xs
xsm
sm
md
lg

ฐานเงินเดือน 15,000 บาท กับข้าราชการไทย ‘เช้าชามเย็นชาม’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าสมัครงานที่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงซักถามประวัติ สัมภาษณ์ตามระเบียบ ในหัวข้อสัมภาษณ์มีข้อหนึ่งถามว่ามีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ ชายหนุ่มรีบตอบเจ้าหน้าที่ทันทีว่าตนเองนั้นแพ้สารกาเฟอีน รวมทั้งไปเป็นทหารเกณฑ์ร่วมประจำการที่อิรัก โดนสะเก็ดระเบิดขาขาดไปข้างหนึ่ง เมื่อเจ้าหน้าที่รู้ข้อมูลทั้งหมดก็ยักหน้าหงึกหงักแล้วบอกเงื่อนไขการทำงานว่า

“ผมพอใจ คุณผ่านเข้ารับการทำงานที่นี่ จะให้คุณเริ่มงานพรุ่งนี้ โดยช่วงเวลาทำการของเราคือ 08.00 - 16.00 น. แต่สำหรับคุณ ผมอนุญาตให้เริ่มทำงานได้ตั้งแต่เวลา 10.00 น.”

หนุ่มน้อยทำหน้าสงสัย จึงถามไปว่า ถ้าหากเวลาทำงานคือ 08.00 - 16.00 น. แล้วทำไมจึงให้ตนเริ่มงานตอน 10.00 น.
เจ้าหน้าที่รีบชักสีหน้าใส่ ก่อนจะบอกพนักงานใหม่ว่า

“นี่เป็นงานข้าราชการนะคุณ 2 ชั่วโมงแรกแค่กินกาแฟนั่งกระดิกขาเล่น ในเมื่อคุณแพ้ทั้งกาเฟอีน ขาก็เหลือข้างเดียวคงจะไม่สะดวก แล้วจะรีบมาแต่เช้าทำไม ดีไม่ดีกว่าจะเริ่มงานจริงๆ อีกทีก็ 11 โมงโน่น ไหนต้องอัปเฟซบุ๊ก เลี้ยงหมู กับเก็บผักอีก...”

มุกตลกข้างบนเป็นกระทู้ที่อยู่บนโลกโซเชียลมีเดีย มาได้พักใหญ่ ถึงแม้จะเป็นเพียงเรื่องขำขันที่หยิบแกมหยอกวงการราชการไทยอย่างสนุกอารมณ์ แต่ต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นเสียงจากประชาชนที่สะท้อนให้เห็นถึงตลกร้ายที่อยู่ในคราบของ ‘ข้าราชการไทย’ สำหรับภาพลักษณ์ที่ผ่านมา

ในฐานะของประชาชน คงไม่มีใครไม่เคยรู้ถึงกิตติศัพท์ที่โด่งดังของข้าราชการไทยที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม และกำลังจะได้ขึ้นเงินเดือน เพราะในเดือนมกราคม 2555 เปิดรับศักราชใหม่ ข้าราชการน้อยใหญ่ก็ได้มีเฮ เมื่อรัฐบาลอนุมัติออกมาแล้วสำหรับมาตรการขึ้นเงินให้แก่ลูกจ้างข้าราชการที่มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรีให้เป็น15,000 บาท รวมถึงที่วุฒิการศึกษาไม่ถึงก็มีเอี่ยวขยับปรับตาม

ถึงแม้เป็นเรื่องที่ต้องยินดีด้วย แต่อะไรคือหลักประกันว่าประสิทธิภาพการทำงานของบุคคลเหล่านี้จะขยับขึ้นไปบ้าง เพราะเท่าที่ผ่านมา ทั้งเรื่องของความล่าช้าในการปฏิบัติงาน การบริการที่ไม่เต็มที่ ซึ่งข้าราชการทำเหมือนประชาชนเป็น ‘ลูกไล่’ ของตนเอง โดยไม่ได้ตระหนักถึงว่าจริงๆ แล้วเงินเดือนที่ตนเองรับอยู่นั้นส่วนหนึ่งก็มาจากภาษีที่ตายายแก่ๆ งกๆ เงิ่นๆ ที่ตัวเองกำลังถลนตาใส่อยู่เช่นกัน

ซึ่งนอกจากความต้องการขั้นพื้นฐานเรื่องนี้แล้ว เป็นคำถามที่ว่า รัฐบาลวิเคราะห์ดีแล้วใช่หรือไม่กับความรวดเร็วในการอนุมัตินโยบายประชานิยมอย่างนี้

นโยบายเหวี่ยงแห....หนทางที่แย่ หรือสิ่งควรยินดี

“เพราะรัฐบาลไม่ได้คุย หรือทำข้อตกลงอะไร เพื่อเป็นสิ่งกระตุ้นให้ข้าราชการเพิ่มขีดความสามารถของตนเองเลย ผลงานอะไรก็ไม่ต้องมี คนที่ได้รับเงินมาง่ายๆ กับการทำงานแบบเดิมก็จะยิ่งไม่สนใจงานเข้าไปใหญ่ ยิ่งเร่งประสิทธิภาพให้น้อยลงไปด้วย เราจะไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี เพราะมันไม่ได้ตั้งอยู่บนการออกแบบที่ดีเช่นกัน สิ่งที่จะได้มาก็เหมือนลมเพลมพัด เป็นเรื่องของความบังเอิญ ไม่ได้มีแบบแผน หรือเป็นไปตามนโยบายภายในที่ข้าราชการควรมี”

ปฐม มณีโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ และคณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจและรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต ฉายภาพปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมทั้งบอกอีกว่า นโยบายของรัฐบาลที่เพิ่มเงินเดือนในแก่ข้าราชการในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องมีการวิจัย เพราะหลังจากเริ่มใช้แล้วจริงๆ คงต้องเตรียมแก้ปัญหาหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐบาลไม่ได้กังวลเรื่องของหลักเศรษฐกิจเท่าไหร่นัก เพียงแต่ตั้งใจจะทำให้ได้อย่างที่หาเสียงไว้ในตอนเลือกตั้งเท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อก็มีมาก

นโยบายขึ้นเงินเดือนโดยการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการทันทีในปี 2555 ดังกล่าว ลืมคำนึงว่าผลที่ได้รับจะเกิดผลทางบวกหรือทางลบ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จะทำให้แก้ปัญหายากมากขึ้นไปอีก เพราะไม่มีมาตรการกำกับดูแล ปฐมมองถึงแนวทางที่แก้ไขในตอนนี้

“มาตรการเดิมเรื่องการเพิ่มเงินเดือนให้เหมาะสมอยู่แล้ว โดยดูจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายตัว เช่น ค่าครองชีพ และอะไรอีกหลายๆ อย่าง มีไตรภาคีซึ่งกำกับเรื่องมาตรฐานการครองชีพของแต่ละจังหวัดที่ออกมาไม่เท่ากันอย่างละเอียด แต่นโยบายของรัฐบาลเป็นการคิดแบบเหมาโหล ควรจะคิดให้รอบคอบ ผมมองเห็นถึงความปรารถนาดีที่จะช่วยเพิ่มค่าครองชีพของคน แต่มันติดขัดตรงวิธีการคิด เรามีทั้งคอมพิวเตอร์ ทั้งนักเศรษฐศาสตร์ ไว้ให้คำนวณอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรทำให้เป็นเรื่องที่เฉพาะเจาะจงได้ ไม่อยากให้รีบร้อนเกินไป

“บางคนอาจเชื่อรัฐบาลและพลอยเห็นด้วย บางคนที่เขาไม่เห็นด้วยก็มี เพราะพื้นที่แต่ละพื้นที่ความต้องการเขาต่างกัน แต่มาให้เขาเท่ากัน แล้วมันไม่เป็นธรรม ไม่ถูกต้องตามหลักการกำหนดการกระจายรายได้ เราต้องคัดคนที่เดือดร้อน จำเป็นเร่งด่วนจริงๆ ไม่ใช่เหวี่ยงแหอย่างนี้ อยากให้หยุดคิด เพราะการทำนโยบายสาธารณะที่ดี มันต้องมองให้ลึก มองปัญหาระยะสั้น ต้องเป็นนโยบายที่รอบคอบ”

สวัสดิการเด่น เงินดี แต่ช้า ต้องข้าราชการไทย

ยิ่งข่าวเรื่องการขึ้นเงินเดือนออกมาชัดเจนเช่นนี้ ยิ่งทำให้หลายคนที่สนใจอยากทำงานราชการ ตาลุกวาวยิ่งกว่าเดิม เพราะต้องยอมรับเลยว่า ถ้าได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการแล้ว สวัสดิการดี เงินเดือนมั่นคง เป็นที่นับหน้าถือตาในวงสังคมทั่วไป เช่นเดียวกับ นันทวดี วิเวกจวง พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ผู้เคยผ่านการสอบ ก.พ. (คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน) มาแล้ว เปิดเผยว่า สาเหตุที่อยากรับราชการเพราะต้องการทำงานในจังหวัดบ้านเกิดของตนเอง อีกทั้งที่ผ่านมานั้นงานราชการใครๆ ต่างก็อยากเข้ามาทำงาน เพราะมีสวัสดิการที่มั่นคงทั้งต่อตนเองและครอบครัว จึงเป็นเหตุผลง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่ต้องการความหวือหวาในชีวิตมากนักให้หันเข้าหาเส้นทางในวงการนี้

“งานราชการมันมั่นคง ทั้งกับตัวเราเองและครอบครัว ง่ายๆ เลย คือถ้าเราหรือพ่อแม่เป็นอะไรก็สามารถเบิกได้ ถึงแม้ความก้าวหน้าในอาชีพการงานมันจะช้า”

สำหรับการขึ้นค่าครองชีพราชการเป็น 15,000 บาทนั้น นันทวดีแสดงความคิดเห็นว่าเป็นการดีต่อผู้ที่รับราชการอยู่แล้ว แต่ในฐานะนักศึกษาปริญญาตรีจบใหม่ หรือผู้ที่อยากสอบเข้ารับราชการอาจเกิดข้อจำกัดทางกำลังคนที่มากขึ้น และมีการใช้เส้นสายเพื่อเข้ามาในแวดวงราชการเพิ่มขึ้นอีกด้วย

“มันดีกับคนที่เป็นราชการอยู่แล้ว เพราะเงินเขาจะมีการปรับขึ้นกันทั้งระบบ แต่ถ้ามองในแง่ของคนที่จบใหม่มันไม่ดี ราชการก็มีกันอยู่เยอะ เขาก็ต้องเอางบมาลงกับส่วนนั้นก้อนใหญ่ ใช้เงินจำนวนมากในการจ่ายให้พวกเขา แล้วทีนี้เราก็มองว่าอัตราการบรรจุเข้าเป็นข้าราชการของพวกนักศึกษาจบใหม่มันก็จะน้อยลง เพราะงบมันหมดไปกับตรงนั้นเสียเยอะแล้ว คนที่จะเข้ารับราชการได้มันก็จะน้อยลง และยากมากขึ้นด้วย”

ซึ่งในด้านประสิทธิภาพการทำงาน ไม่ว่าจะมีการปรับขึ้นเงินเดือนขึ้นหรือไม่ แต่หากผู้ปฏิบัติงานขาดจิตสำนึกในการทำงาน จำนวนเงินที่เพิ่มก็คงไม่ได้ช่วยกระตุ้นเตือนให้เจ้าหน้าที่รัฐปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานบริการประชาชนมากเท่าไร เพราะทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่จิตสำนึกของแต่ละคน

“ยอมรับว่าเงินมันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทุกคนต้องการ เป็นแรงจูงใจในการทำงาน แต่ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับสำนึกนะ คือว่าคนไม่ทำเขาก็ไม่ทำต่อให้เงินเดือนมากแค่ไหนก็ไม่ทำ ราชการเงินเดือนเยอะ สวัสดิการดี ก็น่าจะทำงานให้สมกับเงินเดือนที่ได้รับ”

15,000 บาท ในสายตาประชาชนผู้รับบริการ

แม้การขึ้นเงินเดือนแก่ข้าราชการจะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าพนักงานรัฐโดยตรง แต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและมีผลกระทบโดยตรงยิ่งกว่าสำหรับประชาชน เพราะทุกคนก็ล้วนต้องเข้ารับบริการด้านรัฐสวัสดิการ เรียกว่าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอนก็ว่าได้ ดังนั้น เมื่อเงินส่วนหนึ่งที่จ่ายเป็นเงินเดือนแก่ข้าราชการมาจากภาษีของประชาชนที่ต้องเสียไป ผลที่ชาวบ้านตาดำๆ อยากได้รับกลับคืนคงเป็นงานบริการที่มีคุณภาพและจริงใจที่มากขึ้นตามไปด้วย

สำหรับในสายตาคนไทยคนหนึ่งที่เฝ้าติดตามความเปลี่ยนแปลงอัตราเงินเดือนข้าราชการที่กำลังจะปรับขึ้นเป็น 15,000 บาท อย่าง ปกรณ์ วงศ์ลำปาง ตอบอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า เขาคือผู้หนึ่งที่รู้สึกไม่เห็นด้วย และไม่อยากให้มีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการแบบก้าวกระโดดครั้งนี้เลย ในเมื่อทุกครั้งที่เข้ารับการบริการรู้สึกว่าการทำงานของข้าราชการที่ผ่านมายังไม่เป็นที่น่าพอใจ ทั้งความล่าช้า ความตั้งใจ และมารยาท

“ไม่เห็นด้วย เพราะว่าวันๆ หนึ่งไม่เห็นเคยจะทำอะไรกันเลย ถ้าจะขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เปลี่ยนมาเป็นลดค่าครองชีพดีกว่า”
ซึ่งเมื่อถามไปถึงประสบการณ์แย่ๆ เมื่อเข้ารับการบริการจากหน่วยงานภาครัฐ ปกรณ์เล่าว่า เข้าติดต่องานราชการมาหลายครั้ง เรื่องอัธยาศัยหรือมารยาทเป็นสิ่งที่ไม่น่าประทับใจมากที่สุด

“เวลาไปติดต่อทำธุระด้วยจะเจอบ่อย ในบางครั้งก็ช้า บางครั้งก็พูดจาไม่ดี เหมือนอารมณ์หงุดหงิดใส่เรา ถ้าปรับเงินเดือนขึ้นเป็น 15,000บาท แต่ประสิทธิภาพไม่ต่างจากเดิม ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”

...........

จริงๆ แล้วเชื่อว่าหลายๆ คนก็พลอยยินดีไปด้วยเมื่อข้าราชการไทยจะได้มีเงินเดือนที่สูงกับเขาเสียที เพราะอย่างที่รู้ ถึงแม้สวัสดิการจะดีไม่ใช่เล่น แต่กว่าจะเติบโต หรือกว่าจะได้ขึ้นเงินเดือนก็ยากเย็นแสนเข็ญนัก จนบางครั้งหลายคนก็เอามาลงกับการทำงาน ทำให้ไม่เต็มที่บ้าง ใส่อารมณ์กับประชาชนบ้าง ครั้งนี้เองจะได้เป็นตัวการันตีแล้วว่า ในเมื่อคุณพร้อมขึ้นแล้ว สิ่งที่ข้าราชการไทยต้องลบคือภาพร้ายๆ เก่าๆ ทิ้งไปให้หมดเสีย เพราะงบประมาณในส่วนที่จะเอามาเพิ่มเป็นเงินเดือนแก่ข้าราชการนั้น หากไม่นำมาใช้ตรงนี้ ยังสามารถเอาไปพัฒนาประเทศในด้านอื่นได้อีกมาก

>>>>>>>>>>>

……….

เรื่อง : ทีมข่าว CLICK

กำลังโหลดความคิดเห็น