไม่ต้องแปลกใจที่ดูทีไร เห็นมีแต่วิ่ง...วิ่ง และก็วิ่งกันแบบไม่คิดชีวิต ทั้งผีทั้งคน

M-healthy จึงต้องขอสัมภาษณ์ เพื่อเสาะถามเคล็ดลับดีๆ สำหรับการดูแลตัวเองของปอบหยิบ ไม่ว่าจะกี่ภาคต่อกี่ภาค ก็วิ่งไล่คนเอาเสียหอบตัวโยนตามๆ กัน แต่ผีปอบของเรานี่สิ! หน้าเรียบนิ่งอย่างไม่มีอาการของคำว่าเหนื่อย จึงดูเหมือนว่าวัยท้าแดดท้าลมมานาน ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการแสดงเลย วันนี้ป้าหน่อยจะมาเปิดเผยให้ได้รู้กัน

ออกกำลังกายได้ทุกที่
ไม่ผิดที่เทคนิคการถ่ายทำจะช่วยให้นักแสดงไม่เหนื่อยมากกว่าที่ควรจะเป็น แต่ด้วยวัยย่างเข้า 64 ปี ก็ดูไม่น้อยกับการรับบทผีวิ่งไล่คน และมีเกือบทุกฉากที่ผีปอบออกอาละวาด จากภาคแรกจนถึงปัจจุบัน มีมากกว่า 13 ภาคแล้ว และล่าสุดที่เพิ่งลงโรงไปหมาดๆ กับภาพยนตร์เรื่อง บ้านผีปอบ รีฟอร์เมชัน ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 20 ปี แต่ป้าหน่อยยังดูร่างกายแข็งแรง ใบหน้าสดชื่น แจ่มใส เหมือนเมื่อครั้งเริ่มเล่นใหม่ๆ ก็ว่าได้

“เรื่องบ้านผีปอบ รีฟอร์เมชัน ถ้าไม่ใช่เรื่องผีก็คงไม่ได้เล่น เราเป็นนักแสดงอาชีพ เล่นได้ทุกอย่าง ถึงแม้จะเป็นหนังผี แต่มีคนจดจำเราได้ เราก็ดีใจ ทุกคนพูดเหมือนเราเป็นตัวแทนปอบหยิบไปแล้ว อาจเป็นเพราะเล่นมานานถึง 13 ภาคแล้ว แต่บ้านผีปอบภาคแรกไม่ได้เล่น ไม่ว่างเพราะมีติดถ่ายละครด้วย พอภาค 2 คุณสายยนต์ ศรีสวัสดิ์ ซึ่งได้รู้จักกันมาก่อนแล้ว เขาได้กำกับต่อจากภาคแรกก็เลยมาชวน เราก็รับเล่น”

รับเล่นเป็นผีปอบตั้งแต่อายุ 41 ปี จนตอนนี้ย่างเข้า 64 ปีแล้ว เคล็ดลับสำหรับการชะลอวัยก็คือการออกกำลังกายนั่นเอง ซึ่งคนไม่มีเวลาก็สามารถทำได้ ด้วยวิธีการเคลื่อนไหวร่างกายวันละเล็กวันละน้อย โดยให้แทรกเข้าไปอยู่ในทุกกิจวัตรประจำวันที่ทำอย่างสม่ำเสมอ

“เราก็อยากออกกำลังกายทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้ เขาให้นั่งยกขากระดกข้อเท้า (พร้อมทำท่าให้ดู) วันละ 50 ครั้ง ช่วยเรื่องของข้อเข่า อ่านมาจากตำราของสาธารณสุข เมื่อก่อนนู้นหลายปีแล้ว เราปวดเข่า เขาบอกว่าทำวันละ 50 ครั้ง แล้วจะทำได้ไง แต่เขาไม่ได้บอกว่าทำทีเดียวจบ 50 ครั้ง ในเวลาที่เราทำอย่างอื่นก็ทำไปด้วยได้ แต่ทุกคนจะท้อ พอบอก 50 ครั้ง ทำไมเยอะจัง แต่เราก็มาคิด เช้าขึ้นมานั่งแต่งหน้าก็ยกสัก 10 ครั้งไปที่อื่นอีก 10 ครั้ง หลายๆครั้งรวมกันก็ 50 แล้ว”

“จานทวิสหมุนตัว วางไว้หน้าห้องน้ำให้มันเตะตา ว่างๆ ก็หมุนตัวเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง เวลาดูโทรทัศน์ก็ยกเวตไปด้วยหรือจะซิตอัพ ลับตาทำ 5 ทีก็ทำได้ บางทีก็ไปเข้าฟิตเนสบ้าง เขามีครูให้ 3 วัน 3 วันแรกนั้นเราก็จดวิธีการใช้ พอวันถัดไปไม่มีครูมาสอน เราก็กางสมุดที่จดไว้ จะมีเทรนเนอร์หรือไม่มีแล้วแต่เรา แต่ที่เห็นว่าส่วนใหญ่เขามีเทรนเนอร์ คงกลัวว่าถ้าคนออกกำลังกายหักโหมก็อาจบาดเจ็บได้ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวร่างกายด้วยวิธีใด มันก็ได้ออกกำลังกายเหมือนกัน ออกกำลังกายเสร็จก็ไปงานต่อได้เลย”

ปอบหยิบติดใจโยคะร้อน
ไม่ว่าจะโยคะร้อนหรือโยคะเย็น ต่างก็เป็นวิธีการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมของร่างกายแต่ละคน และโยคะร้อนก็เป็นทางเลือกหนึ่งของการออกกำลังกายซึ่งป้าหน่อยคิดว่า “มันเข้าท่าสำหรับตัวเรา”

“เราไปงานแล้วเขาให้บัตรเล่นโยคะฟรีมา 10 ครั้ง พอเราไปเล่นโยคะ เราก็ทำได้ ก็เลยไปมาแล้วหลายปี มีความรู้สึกว่าออกกำลังแล้วมันได้เหงื่อ โยคะธรรมดาเราเคยไปผิดคลาสครั้งหนึ่ง คิดว่ามันยากสำหรับตัวเรานะ แต่โยคะร้อน มันได้เหงื่อ คิดว่ามันเข้าท่าสำหรับตัวเรา ต้องอยู่ในห้องโยคะร้อนโดยเฉพาะเป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง เหมือนเขาเปิดฮีตเตอร์แทนเครื่องปรับอากาศ แรกๆ คิดว่า โอ้โฮ! เราจะตายไหม ชั่วโมงครึ่ง เขาจะให้เราไปนอนเฉยๆ ก่อนเพื่อให้ร่างกายสร้างความคุ้นเคยกับสภาพอากาศ ประมาณ 25 นาที เขาก็จะเปิดห้องให้อากาศเย็นเข้ามาเบาๆ แล้วก็ปิด”

โยคะมันอยู่ที่การหายใจ เราก็ทำตามเขามันมีครูคอยบอก บางท่ายืนยกแขนชู พนมมือขึ้นเหนือศีรษะ (ทำท่าทางประกอบ) พร้อมกับควบคุมการหายใจ หายใจเข้าต้องท้องป่อง หายใจออกต้องท้องแฟบ มันต้องจัดร่างกายให้ได้ ทำท่าไหนไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่ต้องฝืนร่างกาย แต่ละท่าทำประมาณ 1-2 นาทีก็เปลี่ยนท่าใหม่ ในแต่ละครั้งจึงมีท่าทางเยอะ”

แต่ละท่าของการทำโยคะอาจยากบ้าง ง่ายบ้าง คละเคล้ากันไป แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์หลักของการออกกำลังกาย การทำโยคะไม่จำเป็นต้องถึงขนาดทำเก่ง คล่องแคล่ว ว่องไว เพียงแค่เป็นการเลือกออกกำลังกายวิธีหนึ่งซึ่งเข้ากับตัวเราได้ก็พอแล้ว

“ปกติแล้วชอบออกกำลังกายตอนบ่าย หรือไม่ก็เช้าไปเลย คือ 9 โมงครึ่ง เพราะเรากินข้าวเช้า กินอาหารก่อนตอน 8 โมง แต่ไม่กินอิ่มมาก รอเวลาอาหารย่อยสักพักก็มาออกกำลังกาย วันแรกที่ไปเจอ จิ๊ -อัจฉราพรรณ เขาถามเรามากับใคร เราก็เลยตอบว่า “ฉันมาของฉันคนเดียว ฉันไม่เห็นต้องรอใครเลย” ถ้าเพื่อนไม่ไปเราไม่ต้องทำ เพื่อนไม่ทำงานเราต้องไม่ทำด้วยไหม มันอยู่ที่เหตุการณ์ของแต่ละคน แต่เราว่าไม่ต้องรอใครหรอก ถ้าไม่มีเพื่อนชีวิตนี้คงไม่ต้องทำอะไรเลย”

“สิ่งที่ได้จากโยคะจะเป็นการยืดเส้น สมมติเราทำท่านั่งสมาธิแล้วโน้มตัว พร้อมยืดแขนไปข้างหน้า เลื้อยได้แค่ไหนแค่นั้น (หัวเราะ) รู้สึกว่าการเล่นโยคะมันช่วยทำให้ร่างกายของเราคล่องแคล่วขึ้น เพราะว่าเหงื่อออก และเราได้ยืดส่วนต่างๆ ของร่างกาย โยคะมันคลายเครียดได้นะ เพราะว่ามันช่วยเรื่องของสมาธิ พอเล่นเสร็จเขาจะให้นอนท่าตายสักพัก ประมาณ 5 นาที ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายสู่สภาวะเดิม ทำให้คนเล่นมีสมาธิมากขึ้น”

ทุกท่าของโยคะร้อนก็เหมือนกับท่าทางของโยคะธรรมดา เพียงแต่โยคะร้อนดูหมือนกับว่าช่วยเผาผลาญร่างกายได้มากกว่า แต่สำหรับบางคนอาจทำโยคะร้อนไม่ได้ เนื่องจากความร้อนส่งผลกระทบทำให้ผิวหน้าเป็นฝ้า ซึ่งขึ้นอยู่ที่ผิวของแต่ละคน เพราะฉะนั้นควรเลือกวิธีการออกกำลังกายให้เข้ากับตัวเองด้วย

จ้างใครป่วยแทนไม่ได้
“เรามีเงินเยอะ เราจ้างคนป่วยได้ไหม จ้างใครป่วยแทนคงไม่ได้ ในความรู้สึกของเรา เราไม่อยากเป็นคนแก่ที่เป็นภาระใคร แค่เราเดินได้ ถึงแม้จะช้า ไม่คล่องแคล่ว แต่เราทำอะไรได้ด้วยตัวเราเอง เราว่าเราโอเคกว่า” นี่เป็นคำพูดของป้าหน่อย ซึ่งมักย้ำซ้ำๆ กับเราเสมอ เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกาย และยังสะท้อนให้เห็นว่าคนเราไม่ว่าจะรวยหรือจนก็ไม่สามารถจ้างใครป่วยแทนได้ ถึงแม้ว่าสิ่งนี้เป็นสัจธรรมของชีวิตก็จริง แต่คนเราก็หลีกเลี่ยงจากอาการป่วยได้เช่นกัน

เราต้องดูแลตัวเอง ด้วยการกินข้าวครบ 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ส่วนเราตอนเย็นจะทานน้อย แต่ตอนกลางคืนไม่ทาน แล้วก็คอยสังเกตร่างกายตัวเอง อย่างบางทีเข้าห้องน้ำน้อย แสดงว่าไม่ค่อยกินผักก็จะหาผักกินทุกวัน เราเลือกกินวัตถุดิบที่มันดีๆ หน่อย ไก่เนื้อไม่กิน กินแต่ปลา พยายามที่จะกินผักให้เยอะ เพราะเราอายุเยอะแล้ว ถ้าขี้เกียจเคี้ยวก็เอามาปั่นกิน วิตามินซีไม่มี เราก็กินกีวีแทน ข้าวกล้องก็กินเกือบทุกวันนะ เพราะมันมีสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย”

“บางทีเรากินอาหารฟาสต์ฟูดมากมาย ยังได้รับประโยชน์จากสารอาหารน้อยกว่าข้าวเหนียว หมูปิ้ง และผัก 1 กำเสียด้วยซ้ำ ที่สำคัญราคาถูกกว่ากันมาก ถ้าอยากประหยัดก็กินแอปเปิลเพียวๆ เลย 1 ลูก มันได้คุณค่าเยอะกว่า”

การเลือกรับประทานอาหารในแต่ละมื้อนั้น ทุกอย่างจัดสรรได้ด้วยตัวของเราเอง ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีบริหารจัดการเรื่องของอาหารการกินที่ต่างกันออกไป อาจขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล เหมือนกับที่ป้าหน่อยบอกไว้ว่า “เรื่องของการกิน มันคงต้องเลือกอาหารที่เข้ากับแต่ละบุคคลด้วย”

“ถ้าคนไม่มีเวลาก็ต้องรู้จักบริหารจัดการเวลาของตัวเอง สมมติเราไปถ่ายซิตคอมนัทกับนัท ตอน 8 โมงเช้าต้องถึงกองถ่ายแล้ว แต่เช้านี้เราอยากกินข้าวกล้องของเรา มันไม่ยากเลยเรื่องหุงข้าว พอเช้าตื่นขึ้นมาตั้งหม้อข้าว แล้วไปอาบน้ำ แต่งหน้า ทำผม แต่งตัว เวลาในการทำกิจวัตรประจำวันแค่นี้ ข้าวก็สุกแล้ว ถ้าเราทำให้เป็นกิจวัตรก็ไม่ใช่เรื่องลำบาก”

จัดตารางชีวิตให้ตัวเอง
ทุกอย่างมันต้องมีการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การเงิน กิจวัตรส่วนตัวต่างๆ ขึ้นอยู่กับการจัดการของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป เรื่องของการบริหารจัดการชีวิตจึงเป็นเรื่องที่คนเราต้องทำให้เกิดความเคยชิน ให้คุ้นเคยกับการจัดตารางชีวิตอย่างมีระเบียบ เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดจนเกินไป เพราะมัวมาแต่เคร่งครัดเรื่องของจัดการตัวเองในแต่ละวัน จึงต้องสร้างความคุ้นเคยให้แก่ตัวเองก่อน

“การเลือกวิธีการออกกำลังกายให้รวมอยู่ในกิจกรรมที่ทำอยู่ในขณะนั้น ต่างเป็นวิธีการบริหารจัดการดูแลตัวเองอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถเข้าไปแทรกได้ในทุกกิจวัตรที่เราทำอยู่เป็นประจำอย่างง่ายดาย แค่เราใส่ใจที่จะทำ”

“วันว่างเราชอบทำทุกอย่างอยู่ในบ้าน รื้อของ อันนู้น อันนี้ รื้อเสื้อผ้ามาซ่อม หรือไม่ก็รีดผ้า ชอบรีดเอง ส่วนใหญ่จะชอบทำอะไรต่างๆ อยู่ที่บ้าน บางทีมีคนเห็นเราอยู่ห้างสรรพสินค้าบ่อยๆ เพราะเราไปธุระ ไปแบงก์ในห้างบ้าง เราไม่ได้ไปห้างแต่บางครั้งเราต้องไป ส่วนใหญ่ไปเดินฆ่าเวลาระหว่างรอทำงาน เดินไปก็เหมือนกับออกกำลังกายไปด้วย”

“อาชีพอย่างเรา จะกิน จะนอนก็ไม่เป็นเวลา เราก็ต้องจัดการเวลาของเรา แต่เราเป็นคนนอนง่าย พอบอกว่าจะหลับก็หลับสนิทมาก ไม่มีการฝันอะไรเลย ถ้าเรามีเรื่องความเครียดเข้ามากวนใจ บางครั้งคนเราก็มีเรื่องที่มันไม่พอดี เพราะฉะนั้นความเครียดของทุกคนต้องมีอยู่แล้ว เมื่อเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจมันก็ต้องมีเครียดบ้าง แต่เครียดแล้วไม่ได้เงินจะเครียดไปทำไม ควรมองโลกในแง่บวกเข้าไว้ดีกว่า”

“ไม่ว่าจะทำงานอาชีพอะไร เราควรให้เวลาแก่ตัวเองสักนิดสำหรับการออกกำลังกาย เราควรออกกำลังกายให้เข้ากับตัวเอง จัดเสมือนเป็นคิวทำงานสักนิดหนึ่ง เพราะบางคนอาจจะมีโรคภัยไข้เจ็บ อย่างที่บอกหาเงินได้มากเท่าไหร่ก็จ้างคนมาป่วยแทนเราไม่ได้แน่นอน และเวลาจะออกกำลังกาย อย่ามีข้อแม้ว่า ไปไม่ได้ตอนนี้ ไม่มีเพื่อนไป ไม่ต้องรอเพื่อน มีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ไป”

เมื่อร่างกายแข็งแรง สิ่งต่างๆ ที่ดีในชีวิตก็จะตามมา ทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” ยังคงเป็นสัจธรรมซึ่งใช้ได้จริง ป้าหน่อยจึงเลือกที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีสุขภาพดีจึงมีงานออกมาให้แฟนละครได้ติดตามผลงานกันอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นซิตคอมเรื่อง นัทกับนัท และกำลังถ่ายละครยาวเรื่อง ลิขิตฟ้าชะตาดิน ทั้งยังมีภาพยนตร์เรื่อง บ้านผีปอบ รีฟอร์เมชัน ซึ่งกำลังเข้าฉายอยู่ตอนนี้
 
 
 
 
 

 
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี




กำลังโหลดความคิดเห็น