หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการออกกำลังเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง และยังต้องการพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองให้ มั่นใจกับการย่างก้าวบนรองเท้าส้นสูงให้ตัวเองดูมีเสน่ห์และเซ็กซี่แล้ว การออกกำลังกายที่สาวออฟฟิศยุคนี้กำลังนิยมกันอย่างมาก การเต้น “High Heel Dance” หรือการเต้นบนรองเท้าส้นสูง ที่จะทำให้คุณเป็นสาวออฟฟิศยุคใหม่ที่แลดูมีความมั่นใจกับการเดินพร้อมทั้งมีสุขภาพที่ดีไปพร้อมๆ กัน
สุภัชญา ลัทธิโสภณกุล หรือที่รู้จักกันในนามนักร้องหน้าหมวยวงไชน่าดอลล์อย่าง “เบล ไชน่าดอลล์” ที่ปัจจุบันเธอผันตัวเองจากการร้องเพลงมาเป็นคุณครูสอนเต้นอยู่ที่สถาบันสอนเต้น “House of Dance” ที่สอนให้เต้นเป็นและมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย
1
รักการเต้นตั้งแต่เด็ก
สำหรับสาวเท้าไฟอย่างเบลแล้ว เธอหลงใหลและรักการเต้นมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เธอเล่าว่า เธอจำได้ตั้งแต่วันแรกที่เธอขึ้นแสดงบนเวทีครั้งแรก รู้สึกว่าตนเองชอบการแต่งหน้าสวยๆ ชอบแสดงบนเวที จนคุณแม่เห็นแววจึงส่งเธอไปเรียนเต้นตั้งแต่ยังเด็ก
“ตอนไปเรียนคุณแม่จะพาไปแสดง แล้วก็ไปเรียนจริงจัง ก็ไปเรียนแจ๊ซ จนกระทั่งมาหยุดเรียนตอนที่เริ่มทำอัลบั้ม อายุ 17 ปี เราก็ทำอัลบั้ม ช่วง ปี 1 เราก็เรียนเต้นก็มีพื้นฐานเต้นแล้วใจเราชอบ แล้วพอเราได้มาสอนเด็กแล้วเห็นเด็กที่เขาอยากเรียนเต้นเหมือนเราเลยนึกถึงตัวเองก็เลยรู้สึกว่าเราก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้น้องๆเขามีความสุขเหมือนเราตอนเด็กๆ ได้ เราก็อยากจะทำแบบนี้ก็เลยตัดสินใจเปิดโรงเรียน”
ปัจจุบันเธอกลายเป็นคุณครูสอนเต้นอยู่ที่ House of Dance สถาบันสอนเต้นที่เธอสร้างขึ้นมาและฝันว่าอยากให้เด็กๆ ที่มีความฝันและรักการเต้นเหมือนกับเธอในวัยเด็กได้มีโอกาสทำความฝันให้เป็นความจริง
“เคยเปิดมาก่อนหน้านี้ที่มีข่าวก็หยุดไป แล้วมาทำต่อที่ทองหล่อ เขาก็อยากทำกับเพื่อนๆ เราก็ไม่อยากทำให้เพื่อนเสียเพื่อน เสียความรู้สึกก็เลยคิดออกมาทำคนเดียว ก็ทำพลาดก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนหายไป”
“ที่นี่จะแบ่งเป็นสองอย่างสอนหลักสูตร ก็จะมีแจ๊ซ บัลเล่ต์ นอกจากนั้นจะมีสตรีทแดนซ์ กระแสคัฟเวอร์ ฮิปฮอปเซ็กซี่ มีเต้นทีอาร์เอ็กซ์ เต้นกระชับสัดส่วน ตอนนี้จะมีพี่กอล์ฟ มาเป็นคนดูแลคอร์สการออกกำลังกาย การเต้นเบลรู้สึกมันไม่ใช่แค่การไปเต้นบนเวทีเท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาบุคลิภาพ ดูแลรูปร่างสุขภาพกายและจิตใจ ได้เต้น ได้ออกกำลังกาย”
2
เต้นบรอดเวย์ สู่ เต้นเพื่อสุขภาพ
“High Heel Dance” หรือการเต้นบนรองเท้าส้นสูง ถือเป็นการเต้นออกกำลังแนวใหม่ที่มีการผสมผสานระหว่างการเต้นแนวแจ๊ซกับละติน ซึ่งถือว่าเป็นการเต้นแนวที่มีความเป็นมาจากทางตะวันตก ซึ่งมักนิยมใช้กับการเต้นบรอดเวย์ หรือการเต้นละครเวที
“ผู้หญิงปัจจุบันชีวิตทำงานก็ต้องใส่รองเท้าส้นสูงไม่ว่าจะทำงานหรือออกงานราตรีตอนกลางคืน ส่วนใหญ่ก็อยากจะเต้นบนรองเท้าส้นสูง แค่เราเต้นบนรองเท้าผ้าใบก็ว่ายากกันแล้วแต่เมื่อเป็นการเต้นบนรองเท้าส้นสูงก็ยิ่งเพิ่มความยากมากขึ้น เพราะจะต้องมีการทรงตัวให้อยู่ และผู้หญิงทุกคนจะชอบใส่รองเท้าส้นสูง เนื่องจากทำให้พวกเธอรู้สึกว่าหลังตรง มีบุคลิกภาพที่ดี ใส่แล้วสง่า เมื่อนำมารวมกับการเต้นจึงต้องมีการใส่ฟีลลิ่ง ความรู้สึกข้างในจะเกิดขึ้น และคิดว่าทำให้พวกเธอดูดี และช่วยให้มั่นใจว่าตนเองหุ่นดีขึ้นอีกด้วย”
ประสบการณ์การเต้น High Heel Dance ของเบลได้เริ่มต้นจากการทำงานตั้งแต่อัลบั้ม 2005 ทิวาราตรี ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่ทำให้เธอได้เรียนรู้และฝึกฝนการเต้นบนรองเท้าส้นสูง
“เราต้องใส่รองเท้าส้นสูงเต้นตลอดเวลา ครูที่สอนเต้นเราก็จะคอยสอน ซึ่งมันเป็นการนำเอาแจ๊ซและละตินมาผสมกัน การเต้นสไตล์ละตินก็จะใช้สะโพกเยอะหน่อยแล้วก็เต้นบนรองเท้าส้นสูงๆก็จะมีการทรงตัวมากหน่อย มาผสมการเต้นแจ๊ซที่ใช้เพลงที่สมัยใหม่หน่อยสาวๆ ออฟฟิศก็จะชอบเป็นพิเศษ”
ใครที่ชอบการเต้นแบบ High Heel Dance จะต้องได้รับประโยชน์ที่มากกว่าการออกกำลังกายโดยทั่วไปอย่างแน่นอน เพราะการเต้นบนรองเท้าส้นสูงแบบนี้จะช่วยให้สาวๆ ทุกคนมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
“นอกจากพัฒนาบุคลิกภาพ จริงๆ เบลว่าการเต้นทุกรูปแบบมันได้เรื่องของสุขภาพร่างกายแข็งแรง จิตใจร่าเริงแจ่มใสทุกวัน แฮปปี้ทุกครั้งที่เข้าคลาสเรียนออกไปก็แฮปปี้ ถ้าบอกก็จะได้เรื่องของการพัฒนาบุคลิกภาพมากที่สุดเพราะบางคนเดินหลังค่อม บางคนใส่รองเท้าส้นสูงไม่ถนัด เข่าไม่ตึง เราก็จะมีการให้เขาวอร์มก่อน ด้วยวิธีการยืดเขย่ง ทำหลังให้ตรง เวลาที่ต้องเคลื่อนไหวย่อยืด ก็ยากนิดนึง แต่ส่วนใหญ่ก็ทำได้นะ แล้วเขาก็ชอบกันอยู่แล้ว ”
ถึงจะรู้สึกว่าการเต้นบนรองเท้าส้นสูงจะสร้างความมั่นใจให้แก่สาวๆ ยุคใหม่ได้ แต่สิ่งที่ควรระวังอย่างมาก คือเรื่องการเต้นลักษณะเช่นนี้จะส่งผลต่อข้อเท้าของตนเองด้วย วิธีป้องกันคือควรเลือกรองเท้าให้เหมาะสมต่อการออกกำลังกายที่มีลักษณะเฉพาะออกแบบมาเพื่อการเต้นจะช่วยให้ออกกำลังการได้กระฉับกระเฉงและปลอดภัยมากขึ้น
“สิ่งที่อยากจะเตือนสาวๆ ที่อยากเต้น high heel ก็คือการเลือกรองเท้า เบลเองก็ไม่ได้สั่งให้ใส่รองเท้าเต้นทั้งชั่วโมงที่เรียน เราจะแนะนำก่อนว่าไม่อยากให้ใส่รองเท้าส้นสูงมา ควรไปตัดรองเท้าเต้นมา และก่อนจะเริ่มเต้นนั้นจะต้องมีการวอร์มก่อน ประมาณ 20 นาที ถึงจะมีการเต้นบนรองเท้าส้นสูง”
รองเท้าส้นสูงที่เป็นรองเท้าเต้นโดยเฉพาะนั้น จะมีลักษณะพิเศษที่สามารถงอบริเวณช่วงจมูกเท้าได้เพราะฉะนั้นมันจะไม่แข็งเวลาที่เราเต้น รองเท้าเต้นแบบนี้จะมีลักษณะเหมือนรองเท้าที่นักกีฬาเต้นลีลาศตัดมาใส่เต้น พื้นรองเท้าจะงอได้ ยืดหยุ่นได้ ช่วงจมูกที่เราต้องใช้ยืนจะช่วยซับพอร์ต ความสูงจะไม่เกิน สามนิ้ว แต่เมื่อบางคนออกงานก็เลือกตามความชอบของแต่ละคนว่าชอบความสูงอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่
3
ดูแลตนเองแบบ “เบล ไชน่าดอลล์”
จากความชื่นชอบการเต้นจนกลายเป็นครูสอนเต้นทำให้เธอต้องดูแลตนเองมากขึ้นกว่าเดิม และจากการเริ่มต้นการเต้นด้วยความสนุกสนาน เมื่อมาถึงวัยหนึ่งที่อายุมากขึ้น การเต้นบนเวทีที่ต้องใช้แรงมากๆ จะทำให้ร่างกายเสื่มสภาพอย่างรวดเร็ว จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเริ่มหันมาดูแลรักษาสุขภาพอย่างจริงจัง
“ตอนเต้นก็จะเกิดอุบัติเหตุระหว่างเต้น แต่ว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการเต้น เหมือนจะเป็นที่เวที เหมือนเป็นงานเอาต์ดอร์แล้วฝนตก พื้นลื่น มีอีเวนต์มีกระดาษที่เขาไม่กวาด ก็จะลื่น อย่างดรายไอซ์ เราไปโดนก็กัดมือเราได้ ตอนเต้นก็จะมีล้ม ตกเวที มีทุกอย่าง”
“การเต้นจะทำให้กระดูกเริ่มมีปัญหา พังเร็ว เพราะการเต้นจะต้องใช้สรีระ ข้อเท้าทุกส่วนเลยทำให้เราหันมามองเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญตอนที่เบลมีปัญหาที่อยากดูแลสุขภาพมากกว่าการเต้นก็ไปได้พี่กอล์ฟมาเป็นเทรนเนอร์ให้ เบลไม่อยากมีกล้ามไม่อยากยกเวต กลัวแขนใหญ่ ตัวใหญ่ เขาก็แนะนำให้รู้จักเครื่อง ทีอาร์เอ็กซ์ ที่แบบเอามาเปิดคอร์สที่โรงเรียนด้วย ลูกค้าไม่อยากยกน้ำหนัก แต่เครื่องนี้ใช้น้ำหนักตัวเอง ขาหน้าท้องแต่เป็นน้ำหนักตัวเราเอง พอเราเล่นก็รู้สึกสนุก ตอนเด็ก ๆเราอาจจะคิดว่ากินอะไรเข้าไปแล้วเมตาบอลิซึ่มมันเผาผลาญดีแต่พอโตขึ้นการทำงานมันไม่ดีเหมือนแต่ก่อน แต่พอเราได้ออกกำลังกายถูกจุดถูกส่วน มันก็ทำให้รูปร่างอยู่ในเคสที่เราต้องการ เราก็ตามใจปากเราได้ ออกกำลังกายไปด้วยมันก็แฮปปี้ค่ะ”
4
กินหลายมื้อช่วยลดน้ำหนัก
การเป็นครูสอนเต้นของเบลไม่ได้มีหน้าที่สอนเพียงอย่างเดียว เธอยังนำเอาความรู้เรื่องการเลือกรับประทานอาหารมาคอยแนะนำให้นักเรียนที่มาเรียนเพื่อต้องการดูแลสุขภาพตนเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ
“พอเขามาเราก็จะแนะนำสูตรอาหารลดน้ำหนัก บางคนคิดว่าอดอาหารแล้วจะลดน้ำหนักได้ แต่คือร่างกายเรามันฉลาดกว่านั้นยิ่งเราอดมันก็จะยิ่งไม่เผาผลาญ เหมือนว่าเราทำอะไร อดข้าวแล้วร่างกายเราก็จะยิ่งเก็บเอาไว้ เพราะว่ามันเห็นเราไม่กิน เท่ากับเรายิ่งอ้วน เราก็จะบอกเขา ว่าควรจะรับประทานโปรตีนให้เยอะ เนื้อสัตว์ต้องไม่ติดมัน เหมือนกับกินแล้วออกกำลังกาย วันไหนที่ใส่เสื้อผ้าออกงานก็ต้องห้ามเค็ม ห้ามรสจัด บางคนเข้าใจผิดว่านอนน้อยแล้วจะผอม ไม่จริงนะค่ะ นอนน้อยตัวบวมมาก เวลานอนน้อย ผิวเราจะแห้ง ร่างกายอุ้มน้ำแล้วตัวจะบวม เคยไม่นอนแล้วไปทำงานก็ตัวบวม หน้าบวม”
เธอบอกว่ายิ่งเป็นครูสอนเต้น และตัดสินใจเปิดโรงเรียนสอนเต้น ยิ่งทำให้เธอต้องซีเรียสกับการดูแลตนเองมากขึ้น ทั้งเรื่องความแข็งแรง และหุ่นของเธอมาก
“เบลคิดว่าการเต้นมันคือชีวิตเบลไปแล้วล่ะ มีความสุขกับการทำงานแบบนี้ ถ้าเราไม่สบายหรือเกิดอะไรขึ้นมามันก็จะทำอะไรไม่ได้ มีเพื่อนหลายคนคุยกันถึงการรักษาสุขภาพตัวเองด้วยการพึ่งพาหมอ คุยกันเรื่องการฉีดลดไขมัน (คาร์บอกซี) เราเองก็คิดว่ายอมขาใหญ่ดีกว่า เพราะว่าฟังแล้วดูน่ากลัวมาก ถ้าเราไปทำแล้วเกิดอะไรขึ้นกับขาเรามา อาจทำให้เราสอนเต้นไม่ได้ไปตลอดก็ได้ เป็ฯคนที่ไม่อยากทำอะไรที่ไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง”
“ ต่อให้เราไม่ได้หุ่นนางแบบเราเองก็ไม่ได้น่าเกลียดแบบมากมายอะไร การมีร่างกายที่สมส่วน คือการมีรูปร่างที่มันพอดีกับตัวเราเอง คือไม่มีส่วนเกินก็พอแล้ว ไม่ใช่ว่าผอมแล้วมาป่วยตลอดเวลาก็ไม่ไหว ถ้าสุขภาพไม่ดีก็ทำงานไม่ได้ ก็ซีเรียสเรื่องสุขภาพมาก ซีเรียสเรื่องทานอาหารกับการพักผ่อน มันต้องพักผ่อน มีอาหารที่ดี มีสัดส่วนอาหารที่ดีไม่กินมากไป ไม่ถึงขั้นอดแป้ง เบลต้องบริหารสัดส่วนการกินให้มันอยู่ในปริมาณที่พอดี อย่างพอเราโตมางานสังคมมีมากขึ้น เดี๋ยวก็ออกงานไปกินดินเนอร์ เราก็มีข้อจำกัด จัดสรรให้ดี”
สูตรการดูแลร่างกายตัวเองของสาวหมวยนอกจากการเต้นจนกลายเป็นความชื่นชอบแล้ว เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าตนเองมีตารางสอนตั้งแต่เช้าจดเย็น อาหารง่ายๆ ที่เธอขาดไม่ได้และต้องเตรียมไปทุกครั้งคืออาหารจำพวกโปรตีน เช่น ไข่ต้ม หรือ ไก่ชิ้น อก 1 ชิ้น เพื่อไม่ให้ร่างกายเหนื่อยล้าและอดอาหารจนเกินไป
“ต้องเตรียมอาหารอะไรที่ง่ายๆ อย่างถ้าเราไปกินพวกขนมปังเดี๋ยวหิว เดี๋ยวเราก็หิวอีก เราก็กินวันที่กินแบบนั้นได้ทั้งวันแล้วเต้นทั้งวันน้ำหนักจะลดนะ เหมือนอย่างที่บอกว่ากินแล้วออกกำลังกายร่างกายไม่ได้เก็บไว้ก็จะลดล เร็ว คนที่กินมื้อห่างมันจะทำให้เราโหยแล้วกินมากขึ้นนะ แล้วจะอ้วน พอห่างแล้วหิว แล้วกินเหมือนเป็นคนกินสองเท่าแล้วแคลอรีสูงมาก กินแบบไม่รู้ตัว ร่างกายก็ไม่เผาผลาญในช่วงที่เราไม่กินมันก็จะกักไขมันเอาไว้ มันก็เป็นความโชคดี ความสุขที่เราได้สอนเต้น ออกกำลังกาย เบลรู้สึกว่า เราต้องทำอาชีพ ทำงานให้ดี จะมีสักกี่คนที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทุกวัน”
**********************************
ภาพโดย พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร
ข่าวโดย Manager Lite /ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์