เธอคนนั้นโบท็อกซ์หรือศัลยกรรม ? คำถามที่อาจจะยังมีคำตอบไม่ชัดเจนกับความสวยของผู้หญิงสมัยนี้ แต่ในทางกลับกันใครจะรู้ว่า เรื่องของ “โบท็อกซ์” ที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระของคนอยากสวย กลับมีประโยชน์อย่างมากในทางการแพทย์
กลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของคนที่รักสวยรักงาม บ้างคางเรียวแหลม บ้างจมูกเป็นสันได้รูป หน้าอ่อนกว่าวัยไปหลายสิบปีทีเดียว นี่คงเป็นเพียงบางส่วนที่ทำให้คนที่ต้องการดูดีจนลืมไปว่าเรื่องราวของโบท็อกซ์ ทำได้มากกว่าคนที่ต้องการดูดีในชั่วพริบตา
มารู้จัก “โบท็อกซ์”
พูดกันอยู่ติดปากกันแทบจะทุกวันว่า “โบท็อกซ์” แต่แท้จริงแล้ว โบท็อกซ์ไม่ได้เป็นชื่อสินค้าอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ซึ่งโบท็อกซ์ เป็นสารชีวภาพชนิดหนึ่ง คือ “โบทูลินัม ท็อกซิน เอ” ซึ่งได้มาจากสารพิษที่พบในแบคทีเรีย ในช่วงแรกที่มีการถูกค้นพบ การทำโบท็อกซ์มีจุดประสงค์หลักในการช่วยเหลือผู้คนในการรักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อตา อาการตาเหล่ ตาเข ไปจนถึงการรักษาอาการปวดของบริเวณต่างๆ ที่ผิดธรรมชาติ
“โบทูลินัม ท็อกซิน ออกฤทธิ์โดยการไปแย่งจับสารสื่อประสาทบริเวณส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงไม่หดตัว โดยจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน และเห็นผลสูงสุดในเวลา 7-14 วัน ” แพทย์หญิงนิโลบล เจริญวุฒิ หรือ คุณหมอหลิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเลเซอร์ ศูนย์ผิวพรรณและเลเซอร์ ศิริตาคลินิก อธิบาย
การฉีดโบท็อกซ์มาฮือฮาอย่างจริงจัง เมื่อครั้งที่องค์การอาหารและยา ของสหรัฐฯ อนุมัติให้ใช้ “โบท็อกซ์” เพื่อประโยชน์ในความงาม ในปี 2545 และมีวิธีเทคนิคที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งการนำมาฉีดบริเวณใบหน้า เพื่อยกกระชับผิวหนัง ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ และเป็นที่น่าทึ่งว่า ในสหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวที่มีการฉีดโบท็อกซ์เป็นจำนวนล้านๆ ครั้งต่อปี
เมื่อมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย “โบท็อกซ์” จึงถูกอนุมัติให้ใช้ประโยชน์เพื่อความสวยงามได้ตั้งแต่เดือน เมษายน ปี 2545 ทำให้สร้างความฮือฮาให้แก่แวดวงความสวยงามมาจนถึงปัจจุบัน จนหลงลืมกันว่าประโยชน์ทางการแพทย์แท้จริงของโบท็อกซ์นั้นเป็นอย่างไร
เริ่มมีการยอมรับอย่างจริงจังกันมากขึ้น สำหรับการฉีดโบท็อกซ์ ที่สามารถยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ที่เกิดจากการหดตัว ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์บ่อยครั้งจนเกิดเป็นริ้วรอยบนใบหน้า เราสามารถใช้โบท็อกซ์ในการรักษารอยย่น เพื่อยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดรอยย่นนั้นทำงานได้น้อยลง และเชื่อว่าคนที่เขาไปฉีดเพื่อลดรอยย่นนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป เพื่อให้ตนเองดูสวยใส ใบหน้าอ่อนเยาว์
คุณหมอหลิน ให้คำอธิบายเอาไว้ว่า การทำงานโดยทั่วไปของโบท็อกซ์นั้นจะอยู่ได้นาน 3-6 เดือน ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าต้องการฉีดรักษาอาการอะไร ฉีดบริเวณใด การฉีดต้องดูว่า ผู้รับการรักษานั้นจะอายุเท่าใด ซึ่งการที่ผลการรักษาอยู่ไม่ถาวรนั้น อันที่จริงอาจจะนับได้ว่าการฉีดโบท็อกซ์เป็นข้อดี เพราะหากผลที่ได้รับไม่เป็นที่น่าพอใจ โบท็อกซ์จะสลายไปเอง
“โบท็อกซ์” หัวจดเท้า
การทำโบท็อกซ์ ประโยชน์ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของความสวยงามอย่างเดียว ลองกลับไปนึกถึงประโยชน์ของการฉีดโบท็อกซ์ตั้งแต่แรกที่ผู้คิดค้นมีไว้เพื่อการรักษาโรค
คุณหมอหลินบอกเอาไว้ว่า การทำหน้าที่ของโบท็อกมีประโยชน์มากกว่าใบหน้าที่ทำเพื่อความสวยงาม เริ่มต้นที่ส่วนของหน้าผาก รอยย่นบริเวณนี้เกิดจากการแสดงอารมณ์ เวลาเรายักคิ้ว หรือเวลาเครียด ซึ่งจำเป็นต้องฉีดให้ตรงกับรอยย่นที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นจุดที่ฉีดแล้วผลของการรักษาจะได้ยาวนานกว่าส่วนอื่นๆ อาจจะอยู่ได้นาน 8-10 เดือน เพราะเราไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อส่วนนี้เป็นประจำทุกวัน
ตีนกา รอยย่นที่บ่งบอกวัยที่ร่วงโรย เช่นกันการฉีดบริเวณตีนกาก็ต้องฉีดในส่วนที่เป็นรอย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นริ้วรอยที่ปรากฏได้ง่าย เวลายิ้ม เป็นจุดที่ฉีดเข้าไปแล้วจะเกิดรอยย่นได้เร็วที่สุด เป็นส่วนที่แสดงออกทางอารมณ์ได้เป็นอย่างดีและกล้ามเนื้อบริเวณนี้ทำงานหนัก
จมูก อาจจะเป็นการฉีดเพื่อลดขนาดของปีกจมูก หรือเพื่อเป็นการเติมให้จมูกดูมีสันและโด่งขึ้น คล้ายกับการทำศัลยกรรม แต่เป็นการเสี่ยงน้อยกว่าการทำศัลยกรรม
ภัททิรา พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ที่มีประสบการณ์กับการทำโบท็อกซ์เพื่อเสริมจมูก เล่าให้ฟังว่า ตนเองมีความคิดที่อยากจะทำโบท็อกซ์เกิดจากความคิดของตนเองที่คิดอยากจะสวย และเกิดจากแรงยุยงของเพื่อนที่เคยทำแล้วสวยขึ้น
“เราทำตอนแรกเราคิดก่อนคะว่าเราอยากจะสวย และเกิดจากแรงยุ จากเพื่อนที่เคยทำ เขาก็คอยบอกเราตลอดว่า ถ้าเราไปทำอีกนิดก็จะสวยขึ้นนะค่ะ ตอนนั้นก็ตัดสินใจอยู่เป็นปีเลย แล้วลองค้นศึกษาข้อมูลแล้วหาหมอที่มีฝีมือหลายๆ คนจนเราตัดสินใจทำเป็นครั้งแรก”
“ก่อนเข้าไปหาหมอ หมอจะพยายามอธิบายถึงวิธีขั้นตอนการทำอย่างละเอียด และนำเอารูปของคนที่เคยฉีดมาให้ดูรูปทรงของจมูกว่าเราต้องการแบบไหน ถ้าเราตัดสินใจทำก็ต้องขึ้นอยู่กับฝีมือการปั้นของหมอด้วยว่า หมอมีฝีมือดีแค่ไหน ถ้าปั้นผิดทรงก็จะเบี้ยว และได้อย่างที่เราไม่ต้องการ”
หลังจากที่เธอได้ตัดสินใจทำมากว่า 3 ครั้ง โดยประสบการณ์ในการทำครั้งแรกเธอเล่าว่า เพราะการทำครั้งแรกยังไม่มีประสบการณ์มากนัก จึงทำให้ได้จมูกผิดทรง ไม่ได้ตามที่ต้องการ ในวันรุ่งขึ้นเธอจึงไปแก้กับหมอคนใหม่ที่เพื่อนแนะนำมาอีกครั้งหนึ่ง
“ฉีดโบท็อกซ์ครั้งแรก เราเองไม่ทราบว่าเราควรฉีดในปริมาณเท่าไหร่ แล้วคุณหมอเองเค้าก็ฉีดให้เราเลย รวมถึงฝีมือการปั้นของคุณหมอไม่สวย ให้ยาเราน้อยด้วย ก็เลยไปให้หมอคนใหม่มาแก้ จมูกให้เรา ทิ้งไว้สักพักกว่าอาการข้างเคียงจะหาย แต่โชคดีที่เราไม่มีอาการมากนักเพราะมีเพียงแค่รอยเข็มที่หมอฉีดเข้าไป”
การฉีดโบท็อกซ์บริเวณจมูก หลายคนบอกว่าเป็นการทำเพื่อทดลองดูก่อนว่าจมูกรูปไหนเหมาะกับใบหน้าก่อนจะตัดสินใจทำศัลยกรรม เพื่อลดความเสี่ยงของการต้องตัดสินใจทำศัลยกรรมก่อนแล้วตามแก้ เป็นความเสี่ยงที่อาจจะทำให้จมูกพังได้
หน้าเรียว ลดกรามใหญ่ เป็นการฉีดในจุดที่เรียกว่าเป็นส่วนที่ผู้หญิงในปัจจุบันนิยมกันมากเทียบเท่ากับการทำจมูก แม้กระทั่งดารานักแสดงหลายคนที่มีรูปหน้าที่เปลี่ยนไป ก็มักพากันแห่ไปฉีดโบท็อกซ์ ซึ่งการฉีดบริเวณนี้ ในทางการแพทย์แล้ว ใช้ได้ผลดีกับผู้ป่วยที่มักมีอาการกัดฟันนอน การฉีดบริเวณนี้จะฉีดทั้งหมด 5 จุด ซึ่งคุณหมอจะให้คนไข้กัดฟันให้เกิดกล้ามเนื้อขึ้นมา และฉีดตรงบริเวณดังกล่าว เหมาะสำหรับผู้หญิงที่กรามใหญ่ เพื่อลดขนาดของกรามให้เล็กลง ใบหน้าจะเรียวขึ้น ส่วนอีกทางที่มีผลก็คือ เหมาะกับคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป เพื่อยกกระชับใบหน้าให้มีความเต่งตึง ไม่ห้อยย้อย โดยจะฉีดเข้าที่บริเวณขากรรไกร เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานน้อยลงและคงความอ่อนเยาว์
ฉีดเพื่อลดเหงื่อ ที่มีอยู่บริเวณ รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพราะเกิดจากการทำงานของต่อมเหงื่อที่มากเกินไป บริเวณนี้ฉีดประมาณ 20 จุด เหมาะกับคนที่มีปัญหาเหงื่อออกมากไม่ว่าจะอยู่ในห้องแอร์ การฉีดบริเวณใต้รักแร้เป็นการฉีดเพื่อเพิ่มความมั่นใจเวลายกวงแขนจะได้ไม่เกิดเหงื่อบริเวณใต้รักแร้ จนขาดความมั่นใจ
ฉีดเพื่อลดต้นขา เป็นการฉีดที่อาจจะแบ่งได้สองประเภท คือ ขาโตเพราะเกิดจากความอ้วน หรือ เกิดจากการที่บริเวณดังกล่าวมีกล้ามเนื้อ การฉีดลักษณะนี้จะฉีดในกรณีที่ขาใหญ่เพราะมีกล้ามเนื้อมาก เป็นบริเวณที่ต้องฉีดเป็นจำนวนบ่อยครั้งเพราะบริเวณนี้มีการใช้งานเป็นประจำ โดยเฉพาะสาวๆ ที่ใส่ส้นสูง
ผลร้ายที่คาดไม่ถึง
หากพูดถึงเรื่องผลข้างเคียงของการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อการรักษาโรค หรือการรักษาอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ หากไม่มีการรักษาที่ต้นเหตุและไม่ได้ฉีดเพื่อบรรเทาอาการอย่างต่อเนื่องนั้น อาการต่างๆ ของบริเวณกล้ามเนื้อก็จะกลับมาเยือนอีกครั้งอย่างแน่นอน
“ในกรณีที่มีการฉีดเพื่อความสวยงาม หากไม่ฉีดอย่างต่อเนื่องก็ไม่มีผลข้างเคียง แต่ริ้วรอยก็จะค่อยๆ ปรากฎขึ้นตามวัย ตามอายุที่มากขึ้น ซึ่งเป็นปกติของคนเรา”
หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ของผู้ที่รับการรักษานั้น สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงช่วงเวลาประมาณ 1-2 อาทิตย์ ไม่ควรทำกิจกรรมที่อยู่กลางแจ้ง หรือในสถานที่ที่มีอุณหภูมิร้อนอบอ้าว ใครที่ชอบออกกำลังกายก็ควรหลีกเลี่ยงการทำโยคะ ร้อน หรือการเข้ารับการเซาน่า เพราะจะมีผลต่อประสิทธิภาพของโบท็อกซ์ หรือระยะเวลาของการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์ก็จะสั้นลง
หมอหลินบอกว่า ผลข้างเคียงของการฉีดโบท็อกซ์มีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะอาการเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ เจ็บคอ มีอาการคล้ายเป็นหวัด ไปจนถึงอาการเจ็บปวดฟกช้ำและเกิดแผลช้ำบริเวณที่ฉีด เกิดอาการเปลือกตาหย่อน กล้ามเนื้ออ่อนแรง เนื่องจากโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์เพื่อระงับการทำงานของกล้ามเนื้อ
“ใครที่ฉีดบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึง ใบหน้าเป็นหน้ากาก เป็นคนไร้อารมณ์ เหมือนเวลาจะหัวเราะ ยิ้มก็จะหน้าเดิมๆ ไม่รู้ว่าตนเองนั้นยิ้ม หัวเราะ จะไม่แสดงออกทางสีหน้า ไร้ความรู้สึก เนื่องจากโบท็อกซ์ก่อให้เกิดอันตรายได้ง่ายมากๆ เมื่อตัดสินใจทำแล้วก็ต้องใช้ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และอยู่ในการดูแลของแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ และอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีเครื่องมือพร้อมรับกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้”
ผู้ที่ทำโบท็อกซ์ หมอหลินได้ให้คำแนะนำเอาไว้ว่า การทำโบท็อกซ์เป็นการทำที่จะต้องใช้วิจารณญาณของแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับปัญหาของผู้ที่ต้องการรับการรักษา นอกจากนี้แพทย์ผู้ทำการรักษาบางคนอาจจะทำเพื่อเสริมบุคลิกภาพและสร้างความมั่นใจให้แก่ตนเอง ซึ่งการทำบ่อยครั้งอย่างเป็นประจำนั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเสพติดคล้ายผู้ทำศัลยกรรมที่เมื่อไม่ได้ทำแล้วจะขาดความมั่นใจในรูปร่าง หน้าตา บุลิกของตนเอง
“การฉีดโบท็อกซ์เพื่อการรักษาโรค หรือการทำเพื่อความสวยงาม มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการรักษาของแต่ละบุคคล มิใช่เชื่อเพียงคำโฆษณา หรือใช้ราคาเป็นแรงจูงใจ หากผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเป็นยาที่ไม่ได้รับรองจากองค์การอาหารและยา ควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนและละเอียดรอบคอบ รับการรักษากับแพทย์ที่เชื่อถือได้ ฉะนั้นแทนที่จะทำและได้ความสวยคุณอาจจะได้ความซวยกลับมาแทนได้นะคะ” หมอหลินกล่าวทิ้งท้าย
ภาพและข่าว โดย Manager Lite /ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์