xs
xsm
sm
md
lg

คุณหนู “สีสะเหงียน” ไฮโซเมืองลาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไฮโซ ไฮซ้อ เมืองไทยอาจต้องชิดซ้าย หลบให้เธอคนนี้ “Sisangien Sihalath” หรือ “แอปเปิ้ล” สาวไฮโซจากนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว บ้านหลังโตๆ มีพี่เลี้ยงคอยรับใช้ดั่งเจ้าหญิง ขับรถมินิคูเปอร์ มีเงินเหลือๆ ที่จะใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด พ่อแม่ตามใจ ไม่ต้องทำอะไรก็สบายไปตลอด... แต่ชีวิตคุณหนูก็ทำให้แอ๊ปเปิ้ลเรียนรู้อะไรได้หลายอย่าง เธอเปลี่ยนชีวิตตัวเองจากความหรูหรา ฟุ่มเฟือยมาสุ่ความมุ่งมั่นทั้งการเรียนและการงาน

-----------------------------------------------------------------------------------

M-Lite นัดหมายกับเธอในอาณาจักรแมตชิ่ง บนถนนสุโขทัยซอย 6 วันนี้เธอมาทำงานพิธีกรรับเชิญ ในรายการ Double Cheeze ซึ่งเป็นรายการแรกที่ทำให้เราสังเกตถึงใต้ตัวหนังสือในรายการแนะนำพิธีกรว่าเธอคนนี้ “From Lao” และนั่นยิ่งทำให้เริ่มสงสัยว่าเธอก้าวมาทำงานในวงการบันเทิงเมืองไทยได้อย่างไร

“ผู้หญิงตัวเล็ก ผิวขาว ผมสั้นตามสไตล์วัยรุ่นทั่วไป เธอปรากฏกายมาในชุดนักศึกษา พร้อมกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ ออกตัวทักทายทีมงานและคนอื่นๆ ในห้องแต่งตัว ด้วยสำเนียงไทยชัดเจน ก่อนจะขอตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า และออกมาด้วยเสื้อผ้าในแนวสตรีทแฟชั่นด้วย เสื้อยืดสีขาวสกรีนลาย กางเกงขาสั้นสีเขียวขับสีผิวให้ยิ่งแลดูขาวเปล่งประกาย แต่งหน้าปัดแก้มเล็กน้อย และพร้อมที่จะมาให้ ทุกคนได้รู้จักตัวตนของเธอไปพร้อมๆ กัน...

ครอบครัวสามใบเถา

เมื่อ 4 ปีก่อน หลังจากที่แอปเปิ้ลเรียนจบโรงเรียนไฮสกูลที่ลาว ทำให้เธอต้องตัดสินใจหาที่เรียนต่อ ทั้งอเมริกา แคนาดา และเมืองไทยก็เป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกที่เธอจะสามารถตัดสินใจมาเรียนได้

“เปิ้ลมาอยู่ที่เมืองไทยตั้งแต่เปิ้ลเรียนจบไฮสกูลที่ลาวเลยค่ะ ตอนแรกเปิ้ลเองก็มีแพลนว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนดี เพราะพี่สาวเปิ้ลเองก็อยู่ที่แคนาดา คิดไปคิดมาที่บ้านมีลูกสาว 3 คน ตัวเองเป็นลูกสาวคนกลาง ก็เลยรู้สึกเป็นห่วงคุณพ่อกับคุณแม่ที่อยู่ลาว ถ้าเราไปเรียนที่ไกลๆ ก็จะไม่มีใครดูแลท่านเพราะที่ผ่านมาคุณพ่อก็ป่วย เปิ้ลเองก็ต้องบินกลับไปดูแลคุณพ่อแทนคุณแม่ เพราะแม่ไปงานรับปริญญาพี่สาวที่แคนาคา”


เหตุผลที่ทำให้เธอเลือกมาเรียนเมืองไทย นอกจากจะเพราะเธอเป็นห่วงครอบครัวแล้ว เธอยังบอกอีกว่า เมืองไทยกับเมืองลาวก็เปรียบเสมือนเมืองพี่เมืองน้องกัน บ้านใกล้เรือนเคียง บินกลับไปมาใช้เวลาไม่นาน และเมืองไทยก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการมาเรียน


ในครอบครัวสีหะราชแอปเปิ้ลเป็นลูกสาวคนกลางโดยมีพี่สาวคนโตซึ่งอายุห่างกัน 2 ปี และน้องสาวคนเล็กห่างกัน 7 ปี ในช่วงที่คุณพ่อต้องอยู่ที่ประเทศลาวเพียงลำพัง การมาอยู่เมืองไทยจึงทำให้เธอสะดวกต่อการกลับไปดูแลคุณพ่อมากขึ้น


“พี่สาวคนโตอยู่ที่แคนาดา และตอนนี้น้องสาวคนเล็กก็ไปเรียนซัมเมอร์ที่แคนาดา ตอนนี้แม่ก็บินไปรับปริญญาพี่สาวที่แคนาดา เราก็เลยอาศัยช่วงแบบนี้แหละที่สะดวกไปมาหาพ่อได้เวลาที่ไม่มีใครดูแลท่าน เราก็สแตนด์บายรอเลย เมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณพ่อความดันต่ำ ก็ธุรกิจที่บ้านเยอะเราก็เลยต้องกลับไปช่วยหยิบๆ จับๆ บ้าง ”

ชีวิตคุณหนู ไฮโซ

ธุรกิจของครอบครัวสีหะราชที่นครเวียงจันทน์ ประเทศลาว นอกจากคุณพ่อจะเปิดเกสต์เฮาส์ที่ชื่อ “สีสะหง่า” ซึ่งเป็นชื่อของคุณแม่แล้ว ยังมีธุรกิจดิสทริบิวเตอร์นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดังรายใหญ่ของลาวอีกด้วย ซึ่งเป็นธุรกิจของคุณแม่ ทุกธุรกิจของครอบครัวจะใช้ชื่อว่า “สีสะหง่า” เพราะคุณพ่อให้เกียรติคุณแม่ ให้ธุรกิจเป็นชื่อคุณแม่ทุกแห่ง


ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสามใบเถาของบ้าน รักกันมาก แม้ว่าจะอายุห่างจากคนเล็กมากก็ตาม เธอบอกว่า ในตอนเด็กเคยคิดว่าตัวเองเป็นลูกคนเล็ก แต่อยู่ๆ ก็มีน้องขึ้นมา อยู่บ้านกับพี่สาวก็อาจจะมีทะเลาะกันบ้าง แต่เมื่อพี่สาวไปเรียนต่อต่างประเทศ ยิ่งทำให้เธอคิดถึงพี่สาวมากยิ่งขึ้น


ชีวิตความเป็นอยู่ที่ประเทศลาวของเธอเรียกได้ว่าเกิดมาเพียบพร้อมและมีทุกอย่างรองรับ ไม่ว่าจะบ้าน รถ คนรับใช้ พี่เลี้ยงคอยดูแล มีคนคอยทำทุกอย่างให้จนกลายเป็นคุณหนู

“อยู่ที่ลาวมีคนคอยทำทุกอย่างให้ ที่นู้นเค้าเรียกว่ามีแม่เลี้ยง (คนดูแล) ตื่นมาก็มีคนทำกับข้าวให้กิน ตื่นนอนมีคนทำทุกอย่างให้ อยู่ที่บ้านจะออกไปไหนก็ได้ ขับรถไปไหนก็ไป เอารถคันไหนออกไปก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน อยากได้อะไรก็มีคนซื้อให้

มีมินิคูเปอร์เป็นของตัวเอง อยู่ที่บ้านเหมือนคุณพ่อคุณแม่ตามใจทุกอย่าง ขอเงินเท่าไหร่ก็ให้ จนคุณพ่อบอกว่าขอบ่อย ก็เลยให้กุญแจตู้เซฟที่เก็บเงินของครอบครัวเอาไว้ให้ลูกๆ ทุกคนเป็นเซฟเงินประจำบ้าน เราสามารถหยิบเงินเท่าไหร่ก็ได้ คุณพ่อคุณแม่ก็เหมือนหยิบเอาเลยลูกเท่าไหร่ก็ได้ พวกเราก็ไม่มีแบบการขโมย หรือการจะเอาเงินเยอะเกินไป เอาเท่าที่เราอยากได้ เมื่อก่อนเราอยากได้เราก็ขอพ่อ พ่อก็ให้ตลอด พ่อก็เลยเอากุญแจตู้เซฟให้เลย เราก็ไม่รู้วันหนึ่งเราใช้เงินไปเท่าไหร่”
มองพฤติกรรมเหล่านี้ของแอปเปิ้ลก็ไม่ต่างจากคุณหนูที่มีคุณพ่อคุณแม่คอยตามใจตลอดเวลา เธอบอกว่า การที่พ่อแม่ทำแบบนี้ จนรู้สึกและสำนึกได้ด้วยตนเอง

“จะเรียกว่าเปิ้ลเป็นคุณหนูก็ได้นะ เพราะเราไม่ต้องทำอะไรเอง มีคนคอยทำให้ทุกอย่าง มันสบายมาก เดือนหนึ่งเราใช้จ่ายเยอะมาก มันทำให้เราฟุ่มเฟือย เลี้ยงเพื่อนบ้าง อาทิตย์หนึ่งเปิ้ลจะได้เงินเป็นอาทิตย์ อาทิตย์ละ 5,000-7,000 บาท หรือไม่ก็แล้วแต่เราจะใช้ เพราะกุญแจตู้เงินอยู่ที่เรา”


จัดระเบียบการใช้ “เงิน”

การมาใช้ชีวิตในเมืองไทย ทำให้คุณหนูของบ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองจนทุกคนในครอบครัวตกใจ และประทับใจที่เธอเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาก


แอปเปิ้ลบอกว่า เมื่อตัดสินใจมาอยู่ที่เมืองไทยก็ต้องทำเองทุกอย่าง ไม่มีคนตามใจ หรือว่าเอาใจ สิ่งแรกที่ต้องปรับตัวเลยก็คือ ต้องหัดทำงานบ้านเอง จัดระเบียบการใช้ชีวิตของตัวเองใหม่ทั้งหมด ต้องหัดช่วยเหลือตัวเองบ้าง ไม่มีใครมาคอยทำอะไรให้เหมือนอยู่ที่บ้าน


นอกจากชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนกันใหม่แล้วยังมีเรื่องของการใช้เงิน ที่ต้องทำให้ตัวเองมีระเบียบกับการใช้จ่ายให้มากขึ้นกว่าเดิม แม้ว่ามาอยู่เมืองไทยพ่อและแม่จะโอนเงินมาให้ตลอด อย่างไรก็ตามก็ต้องหัดใช้เงินให้เป็นมากกว่าเดิม


“อยู่บ้านเราสามารถหยิบเงินเท่าไหร่ก็ได้ คุณพ่อคุณแม่ก็เหมือนหยิบเอาเลยลูกเท่าไหร่ก็ได้ พวกเราก็ไม่มีแบบการขโมยหรือหยิบเยอะเกินไป จนเราก็ไม่รู้วันหนึ่งเราใช้เงินไปเท่าไหร่ เมื่อเรามาอยู่เมืองไทย พ่อแม่โอนเงินมาทุกเดือนจ้า ในตู้เอทีเอ็ม แล้วเงินในเอทีเอ็มมันก็มีวันหมดอ่ะนะก็เลยต้องใช้มีระเบียบมากๆ ไปไหนซื้อของ เราไปซื้อของก็ซื้ออย่างสบายใจ แต่ตอนนี้เราก็ต้องกลับมาคิดให้มากขึ้นว่าเราอยากจะได้อะไรบ้าง ต้องมาปรับไลฟ์สไตล์ตัวเองทุกอย่าง มาอยู่นี่ต้องล้างจานเอง ตอนนั้นมีครั้งนึงที่เรากลับบ้านแล้วเราก็กินข้าวอยู่คนเดียว เราก็ขี้เกียจเรียกเขามาล้าง เราก็หยิบไปล้างเอง พ่อกับแม่ก็ตกใจ เราก็คิดว่านิดหน่อยเราก็ล้างเอง พ่อแม่ก็แฮปปี้มากที่เราเปลี่ยนไปแบบนี้ ”


ถึงแม้จะดูว่าครอบครัวนี้จะเลี้ยงลูกแบบตามใจ แต่สิ่งหนึ่งที่แอปเปิ้ลบอกว่าคุณพ่อได้ปลูกฝังให้แก่พวกลูกๆ อย่างมากก็คือ “อย่าดูถูกคนอื่น”


“พ่อจะบอกเสมอค่ะว่าพ่อไม่ได้เป็นคนมีเงินมาตั้งแต่เกิด พ่อเองเคยเปิดร้านไอศกรีมมาก่อน แล้วก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เราเองก็รู้ว่าพ่อเราไม่ได้รวยมาตั้งแต่แรก เราควรใช้ประหยัด คือ ทุกคนสามารถจนแล้วก็รวยได้นะ เราจะไม่กล้าดูถูกคนจนเลยนะ เพราะพ่อเราก็เคยจนมาก่อน วันหนึ่งพ่อเราเลี้ยงเรามาแบบดีทุกอย่าง เราจะไม่ดูถูกคนอื่น เพราะคนจนคนนั้นสักวันเขาจะเป็นคนรวยแล้วเขาจะมีทุกอย่าง เหมือนพ่อเราทุกวันนี้ หนูจะคิดตลอด เห็นคนจนแล้วเราก็คิดว่าสักวันเขาก็ต้องรวยแน่เลยเพราะเห็นเค้าตั้งใจทำงานมากเลย เหมือนพ่อเราทำงาน พ่อจะสอนมาแบบนี้ตลอดเลยค่ะ มีพ่อเป็นฮีโร่เป็นซูเปอร์แมนเลยค่ะ ”


เรียนเพื่อต่อยอดธุรกิจครอบครัว

ตอนนี้เปิ้ลกำลังเรียนที่คณะบริหารธุรกิจ ทางด้านการตลาด มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ภาคอินเตอร์ฯ ที่เธอตัดสินใจเรียนทางด้านการตลาดเพื่อจะนำเอาไปต่อยอดและพัฒนาธุรกิจให้แก่ครอบครัว และเธอก็ทำหน้าที่ของเธอได้ดีทีเดียว

“เพราะธุรกิจที่บ้านหลังจากที่เรียนมาแล้วเราได้ความรู้บางอย่างไปบอกต่อกับคุณพ่อก็เลยเอาไปบอกและปรับเปลี่ยนในเรื่องของการซื้อขายเงินสกุล จากเมื่อก่อนที่เราค้าขายเป็นเงินกีบ หลังจากที่เปิ้ลไปบอกพ่อกับแม่ ก็เปลี่ยนมาใช้เงินสกุล US ดอลลาร์ แล้วก็ไม่รับเงินกีบค่ะ เพราะเราเคยทำเป็นเงินกีบมันทำให้ธุรกิจเสียเรื่องระบบการเงิน เราต้องให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเองว่าคุณต้องการซื้อในราคาที่เท่าไหร่ เราจะใช้ค่าเงินดอลลาร์ ถ้าเรารับเป็นเงินกีบแต่เราเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์ เราจะเสียเปรียบ บางทีคุณอาจจะรอให้ค่าเงินตกก่อนแล้วค่อยมาซื้อก็ได้ ให้ลูกค้าเป็นคนตัดสินใจ


พอเรามาทำแบบนี้ก็ไม่มีปัญหา พอสรุปยอดบัญชีออกมาเราไม่ได้ขาดทุนในรูปแบบสินค้า แต่บางครั้งเราก็ขาดทุนในรูปของค่าเงินมากกว่า เราต้องไปแลกเป็น US ดอลลาร์ เราก็เลยคิดว่าไม่ควรจะมารับภาระนี้ ให้ลูกค้าตัดสินใจเอง ก็เอาความรู้ที่เรียนมาไปบอกพ่อแม่ เพราะคุณพ่อคุณแม่เราก็ไม่ได้เรียนสูงมากมายเท่าไหร่ ท่านก็รู้แค่ว่าซื้อมาขายไป เรารู้อะไรก็ไปบอกท่านช่วยกันทำธุรกิจไป”

ตอนเด็กเปิ้ลอาจจะไม่ใช่เด็กเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่เป็นคนหัวดี เธอเล่าย้อนกลับไปสมัยยังเด็กที่หลายคนมองว่าเธอเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง โง่บ้าง คำพูดเหล่านั้นจึงทำให้เธอได้พิสูจน์ตัวเองว่าตัวเธอไม่ใช่เด็กแบบนั้น

“แต่เปิ้ลจะเป็นคนค่อนข้างหัวดีมั้ง จะมีเรียนแล้วมีการสอบแข่งขันทั้งโรงเรียนทั้งโรงเรียนคัดเอาแค่คนหนึ่ง ก็ลองไปสอบดู เขาเรียกว่า สอบนักเรียนเก่ง เราก็เคยสอบแล้วได้เป็นหนึ่งในตัวแทน เพราะหลายคนชอบมองเราว่าเรียนไม่เก่งบ้าง โง่บ้าง เราเลยหยุดๆ จะไปพิสูจน์ให้เขาดู เราก็เก่งเลข ไปสอบก็ติด แต่พอติดเราสละสิทธิ์ เพราะเด็กที่ติดเป็นตัวแทนหลังจากเลิกเรียนเราก็ต้องไปติวเพื่อเตรียมตัวสอบ เราก็เลยขี้เกียจ เพราะต้องเรียนต่อตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงสองทุ่ม เป็นอะไรที่เราอยู่ไม่ได้อ่ะ แต่ที่จริงเป็นคนเรียนดีแต่ไม่ตั้งใจเท่าไหร่ โดดเรียนบ้าง ก็จบไฮสกูลได้ก็รอดตาย พอมาเรียนที่กรุงเทพฯ ก็ต้องตั้งใจเรียน”


ไม่อายที่จะบอกว่าเป็น “คนลาว”

การเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ครั้งแรก ทำให้ต้องปรับตัวอย่างมากและมีปัญหากับเรื่องการเรียนอยู่ช่วงใหญ่ จนทำให้เธอต้องหยุดเอาไว้และหนีไปพักผ่อนที่แคนาดาและขอคำปรึกษาจากพี่สาวคนโต

เธอเล่าว่า มาเรียนครั้งแรกก็มีปัญหา เพราะยังปรับตัวไม่ได้ มาเรียนที่นี่ต้องมีกฎ ไม่เหมือนที่ลาว เพราะอยู่ที่นู่นจะทำอะไรก็ได้ พ่อแม่รู้จักกับเจ้าของโรงเรียน เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก เราก็ชิล ทำอะไรก็ได้ มีคนรับ-ส่งไปโรงเรียน บางวันก็เอาเบาะไปนอนเล่นพื้นห้องบ้าง อาจารย์ก็จะปลุกตื่นมาเรียนก่อน อาจารย์ไม่ค่อยว่า พอมาเรียนที่เมืองไทย ยุ่งยากทุกอย่าง

“ปีแรกเทอมแรกเราก็เรียน แต่ยังไงเราต้องปรับตัวใหม่ มันงงทุกอย่าง อยู่ที่โรงเรียนเราไม่ตั้งใจมากขนาดนี้เลยนะ อาจารย์ เพื่อนเริ่มต้นใหม่หมด เลยคิดว่า หยุดก่อน แล้วก็บินไปหาพี่สาวที่แคนาดา แต่ไม่บอกพ่อกับแม่เรื่องเรียน บอกแค่ว่าไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สาว ได้คำปรึกษาจากพี่สาวเราก็อยู่นั่นสามเดือนแล้วก็บินกลับมาใหม่ แล้วเราก็ตั้งใจใหม่ มาเรียน ก็เลยมาเรียน พ่อก็ซื้อรถให้ ย้ายคอนโดฯ มาโมดิฟายตัวเองใหม่หมดเลย ย้ายมาอยู่แถวหัวหมาก ปรับตัวเอง คุยกับเพื่อนให้มากขึ้น อยู่ที่นู้นมีแต่คนอยากเข้ามาคุยกับเรา พอมาอยู่ที่นี่มันเหมือนเราต้องเข้าไปหาเข้าไปคุยกับเขาก่อน เรารู้เลยว่า คนเรามันต้องปรับตัว มันอยู่นิ่งไม่ได้ ก็เลยดีขึ้น ทุกอย่างตอนนี้แฮปปี้มากขึ้น”


เพื่อนหลายคนไม่เชื่อว่าเธอมาจากประเทศลาว เพราะการพูดคุยสำเนียงไทยเธอพูดชัดยิ่งกว่าคนไทยในต่างจังหวัดเสียด้วยซ้ำ ใครไม่เชื่อเธอจะยื่นพาสปอร์ตให้ดู


“เข้าหาเพื่อนเราก็ไม่ได้บอกเค้าก่อนนะว่าเรามาจากเรา เราเองก็พูดได้นะ เพราะเราไม่เคยอายว่าเรามาจากลาว แต่ถ้าอยู่ดีๆ มาบอกว่า เฮ้ย! เราเป็นคนลาวนะ ส่วนใหญ่เพื่อนรู้มาก็ตอนทำงานกลุ่ม เพราะเพื่อนเข้ามาถามเอง บางทีมีเพื่อนต่างชาติเข้ามาถามเขาแนะนำตัวมาจากประเทศไหน เราก็บอกบ้างว่าเรามาจากประเทศลาวนะ แต่เพื่อนคนไทยก็ไม่ค่อยบอก เพราะเราบอกเพื่อนคนไทยว่า อาทิตย์นี้เราต้องกลับบ้านอ่ะ ขอทำงานกลุ่มเลิกเรียนเร็ว เขาก็งงว่าเราเป็นคนที่ไหนเหมือนไม่ใช่คนลาว อยู่ที่ห้องเรียนก็แนะนำตัว บางคนก็ไม่เชื่อ เค้าก็ขอดูพาสปอร์ตเพราะบางทีคงเพราะว่าเราพูดชัดเกินมั้งจนคนไทยที่เป็นต่างจังหวัดเองเขายังพูดภาษากลางไม่ชัดเท่าเราเลยนะ ”


อย่าดูถูก “คนลาว”

ในส่วนตัวเองเปิ้ลกระซิบว่า เธอได้รับวัฒนธรรมไทยเข้ามาใช้กับชีวิตประจำวันเป็นส่วนใหญ่ เพราะเธอเองก็คิดว่าคนลาวส่วนใหญ่ก็รับวัฒนธรรมไทยผ่านทางโทรทัศน์ช่องฟรีทีวี แต่ถึงแม้ว่าคนลาวจะรับมามาก แต่ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง และไม่ชอบให้คนไทยมาใช้คำว่า “ลาว” เพื่อจะเป็นศัพท์ที่ใช้ดูถูกคนอื่น


“ถึงคนลาวจะรับมาเยอะ แต่ก็เหมือนกับว่าเขาเองก็มีขอเขตของเขา อย่างคนไทยชอบพูดคำว่า “ลาวว่ะ” เปิ้ลเองหรือคนลาวก็ไฟต์คำนี้นะ เราไม่ชอบกลุ่มที่ใช้คำแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้เกลียด เขาเองอาจจะพูดเพราะติดปากโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เปิ้ลว่าวันหลังอย่าพูดเลยดีกว่า


เปิ้ลว่าคนไทยติดการใช้คำมากกว่าความหมายว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร คุณเองก็เข้าใจไปแล้วว่าคำว่าลาวหมายถึงสิ่งไม่ดี พูดเหยียดคนอื่น เราได้ยินใครพูดแบบนี้มันไม่แฮปปี้นะ ถ้ากลับกันแล้วเรากลับพูดว่า “ไทยว่ะ” แล้วแสดงสีหน้าเหยียดๆ แบบนั้นบ้าง จะรู้สึกยังไง เราก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนเขาได้หรอกนะมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่เปลี่ยนก็เรื่องของเขา หลายครั้งที่ได้ยินเพื่อนพูดเราก็พยายามอธิบายนะว่าเรารู้สึกยังไง เขาก็สามารถมองอีกมุมหนึ่งของลาวที่สวยงามและเปลี่ยนมุมมองไปเลย ”


ก้าวสู่วงการตั้งแต่เด็ก

แอปเปิ้ลก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงที่ประเทศลาวมาตั้งแต่อายุ 14 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ เธอเคยเป็นนักร้องนำในวงเกิร์ลกรุ๊ป ของลาว ซึ่งมีสมาชิกอยู่ทั้งหมด 8 คน มีทั้งความน่ารัก และตลกแบบใสๆ อยู่ในตัวเอง


ชุดเสื้อผ้าเกิร์ลกรุ๊ปในวัยเด็ก ต้องสวมรองเท้าผ้าใบ กางเกงขาสั้น เสื้อผ้าผู้หญิง เล่นดนตรีได้ และการทำงานเพลงจึงทำให้เธอมีความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลายชนิด ทั้ง กีตาร์ เบส กลอง


“ที่ชอบเล่นดนตรีเพราะการออกเทปครั้งนั้นค่ะ แล้วตอนนั้นเราเป็นนักร้องนำด้วยนะ พอเพื่อนๆ ได้เรียน เราเองก็อยากเรียน ตอนนั้นคือที่บ้านสนับสนุน แม่ซื้อมาให้เลย มีห้องซ้อมให้เลย จ้างอาจารย์มาสอน ตอนแรกที่ค่ายจะให้ไปเรียน แต่แม่บอกไม่ต้องๆ ให้เค้ามาสอนที่บ้านเลยจ้า สอนร้องเพลง สอนคีย์บอร์ดเรียนทุกอย่าง กำลังโตเป็นวัยรุ่นเป็นนักร้องได้สักพัก ทำอัลบั้มเดียว เพื่อนในกลุ่มก็ไปเรียนต่างประเทศ แล้วก็ออกๆกันไป เหมือนเด็กๆ ทำกัน ไม่ค่อยเก่งก็เลิกทำกันไป ตอนเด็กเหมือนได้ทำสิ่งที่เราอยากทำ เราก็เบื่อแล้ว ก็เลิกทำ แล้วก็มีถ่ายแบบเล็กน้อย ถ่ายนิตยสารอัปเดต ของนิตยสารมหาชน เคยขึ้นปก มีหลายเล่ม อัปเดต ด้วยนะ เราได้ขึ้นปก ก็ไปถ่ายแมกกาซีน สักพักก็เลิกทำ มีพวกไปงาน ออกอีเวนต์บ้างนิดหน่อย ก็ออกมา มาเรียนที่นี่ก็เลิกทำ ”


ล่าสุดกับการเข้าสู่วงการบันเทิงไทย ด้วยการชักชวนของเพื่อนคนสนิทซึ่งขณะนี้เป็นนักร้องอยู่ค่ายอาร์เอส ได้เคยชักชวนเธอให้เข้าไปเป็นนักร้องฝึกหัด แต่เธอก็ไม่ได้ตัดสินใจที่จะทำงานเพราะมองว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป และคงยุ่งยากจนไม่มีเวลาเรียน


เมื่อวันหนึ่งโลกสังคมออนไลน์ทำให้บรรณาธิการนิตยสาร Cheeze นิตยสารวัยรุ่นแนวสตรีทแฟชั่นชื่อดัง พบเจอและสนใจชักชวนให้เข้ามาถ่ายแบบ จนได้ร่วมงานกันเรื่อยมาจนกระทั้งตอนนี้เธอมีอีกหนึ่งบทบาทกับหน้าที่พิธีกรรับเชิญในรายการ double cheeze ทางช่อง 7


“ที่รับงานถ่ายแบบเพราะเปิ้ลเป็นคนชอบเรื่องแฟชั่นอยู่แล้ว ยิ่งเป็นของ cheeze เป็นยิ่งชอบใหญ่ เพราะเหมือนได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้วงานมันก็ไม่เครียด พูดในสิ่งที่เราพอมีความรู้และเราจะทำได้ดี ถ้าให้ไปเป็นพิธีกรรายการอื่นเปิ้ลคงทำไม่ได้หรอกค่ะ”


การได้ทำงานวงการบันเทิงไม่ว่าจะทั้งที่ไทยและลาว สิ่งหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงข้อดีข้อเสียข้อการทำงานทั้งสองประเทศซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าตัว โปรดักชั่น ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน


“ค่าตัวที่ลาวกับไทยต่างกันค่อนข้างเยอะ เพราะโปรดักชั่นที่ลาวเยอะ ที่นู้นได้ค่าตัว 2,000 บาท ถ้าลงปก ก็ 3,000-4,000 บาท บางคนก็ฟรีด้วยซ้ำ ถ้าเค้าอยากจะขึ้นปก เราไม่ได้ เรากลับไปก็บอกเค้าว่าเรากลับลาวนะ มีงานอะไรเรียกด้วย เราทำงานกับพี่ๆ มาตั้งแต่เด็ก วงการบันเทิงไทยกับลาวต่างกันมั้ย ก็ต่าง มันมีดีและไม่ดีคนละแบบ ที่ไทยมีข้อดีคือ งานมันคืองานจริงๆ ค่าตัวสูง เป็นดาราที่ไทยกลับไปลาวนี่รวยเลยนะ ก็ไปถ่ายแบบก็ได้เยอะนะ ถ่ายเอ็มวีโฆษณา ข้อเสียคือ งานมันดูซีเรียสไปนิดนึง ผู้คนดูมีอีโก้มากหน่อย


ที่ลาวก็มีข้อเสียคือ คนทำงานในวงการบันเทิงที่ลาวคือเขาต้องทำงานอื่นด้วย เพราะเขาไม่สามารถที่จะยืนอยู่ได้ด้วยเงินที่มาจากวงการบันเทิงนะ อย่างดาราไทยทำวงการอย่างเดียวรวยเลย โปรดักชั่นที่ลาวไม่ค่อยมืออาชีพ มันเหมือนเรามาช่วยกันทำงานค่ะ แต่เปิ้ลว่าทำงานแบบนี้มันเหมือนพี่น้อง สนุกดีค่ะ มีอะไรก็เอามาแชร์กัน เราสามารถแสดงความเห็นได้ แต่ที่เมื่องไทยค่อนข้างไม่ฟังความเห็นนะ ที่ลาวเราต้องการอะไรก็ได้ ก็ทำงานแล้วสนุก ที่ไทยกดดัน เราไม่รู้จักเค้า บางทีเราไปแคสต์งานมา เราก็ได้แค่นั่งเงียบๆ เล่นไม่ได้ กลัว ที่นู่นทำไม่ได้ก็ทำใหม่ ไม่เป็นไร มาที่นี่ก็เครียดนะ ตอนนี้ก็แฮปปี้”


รัก 5 ปี กับหนุ่มไทย

ความรักของสาวลาวน่ารักคนนี้ ถ้าไม่มีคนรักก็เห็นจะเป็นเรื่องแปลกแบบคาดไม่ถึง แต่เธอเองก็เปรยๆ ออกมาตอนต้นที่ได้พูดคุยกันว่า คนที่ชักชวนเข้าสู้วงการบันเทิงไทย ก็คือเพื่อนสนิทมาก ซึ่งหนุ่มคนนั้นคือ ฟลุก หนึ่งในศิลปินแห่งวง ซีควินซ์ ค่ายอาร์เอส ที่ตอนนี้ความรักของทั้งคู่ได้เริ่มเรียนรู้กันมากว่า 5 ปีแล้ว และเติมเต็มไปด้วยความเข้าใจและการดูแลซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี

เปิ้ลเล่าว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้นบนโลกออกนไลน์ ในขณะนั้น Hi5 ยังคงฮิต หนุ่มฟลุกเองเข้ามาติดต่อให้เธอไปถ่ายโปรไฟล์เพื่อชักชวนเข้าสู่โมเดลลิ่งที่ฝ่ายชายทำอยู่

“ตอนนั้นพี่เขาทำโมเดลลิงอยู่ด้วย เขาก็มาติดต่อ เหมือนรูปสวยๆ เค้าก็มาคุย แล้วเราก็บอกว่า เราจะไปได้ยังไง เราไม่ได้อยู่เมืองไทยนะ เค้าก็ให้เราเค้ามาทำงาน เราก็อธิบายว่าเราเป็นคนลาวนะ จากนั้นก็จบ เขาเองก็เหมือนคนไทยทั่วไปที่อยากรู้ว่าเมืองลาวเป็นยังไงบ้าง สวยมั้ย ถามว่าคนลาวมีดั้งด้วยเหรอ เค้าก็ค่อยๆ ถามเรามา เราเป็นคนลาวก็อยากเล่าให้คนไทยฟัง ผ่านมาสักพักเราก็ไม่ค่อยได้คุยกัน


เรามาเที่ยวเมืองไทย มาชอปปิง เราไม่ได้นัด ไม่มีเบอร์ แล้ววันนั้นบังเอิญเจอที่สยาม เราก็เห็นเค้าแบบเฮ้ย หน้าคุ้นๆ นะ เพราะเราเองก็เคยเห็นแต่รูป สักพักเดินผ่านไป แล้วเค้าก็เค้ามาทักว่า นี่เปิ้ลเป็นคนลาวใช่มั้ย จากนั้นก็เริ่มคุยกัน เค้าก็เลยขอเอีเมล์ แต่เค้าก็ไม่อะไรบอกว่าวันหลังเราไปเที่ยวลาว เปิ้ลไม่ได้อะไร เพราะตอนนั้นเค้าไม่ได้เป็นนักร้อง ตอนนั้นเค้าเป็นแค่นักร้องฝึกหัดในอาร์เอส

กลับมาลาวเราก็แชทกัน ก็มาเที่ยวไทยรอบสอง ก็พาน้องสาวมาเที่ยวด้วยค่ะ ก็พาน้องสาวมาเที่วดรีมเวิลด์ มีพี่สาว มีเพื่อน มา 4-5 คน เค้าน่ารักมาก เค้าดูเป็นคนรักเด็ก แล้วหนูรักครอบครัวอยู่แล้ว จากนั้นเราก็ตกลงคบกัน เปิ้ลมาเรียนเมืองไทย แต่ตอนมาไทยเราก็เหมือนมาดูมาเราจะเรียนประเทศไหนดี เราก็ตัดสินใจมาเมืองไทย ก็เลยมา มาเมืองไทยเค้าก็ไป-รับ-ส่ง แนะนำเรื่องเรียน”

เรื่องความรักของเปิ้ลเองคุณพ่อเธอหวงมาก ถึงขั้นบอกให้เธอย้ายที่เรียน เพราะมาอยู่เมืองไทยคนเดียว และยิ่งมีเรื่องมีแฟนด้วยยิ่งไปกันใหญ่ แต่เปิ้ลเองก็อธิบายให้พ่อเข้าใจ และพาหนุ่มฟลุกไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก จนฟลุกกลายเป็นลูกชายอีกคนนึงของครอบครัวไปแล้ว

“เราก็คุยให้พ่อฟังแล้วพ่อก็ค่อนข้างไว้ใจเรา แต่พ่อก็บอกว่า ไว้ใจเปิ้ลอ่ะใช่ แต่ผู้ชายเป็นใคร ไว้ใจได้หรอ ต้องชวนให้พี่ฟลุกไปเที่ยวลาว คุณพ่อก็ชอบ พี่ฟลุกเข้าหาครอบครัวได้ดี พ่อก็เลยโอเค แม่นี่ไปกันใหญ่ชอบมาก ครอบครัวเปิ้ลถือนะ ถ้าคุณจะจีบเราคุณต้องให้เกียรติครอบครัวเรา ให้เกียรติคนลาวด้วยนะ ถ้าคุณยังมาด่าว่าคนลาวๆๆๆ ไม่ให้เกียรติเราก็ไม่ได้นะ พี่เค้าไปก็ซื้ออะไรไปฝากครอบครัว บางทีรู้สึกว่าเค้าเป็นลูกชายของที่บ้านไปแล้ว ตอนที่เปิ้ลไปแคนาดา แล้วไม่อยู่เมืองไทย แม่เค้ามาหาหมอที่เมืองไทย ก็เรียกให้พี่เค้ามารับ เค้าก็เข้ากับครอบครัวเราได้ เขาดูแลดี เราก็ไม่รู้ว่าอีกหน่อยจะถึงไหนนะ เพราะในวงการบันเทิงไทยมีคนสวยๆ เยอะๆ นะ เราเองก็ไม่รู้ว่าจะเข้าใจกันไปอีกนานเท่าไหร่นะ เราก็มีหึงหวงกันบ้าง เขาจะชอบมีนางแบบมาขอพินบีบี แต่ก็ขึ้นอยู่กับพี่เค้าอยู่แล้วค่ะ ก็มีนิดหน่อยนะ เวลาเราคุยกับใครเค้าก็จะมีถามบ้าง ”


ไม่ว่าอนาคตในวงการบันเทิงที่เมืองไทยของเธอจะเป็นอย่างไร เธอขอเพียงแค่อยู่ในวงการได้เรื่อยๆ ไม่ต้องมีชื่อเสียงมากนัก ไม่ว่าจะดังหรือจะดับ ก็ยังขอให้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เหมือนที่เธอได้บอกกับคุณพ่อเอาไว้ “ถึงแม้มันจะดูไกลตัว แต่ก็จะขอเดินไปให้ไกลที่สุด”


*********************************************

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ Sisangian Sihalath
ชื่อเล่น แอปเปิ้ล
เชื้อสาย ลาว จากเวียงจัทน์
เรียน คณะบริหารธุรกิจ เอกการตลาด มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ภาคอินเตอร์
ผลงานที่ผ่านมา นักร้องนำในเกิร์ลกรุ๊ป ของลาว , ถ่ายแบบ,งานโฆษณา ฯลฯ
งานพิธีกร รายการ double cheese
และเร็วๆ นี้กับงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกกับค่าย ไฟว์สตาร์
 
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์

ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน 









คุณพ่อ ซุเปอร์แมนของแอ๊ปเปิ้ล
พ่อแม่และพี่น้องสามใบเถา
เปิดตัวธุรกิจคุณแม่ สีสะหง่า

หนุ่ม ฟลุก วง ซีควินซ์  เพื่อนสนิทคนรู้ใจ

แฟชั่นชุดผ้าซิ่นลาว
มินิคูเปอร์ รถคู่ใจ
ถ่ายแฟชั่นกับเพื่อนๆสาวลาว
ถ่ายแบบนิตยสารอัปเดต ของประเทศลาว
กำลังโหลดความคิดเห็น