xs
xsm
sm
md
lg

ทายาทกีตาร์คิงส์ ซี้ดขั้นเทพ!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ท่าโซโล่กีตาร์พลิ้วๆ บวกกับลีลามันๆ ของหญิงสาวหน้าใสขณะบรรเลงบทเพลงร็อกในภาพยนตร์เรื่อง “Suck Seed ห่วยขั้นเทพ” คงทำให้หลายคนอดทึ่งไม่ได้เมื่อรู้ว่านางเอกของเรื่องเล่นดนตรีเป็นจริงๆ และยิ่งทำให้อึ้งไปกันใหญ่เมื่อได้รู้ว่าเธอคือ “แนท ณัฐชา นวลแจ่ม” ลูกสาวแท้ๆ ของ “แหลม มอริสัน” เจ้าของฉายา “กีตาร์คิงส์” ตำนานกีตาร์ระดับเทพของเมืองไทย ถ้าคิดว่าความสามารถที่เห็นทั้งหมดเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับลูกไม้ใต้ต้นแล้ว ขอบอกว่าคิดผิดถนัด เพราะกว่าจะเล่นเก่งขั้นเทพได้อย่างที่เห็นในฉาก ลูกสาวกีตาร์คิงส์อย่างแนทก็เคยห่วยมาก่อนเหมือนกัน ส่วนจะห่วยจนถึงขั้นเทพเลยหรือไม่นั้น เธอพร้อมแล้วที่จะเปิดทุกมุมให้ได้รู้จักกัน

เรียกได้ว่าเป็นนางเอกเนื้อหอมตั้งแต่ภาพยนตร์ยังไม่เข้าฉายเลยทีเดียว เพราะทีมงานต้องจองคิวสัมภาษณ์ล่วงหน้าเกือบเดือนเพื่อให้ได้ทำความรู้จักกับเธอคนนี้อย่างเป็นส่วนตัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องแบ่งเวลากับสื่ออื่นอีกหลายฉบับ ทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร รวมถึงรายการโทรทัศน์ ซึ่งรุมตอมเธอเป็นว่าเล่น ปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจสร้างความประหลาดใจให้แก่ทีมงานมากกว่าที่เป็นอยู่ หากบุคคลที่ได้รับความสนใจคือนางเอกหน้าใหม่รายอื่นๆ แต่เพราะเธอคือ “แนท ณัฐชา นวลแจ่ม” จึงไม่น่าแปลกใจเท่าใดนักที่ใครๆ ต่างก็อยากพูดคุยกับเธอ ไม่ว่าจะในฐานะ “ลูกสาวกีตาร์คิงส์” “ดาวรุ่งดวงใหม่จากค่ายจีทีเอช” หรือในฐานะ “สาวกชาวร็อกตัวจริง” คุณสมบัติหลายๆ อย่างที่รวมเป็นเธอคนนี้ ถือได้ว่ามีจุดขายที่น่าสนใจ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ดึงดูดให้ M-Lite นัดพบกับเธอในครั้งนี้
 

ก่อนงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตจะเริ่มขึ้น ยังพอมีเวลาเหลือเฟือให้นั่งพูดคุยกับนางเอกของเรื่องได้อย่างไม่รีบเร่งนัก แนทปรากฏตัวในสภาพพร้อมเต็มที่ก่อนเวลาขึ้นแสดงหลายชั่วโมง เธอแต่งหน้าเซตผมเรียบร้อยอยู่ในเสื้อสีเหลือง กระโปรงลายสดใส ทั้งยังไม่ลืมเพิ่มดีกรีความร็อกด้วยถุงน่องดำ เสื้อคลุมโทนน้ำตาลและรองเท้าหนังส้นสูงปรี๊ดสีเดียวกัน แนทมอบยิ้มกว้างแก่ทีมงานแทนคำทักทายแรกพบ เผยให้เห็นรูปฟันเรียงสวยและแววตาเป็นมิตรที่ส่งมาแต่ไกล ก่อนสนทนากันอย่างจริงจัง เราเริ่มอุ่นเครื่องโดยให้ร็อกเกอร์สาวโพสท่าถ่ายรูปพลางพูดคุยกันไปด้วย แรกๆ ดูเหมือนแนทยังมีอาการเกร็งอยู่บ้างที่ต้องแอ็กท่า กระทั่งได้หยิบกีตาร์คู่ใจออกมาถ่ายด้วย เธอจึงค่อยๆ ผ่อนคลายและปล่อยท่าทางทะเล้นๆ ในแบบที่เป็นตัวเองออกมาให้เห็น ทำให้ทีมงานรู้สึกได้ทันทีว่า “แนท ณัฐชา” กับ “กีตาร์” เกิดมาเพื่อคู่กันจริงๆ

คุณพ่อหวง ไม่อยากให้เข้าวงการ
อดสงสัยไม่ได้ว่าหญิงสาวหน้าตาน่ารักที่อยู่ตรงหน้า รอดพ้นจากการตกเป็นเป้าสายตาของสื่อมวลชนมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ในเมื่อคุณพ่อของเธอก็มีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ เอ่ยชื่อ “แหลม มอริสัน” แล้ว แทบไม่มีใครไม่รู้จัก โดยเฉพาะคนในวงการดนตรีด้วยกันเอง เดาว่าอาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่มักรู้จักจากสมญานามมากกว่าชื่อจริง ทำให้ไม่ค่อยมีใครเรียกคุณพ่อว่า “วิชัย นวลแจ่ม” เมื่อได้ยินชื่อ “ณัฐชา นวลแจ่ม” จึงมีไม่กี่คนที่จะนึกเอะใจว่าแนทคือลูกสาวของศิลปินชื่อดัง และหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ความลับเล็กๆ นี้ถูกเก็บงำเอาไว้ กระทั่งมาเปิดเผยอย่างเป็นทางการในวันที่เธอได้เป็นนางเอกภาพยนตร์วัยรุ่นอย่างตอนนี้ แนทบอกว่าส่วนหนึ่งเกิดจากอาการหวงลูกสาวของคุณพ่อนี่เอง
 

“จริงๆ แล้วแนทเคยเล่นเอ็มวีมาก่อนตัวหนึ่งนะ นานมากแล้ว สักประมาณ ม.ต้นได้ ตอนนั้นคุณอาฟิลิปส์เขามาชวนให้ไปแคสต์ดู เขาทำงานเป็นผู้จัดการในแกรมมี่ รู้จักคุณพ่อแล้วก็เคยเห็นแนทมาก่อนด้วย ก็เลยลองไปแคสต์ดูแล้วก็ได้เล่นค่ะ ตอนถ่ายเอ็มวีก็ไม่มีอะไรมาก แสดงเป็นลูกคุณหนูแล้วมีพระเอกมาแอบชอบ ใส่ชุดนักเรียน เดินทำท่าสวยๆ ไปมา (หัวเราะ) แต่หลังจากงานนั้นก็เลิกค่ะ ไม่ได้ถ่ายงานอื่นอีก เพราะจะให้เข้ามาแคสติ้งบ่อยๆ คุณพ่อไม่ยอม เหมือนกับตอนนั้นเรายังเด็กอยู่ด้วย คุณพ่อเป็นห่วง บอกว่าอย่าไปเลย อยู่บ้านแหละดีแล้ว เลยได้เล่นเอ็มวีแค่ตัวเดียวแล้วก็ไม่เคยถ่ายงานอื่นอีกเลย คุณพ่อเขาหวงลูกสาวจริงๆ ค่ะ (ยิ้ม)”
  

เมื่อไม่มีความคิดสนับสนุนลูกสาวให้เข้าวงการ คุณพ่อวิชัยจึงไม่เคยใช้ชื่อเสียงของตนเองผลักดันหรือหวังให้แนทเกาะกระแสดังเหมือนคนอื่นๆ กระทั่งค่ายหนังวัยรุ่นยักษ์ใหญ่อย่างจีทีเอชติดต่อให้แนทรับเล่นเป็น “เอิญ” ร็อกเกอร์สาวชั้นมัธยมผู้มีฝีมือกีตาร์ขั้นเทพ คุณพ่อซึ่งมีดนตรีร็อกในหัวใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะหวงลูกสาวแค่ไหน สุดท้ายจึงยอมใจอ่อน สนับสนุนงานแสดงครั้งนี้อย่างสุดตัว ถึงกับยอมให้ผู้กำกับเดินทางมาแคสติ้งกันถึงที่บ้านเลยทีเดียว
  

“พอดีพี่สาวแนทที่เป็นญาติกันรู้จักเพื่อนที่ทำงานในจีทีเอช บอกว่าพี่หมู ผู้กำกับอยากได้นางเอกหนัง แล้วตอนนั้นเขายังหานางเอกไม่ได้ เหลือเวลา 2 วันสุดท้ายการแคสติ้งจะปิดลง พี่เขาก็เลยแนะนำแนทไป คุยกันเสร็จสรรพพี่หมูก็ขับรถมาที่พัทยาเลยค่ะ มาแคสติ้งถึงที่บ้านเลย ตอนนั้นคุณพ่อก็อยู่ด้วย พี่เขาให้แนทลองเล่นเข้าบทดู เสร็จแล้วก็ให้เล่นกีตาร์ให้ดูด้วย แนทเลยเลือกเล่นเพลงซอมบี้ไป เพราะชอบเพลงนี้แล้วก็เล่นเพลงนี้ได้อยู่แล้ว แคสต์กันอยู่ 6 ชั่วโมงได้ สุดท้ายพี่หมูก็มาบอกว่าเขาเลือกเราค่ะ
  

“ตอนรู้ผลดีใจมากที่ได้เล่นเรื่องนี้ เพราะแนทเป็นคนที่ฟังเพลง เล่นดนตรี แล้วก็ชอบทางด้านดนตรีอยู่แล้วด้วย ส่วนคุณพ่อก็ดีใจไม่แพ้กัน ครั้งนี้สนับสนุนใหญ่เลยค่ะ เห็นว่าเป็นหนังเกี่ยวกับดนตรี แล้วที่สำคัญเป็นดนตรีร็อกด้วย ยิ่งตรงทางคุณพ่อเลย โดนใจคุณพ่อมากๆ ค่ะ” แนทเท้าความให้ฟังด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

เคยห่วยมาก่อน
เมื่อรู้ว่าแนทคือลูกสาวของใคร คนส่วนใหญ่มักวาดภาพว่าเธอต้องเติบโตมากับการซ้อมกีตาร์ตั้งแต่เด็กๆ โดยมีคุณพ่อช่วยถ่ายทอดวิชาให้ ผู้สัมภาษณ์เองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน จึงขอให้เธอเล่าให้ฟัง ปรากฏว่าคำตอบที่ได้รับกลับผิดไปจากที่คาดไว้อย่างมาก เพราะความทรงจำของเธอในอดีต แทบไม่มีกีตาร์อยู่ในนั้นอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ แต่แนทกลับใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเกมคอมพิวเตอร์เสียมากกว่า ทั้งยังยอมรับว่าตัวเองเป็นคนติดเกมขั้นหนัก และเพิ่งตัดใจเลิกเล่นได้ หลังจากเริ่มถ่ายภาพยนตร์เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง
 

“ก่อนหน้านี้แนทบ้าเล่นเกมมาก ติดเกมคอมพิวเตอร์ พวก Ragnarok หรือ Pangya เล่นหมดเลยค่ะ คุณพ่อก็มีเตือนๆ อยู่เหมือนกันว่าไม่ฝึกเล่นกีตาร์บ้างเลยเหรอ แต่เราก็ยังเล่นเกมต่อไป เลิกโรงเรียนเมื่อไหร่ก็จะรีบกลับบ้านมาเล่นเกม ไม่ออกไปเที่ยวที่ไหนกับเพื่อนๆ เลย กีตาร์ที่เคยเล่นอยู่บ้างก็ทิ้งไปเลยเหมือนกัน แต่ตอนนี้เลิกแล้วค่ะ เพิ่งเลิกเมื่อประมาณกลางๆ ปีที่แล้ว เหมือนกับว่าพอได้ถ่ายหนัง ได้ทำงาน ก็เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองชอบงานในวงการมากกว่า เลยเลิกเล่นเกมไปเลย แล้วตอนนี้ชีวิตก็เปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะ
  

เรื่องที่น่ายินดีที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการทำให้คุณพ่อภูมิใจ แนทบอกว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาก่อน กระทั่งเลิกเล่นเกมและหันมาเอาดีเรื่องกีตาร์และงานแสดง จึงรับรู้ว่าการเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง ทำให้พลาดเรื่องดีๆ ในชีวิตไปหลายอย่าง ถ้าจะกล่าวว่ากว่าจะคิดได้อย่างทุกวันนี้ เธอเคยผ่านเรื่องผิดพลาด ผ่านประสบการณ์ห่วยๆ มาก่อน คงถือเป็นคำพูดที่ไม่ผิดนัก
  

“พอได้หันหน้าออกมาจากคอมพิวเตอร์ ได้ใช้ชีวิตจริงๆ ถึงรู้สึกว่าชีวิตจริงกับในเกมมันเป็นคนละเรื่องกันเลยนะ แนทว่าพวกที่เล่นเกมส่วนใหญ่จะเป็นพวกเพ้อฝันแต่ไม่ลงมือทำ แนทเองก็เคยเป็น ในเกมมันจะมีชอปปิ้ง ซื้อของ ให้เราได้แต่งตัวให้หุ่นเพลินๆ ตอนเล่นก็สนุกดีค่ะ แต่พอมองกลับไปตอนนี้กลับรู้สึกว่าเกมมันก็เป็นแค่โลกแคบๆ โลกหนึ่งเท่านั้นเอง พอเราหลุดออกมาจากตรงนั้นได้ แนทรู้สึกได้เลยค่ะว่าคุณพ่อภูมิใจในตัวเรามาก ยิ่งได้เห็นเราหันมาเล่นหนังและที่สำคัญคือได้กลับมาจับกีตาร์ หัดเล่นหัดซ้อมแบบจริงจัง คุณพ่อดีใจมากจนถึงขนาดให้กีตาร์แนทเป็นของขวัญ ซึ่งเป็นกีตาร์ตัวที่คุณพ่อรักมาก เก็บมาประมาณ 10 ปี ไม่ยอมเอาออกมาเล่น แต่เขายกกีตาร์ตัวนั้นให้เรา ก็รู้สึกภูมิใจค่ะ เหมือนกับเราได้กลับมาทำสิ่งที่เขาหวังไว้ให้สำเร็จอีกครั้งหนึ่ง”
  

เด็กติดเกมส่วนใหญ่มักมีความคิดว่าตนเองไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่ความจริงแล้วพวกเขาไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังทำร้ายตัวเองอยู่ ในฐานะคนเคยติดเกมและเข้าใจหัวอกพวกเดียวกันดี แนทขอฝากความห่วงใยเอาไว้ว่า “เด็กเล่นเกมส่วนใหญ่มักจะฝันว่าอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ อยากทำเกมนั้นขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ว่าเราเล่นเกมไปเรื่อยๆ จนได้เลเวลสูงๆ ขึ้นไป จะช่วยให้มีความสามารถในการสร้างเกมได้นะ คนที่ทำเกมจริงๆ แล้วเขาต้องมีความรู้เยอะมาก เรียนมาเยอะ กว่าจะสร้างภาพออกมาอย่างที่เห็นในเกม แต่ถ้าอยากเล่นจริงๆ ก็เล่นได้ค่ะ แต่ขอให้เล่นตอนที่มีเวลาว่าง เล่นหลังเวลางาน เป็นการผ่อนคลายจากความเครียดที่สะสมมาหลายวัน แต่ต้องฟิกซ์เวลาด้วย แค่วันละ 2 ชั่วโมงก็พอค่ะ เพราะถ้าไม่กำหนดก็จะไหลไปเรื่อย หยุดเล่นไม่ได้ หรือถ้าเป็นไปได้ อยากให้เจียดเวลาไปอ่านหนังสือหรือเล่นดนตรีบ้างน่าจะดีกว่าค่ะ เธอแนะนำจากประสบการณ์ตรง

เลือดศิลปินพลุ่งพล่าน
ถึงแม้แนทจะทิ้งการเล่นกีตาร์ไปนาน และเพิ่งหันกลับมาเอาดีด้านดนตรีอย่างจริงๆ จังๆ ได้ไม่กี่เดือน แต่เลือดศิลปินที่มีอยู่ในตัวของเธอก็ไม่เคยหนีหายไปไหน เรียกได้ว่าฉายแววเด่นชัดมาตั้งแต่สมัยยังไม่ได้จับกีตาร์ด้วยซ้ำ เพราะเธอเป็นเด็กกิจกรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำมาหมดแล้วตั้งแต่ถือป้ายโรงเรียน เป็นดรัมเมเยอร์ ไปจนถึงการเป็นตัวแทนประกวดเต้น แต่ท้ายที่สุดก็มาลงเอยที่เส้นทางดนตรี ไม่ต่างไปจากคุณพ่อของเธอเลย ต้องบอกว่าเชื้อศิลปินไม่ทิ้งแถวจริงๆ
 

“ทำกิจกรรมโรงเรียนเยอะเหมือนกันค่ะทั้งๆ ที่เป็นคนค่อนข้างขี้อายตั้งแต่เด็กๆ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ชอบมาก แล้วก็ไม่อายด้วยก็คือเวลาได้ขึ้นเวทีรำค่ะ เคยเป็นนางรำครั้งแรกตั้งแต่อยู่ป.2 ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบ แต่รู้สึกว่าทุกครั้งที่ได้รำจะมีความสุข ยิ่งวันไหนได้เพลงที่ออกแนวเซิ้งๆ หน่อย ยิ่งสนุกใหญ่เลย (หัวเราะ) แต่พอเริ่มโตก็จะไม่ค่อยได้รำเท่าไหร่ค่ะ กลายเป็นการตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ แทน ตอนนั้นเป็นช่วงเพิ่งย้ายโรงเรียนเข้าไปใหม่ๆ เพื่อนผู้ชายที่เขามีวงของตัวเองอยู่แล้วก็มาชวนเรา เห็นว่าเราเป็นลูกคุณพ่อ คิดว่าต้องรู้เรื่องดนตรีแน่ๆ เลยจับแนทไปร้องเพลง ปรากฏว่าร้องได้ไม่กี่ครั้งก็เลิกเพราะเราไปติดเกมมากกว่า อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละค่ะ (ยิ้ม)”
  

ถึงแม้สุดท้ายจะต้องแยกวงกันไป แต่ยังถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่สูญเปล่าเสียทีเดียว เพราะอย่างน้อยการรวมวงกันครั้งนั้นก็ช่วยจุดประกายความสนใจด้านดนตรีให้แก่แนท จากที่เคยชอบฟังเพลงอย่างเดียว เธอหันมาลองหัดเล่นดูบ้าง กระทั่งค้นพบว่ากีตาร์ไฟฟ้าเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสน่ห์และสะท้อนตัวตนของเธอออกมาได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับบรรดาเครื่องเล่นชนิดอื่นๆ ที่เคยลองมาก่อนหน้านี้
  

“แนทเคยเล่นเปียโน ไวโอลิน แล้วก็กลองมาก่อนค่ะ ตอนที่เล่นกลองไม่ได้หัดจนถึงขั้นเทพ แค่เคยหัดตีเป็นจังหวะดู แล้วก็เลิกเล่นไปเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรา รู้สึกว่ามันต้องใช้แรงเยอะ แล้วตัวเราก็ผอมๆ ด้วย ส่วนเปียโนก็เคยเรียนเหมือนกันค่ะ คุณพ่อบอกให้ลองเรียนดู แต่รู้สึกว่ามันนุ่มนิ่มเกินไป เรียนได้แป๊บเดียวก็เลิกไปเพราะไม่ชอบ ที่เล่นได้นานที่สุดคงจะเป็นไวโอลินค่ะ เคยเล่นอยู่ 2 ปี ตอนอยู่วงโยธวาทิต ม.ต้น ช่วงนั้นวาเนสซา เมย์ กำลังดัง รู้สึกว่าเขาเจ๋งดีก็เลยหัดเล่นตาม เล่นได้สักพักก็รู้ว่าเราไม่ได้ชอบจริงๆ แค่ตามกระแสนิยมแค่นั้นเอง ก็เลยเลิกเล่นไป เท่าที่ลองมาทั้งหมดคิดว่ากีตาร์ไฟฟ้านี่แหละค่ะเหมาะกับเราที่สุด คิดว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล เล่นได้หลากหลายแนวมาก แล้วแต่ละแนวก็ให้อารมณ์ต่างกันไปด้วย ชอบที่สุดแล้วค่ะ

เกิดเป็นลูกสาวกีตาร์คิงส์
แม้จะยังไม่ได้เป็นร็อกเกอร์แบบเต็มขั้นอย่างคุณพ่อ แต่แนทก็ซึมซับดนตรีร็อกมาไว้กับตัวไม่น้อยเหมือนกัน เธอบอกว่าชอบฟังเพลงแนวนี้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์ร็อก ฮาร์ดร็อก ฟังได้หมด ขอให้มีคำว่าร็อกอย่างเดียวเป็นพอ ถามว่าที่ตอบอย่างนี้เป็นเพราะต้องการโปรโมตภาพยนตร์ร็อกวัยรุ่นรักวัยเรียนที่กำลังเข้าฉายอยู่หรือเปล่า เธอยิ้มและหัวเราะเบาๆ พร้อมกับยืนยันให้ฟังชัดๆ อีกครั้งว่า “ชอบเพลงร็อกอยู่แล้วจริงๆ ค่ะ ส่วนเรื่องฝีมือในการเล่นกีตาร์ก็พอเป็นบ้าง แต่ยังไม่ถึงขนาดโซโล่ยับขั้นเซียนแบบคุณพ่อนะ (ยิ้ม)” คนที่เคยดูคอนเสิร์ตของแหลม มอริสันคงรู้ดีว่าแนทมีความร็อกอยู่ในตัวมากขนาดไหน เพราะเธอเคยฝากลีลาบนเวทีคู่กับคุณพ่อเอาไว้หลายครั้งอยู่เหมือนกัน แม้เจ้าตัวจะออกตัวว่าไม่ได้เรื่องขนาดไหนก็ตาม
 

เคยขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีกับคุณพ่อค่ะ จำได้ว่าร้องเพี้ยนมาก (หัวเราะแบบเขินๆ) คือแนทเป็นพวกที่จะตื่นเต้นมากเวลาขึ้นเวทีน่ะค่ะ แล้วก็จะร้องเพี้ยนประจำเลย จริงๆ แล้วเคยขึ้นเวทีแบบนี้ตั้งแต่ประมาณ 6-7 ขวบแล้วค่ะ แต่ตอนเด็กๆ ยังไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่ สนุกๆ มากกว่า เพราะเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังซ้อมหรือว่าแสดงอยู่ แค่รู้สึกว่าต้องขึ้นไปร้องเพลงให้คนอื่นฟัง จำได้ว่าเคยขึ้นไปร้องเพลง “เล่นอะไรก็ไม่รู้...บ้า” แล้วก็เต้นกับคุณพ่อด้วย (ยิ้ม) แต่พอโตกว่านั้นแล้วขึ้นเวทีอีกครั้ง กลับรู้สึกเขินกว่าตอนเด็กๆ อีก อายุได้สัก 12 ปี ก็จะเริ่มอายแล้ว เริ่มรู้สึกว่าไม่กล้าแล้ว คุณพ่อบอกให้ขึ้นร้องก็จะเริ่มเกี่ยง แต่ก็ยังแสดงบ้างเหมือนกันค่ะ
  

ถามว่าเธอเคยรู้สึกกดดันบ้างไหมที่ถูกใครต่อใครเรียกว่าลูกสาวกีตาร์คิงส์ โดยเฉพาะความคาดหวังของสังคมที่มักวาดภาพว่าเธอต้องเล่นกีตาร์เก่งขั้นเทพ โดยเอาฝีมือชั้นครูของคุณพ่อมาเป็นบรรทัดฐานตัดสิน เกี่ยวกับเรื่องนี้แนทยอมรับว่าเธอเองก็เคยรู้สึกกดดันอยู่เหมือนกันเมื่อต้องถูกนำไปเปรียบเทียบเรื่องกีตาร์ แต่ไม่เคยเก็บเอามาคิดจนเกิดอารมณ์น้อยใจ ตรงกันข้ามกลับภูมิใจเสียมากกว่าที่ได้รู้ว่าคนอื่นๆ ยกย่องให้คุณพ่อของเธอเป็นตำนานของเมืองไทย
  

“ถ้าถามว่ากดดันไหมที่ถูกเรียกว่าเป็นลูกกีตาร์คิงส์ คงไม่กดดันหรอกค่ะ รู้สึกภูมิใจมากกว่าที่ได้เกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อที่เจ๋งที่สุด ถ้าเป็นเรื่องกีตาร์นี่ต้องยกให้คุณพ่อจริงๆ ค่ะ รู้สึกภูมิใจในตัวคุณพ่อแล้วก็ภูมิใจที่ใครๆ เรียกคุณพ่อว่ากีตาร์คิงส์ แล้วก็เรียกแนทว่าลูกกีตาร์คิงส์ แนทรู้สึกว่าคุณพ่อแนทเจ๋งที่สุดในโลกเลยค่ะ (ยิ้ม) ส่วนเรื่องที่คนอื่นอาจจะมองว่าเราเป็นลูกคุณพ่อแล้วต้องเล่นกีตาร์เก่ง แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เก่งขนาดนั้น ก็อาจจะทำให้รู้สึกกดดันอยู่บ้างเหมือนกันค่ะ เพราะแนทก็แค่พอเล่นเป็นเพลงได้บ้าง แต่ไม่ได้เฟี้ยวฟ้าวอย่างคุณพ่อ ต้องขอเวลาอีกสักปี 2 ปีค่ะ แล้วจะฝึกให้เทพ (หัวเราะ) แนทปิดประโยคด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่ถ้าให้วัดจากความมุ่งมั่นที่สะท้อนออกมาทางแววตาของเธอแล้ว เดาว่าน่าจะเป็นเรื่องจริงเสียมากกว่า

บ้านสองหลังในพัทยา
เมื่อพูดถึงครอบครัว เรื่องราวที่ออกจากปากของเธอมักเกี่ยวข้องกับคุณพ่อเสียเป็นส่วนใหญ่ ทีมงานจึงขอให้แนทพูดถึงบุคคลสำคัญอีกท่านหนึ่งในชีวิตของเธอบ้าง ทำให้ทราบว่าหนึ่งสาเหตุที่คุณพ่อกลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตของแนท เป็นเพราะครอบครัวของเธอแยกทางกันนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาววัย 19 ปีคนนี้ก็ไม่ได้มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปมด้อยในชีวิตแม้แต่น้อย เธอเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังด้วยรอยยิ้ม โดยไม่มีท่าทีกระอักกระอ่วนใจหลุดออกมาให้เห็นแต่อย่างใด เราจึงได้รับรู้อีกด้านหนึ่งของชีวิตเธอซึ่งไม่ได้ถูกกล่าวถึงบ่อยนัก
 

คุณแม่เป็นผู้จัดการโรงแรม อยู่ที่พัทยาเหมือนกันค่ะ แต่แยกกันอยู่กับคุณพ่อ เวลากลับไปที่นั่นก็จะแวะไปหาคุณแม่บ้างอาทิตย์ละครั้ง ไปกินข้าว ชอปปิ้งเป็นปกติตามประสาแม่ลูก ล่าสุดที่หนังโปรโมตคุณแม่ก็มาค่ะ แต่ส่วนใหญ่เราจะเจอกันในงานสำคัญๆ มากกว่า คนอื่นๆ เลยอาจจะไม่ค่อยเห็นแนทอยู่กับคุณแม่เท่าไหร่ แล้วแนทก็สนิทกับคุณพ่อมากกว่าด้วย อาจจะเป็นเพราะคุณแม่ดุกว่าคุณพ่อด้วยมั้งคะ (ยิ้ม) ส่วนเรื่องพี่น้อง แนทมีพี่สาวคนเดียวชื่อพี่เจี๊ยบ แต่เป็นพี่สาวคนละแม่ค่ะ คือคุณพ่อเลิกกับคุณแม่พี่เจี๊ยบไปแล้ว คุณพ่อถึงได้มาพบกับคุณแม่ของแนท ทุกวันนี้เราก็สนิทกันดี พี่เจี๊ยบเขาจะรักแนทเหมือนลูกเลยค่ะ”
  

ตัดสินจากมาดร็อกเกอร์จัดจ้านของคุณพ่อแล้ว วาดภาพไม่ออกเลยว่าจะให้คำปรึกษาเรื่องความสวยความงาม หรือพูดคุยเรื่องต่างๆ ที่ลูกสาววัยรุ่นอยากรู้ได้อย่างไร เดาว่าความแตกต่างระหว่างวัยและนิสัยแบบผู้ชายในตัวคุณพ่อ อาจส่งผลให้เกิดระยะห่างระหว่างพ่อกับลูกอยู่บ้าง แต่คำตอบที่ได้จากลูกสาวกลับต่างจากที่คาดไว้อย่างสิ้นเชิง แนทบอกว่าเธอเข้ากับคุณพ่อได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องแฟชั่นวัยรุ่นๆ ของลูกสาว
 

“เวลาอยู่ด้วยกัน กิจกรรมที่ทำบ่อยที่สุดคงเป็นการชอปปิ้งมั้งคะ เพราะคุณพ่อเป็นคนชอบเดินห้างมาก แล้วก็จะลากเราไปด้วยตลอด นี่แหละค่ะที่ทำให้เราเข้ากันได้ แล้วเวลาเลือกชุด เราก็จะช่วยกันเลือก ผลัดกันใส่ ผลัดกันดู แนทจะถามคุณพ่อว่าใส่ชุดนี้ดีไหมป๊า คุณพ่อก็จะบอก เสร็จแล้วคุณพ่อก็ถามเรากลับ แล้วป๊าล่ะเป็นไงมั่ง ก็จะช่วยกันเลือกแบบนี้ตลอดเลยค่ะ (ยิ้ม) เห็นคุณพ่อไว้หนวดไว้เครา เป็นคนหน้าเข้มๆ แบบนั้น คนอื่นอาจจะคิดว่าเป็นคนดุ แต่จริงๆ แล้วคุณพ่อใจดีมากนะคะ คุณพ่อไม่เคยตีแนทเลยสักครั้งหนึ่ง แต่เขาจะเข้าใจแล้วก็คุยกับเราด้วยเหตุผล แนทคิดว่าในโลกนี้คุณพ่อใจดีที่สุดแล้วค่ะ รู้สึกว่าคุยกับเขาได้ทุกเรื่องเลย

แกะดำในรั้วพาณิชย์
ย้อนกลับไปเมื่อสองปีที่แล้ว ถ้าได้ติดตามข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์จะพบชื่อ “ณัฐชา นวลแจ่ม” ปรากฏอยู่ ในฐานะผู้ที่ได้รับรางวัลบุคลิกภาพดีเด่นฝ่ายหญิง บนเวทีประกวดสุดยอดคนพันธุ์อา ปีที่ 4 ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเวทีแห่งนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างค่านิยมใหม่ๆ ให้แก่เด็กอาชีวะ ให้คนทั่วไปยอมรับว่าเยาวชนกลุ่มนี้ยังมีความสามารถในอีกหลายๆ ด้านที่น่าเชิดชู นอกเหนือไปจากข่าวยกพวกตีกัน ซึ่งมีให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์จนหลายคนเคยชิน ถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรที่คนในสังคมมักจะตัดสินแบบเหมารวม มองว่าสถาบันดังกล่าวเป็นแหล่งซ่อมสุมของเด็กเกเร ในฐานะที่เป็นเด็กอาชีวะคนหนึ่ง แนทจึงขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้เอาไว้
 

“แนทคิดว่ามันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะว่าเขาจะมองเด็กอาชีวะเป็นยังไง แต่สำหรับแนท แนทมองว่ามันอยู่ที่ตัวเรามากกว่าค่ะ ถึงแม้เราเรียนอาชีวะ มันก็ไม่จำเป็นว่าเราต้องไปตีกับเด็กช่างกลนะ ถ้าเกิดเราทำตัวดีๆ ไม่ได้ไปมีเรื่องกับใคร ก็จะอยู่อย่างสงบได้ แล้วเท่าที่เห็น ก็ไม่เห็นว่าเพื่อนๆ จะไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครเลยนะคะ แนทว่าการเรียนในโรงเรียนอาชีวะจะเน้นไปทางปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี เพราะฉะนั้นคนที่ลงเรียนส่วนใหญ่คือคนที่เรียนเพื่อไปประกอบอาชีพ เขาคงไม่ได้มาเรียนกันเพราะอยากเป็นนักเลงกันหรอกเนอะ (ยิ้ม)” คำตอบของเธอ เล่นเอาคนสัมภาษณ์พยักหน้าตามไปด้วยแทบไม่ทัน
 

นอกจากจะต้องถูกเหมารวมว่าเป็นแกะดำในสังคมบางครั้งบางคราว สาวพาณิชย์อย่างเธอยังถูกมองว่าแปลกแยกจากเพื่อนๆ ในรั้วโรงเรียนเดียวกันด้วย เพราะรูปแบบการใช้ชีวิตของแนทแตกต่างจากคนในสถาบันเดียวกันอย่างชัดเจน ทำให้คนอื่นๆ เรียกเธอว่าลูกคุณหนู จนถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนเย่อหยิ่ง กว่าเพื่อนๆ จะเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเธอได้ เล่นเอาแทบแย่ไปเหมือนกัน
 

เด็กพาณิชย์ส่วนใหญ่พ่อแม่จะไม่ได้ไปรับไปส่งค่ะ เห็นเขาขับรถไปเองบ้าง ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรียนก็มี แต่เรามีคุณพ่อไปรับไปส่งที่โรงเรียนตลอด เลยกลายเป็นลูกคุณหนูในสายตาคนอื่นไปโดยปริยาย เพื่อนของแนทส่วนใหญ่ก็เลยเป็นผู้ชายค่ะ เพราะเพื่อนผู้ชายจะไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่เพื่อนผู้หญิงพอคิดว่าเราเป็นลูกคุณหนู อาจจะคิดว่าไม่คบด้วยดีกว่า แต่ตอนนี้เพื่อนๆ เข้าใจแนทแล้วเราก็สนิทกันเป็นปกติค่ะ เขาบอกว่าที่ไม่กล้าเข้ามาคุยด้วยตอนแรกๆ เพราะกลัวว่าเราจะหยิ่ง แต่พอได้รู้จักกันจริงๆ จะรู้ค่ะว่าแนทเป็นคนเป็นกันเองมากนะ ไม่ได้เป็นลูกคุณหนูเหมือนบุคลิกภายนอกที่เห็น พูดจบประโยคแนทก็แจกยิ้มกว้างอย่างจริงใจ พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นกันเองของเธอ

ครั้งแรกของน้องแนท
“ไม่มีคำไหนจะอธิบายได้เลยค่ะ รู้สึกว่าเป็นอะไรที่เหมือนฝันมากๆ ตอนนี้ยังรู้สึกว่าตัวเองฝันอยู่เลยนะ (หัวเราะ) มันเป็นอะไรที่แบบ... (สูดหายใจเข้าอย่างช้าๆ แล้วปล่อยออกมาเป็นคำพูดว่า) ไม่มีคำบรรยายเลยค่ะ เจ๋งมากจริงๆ” ทั้งหมดนี้คือความรู้สึกของแนทที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต เธอรู้สึกว่าโอกาสวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด และแม้จะพยายามเตรียมพร้อมเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกตื่นเต้นมาจากภายในก็ไม่ได้ลดลงเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ถ้าไม่เชื่อลองให้เธอเล่าประสบการณ์การถ่ายทำฉากแรกในชีวิตให้ฟัง แล้วจะรู้ว่าอาการประหม่ามีอยู่จริง
 

“จำได้เลยค่ะ ครั้งแรกที่เข้าฉากกับเก้าเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาก เป็นการถ่ายทำครั้งแรกในชีวิตด้วย ฉากนั้นพูดแค่ 2 ประโยคสั้นๆ ค่ะ พูดว่า “เป็นยังไงบ้าง เราสวยไหม” ประมาณนี้ แนทก็ท่อง 2 ประโยคนี้ พูดวนอยู่นั่นแหละก่อนเข้าฉาก แล้วก็ตัวสั่นไม่ยอมหยุดเลย เกร็งมาก พอถ่ายจริงปรากฏว่า 2 ประโยคที่ท่องเอาไว้ดันพูดสลับกันอีก (หัวเราะ) อายมากเลยค่ะ”
 

ที่ตื่นเต้น เป็นเพราะความฮอตของ "เก้า จิรายุ ละอองมณี" พระเอกของเรื่องด้วยหรือเปล่า? หลังได้ยินคำถาม แนทนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนแจกยิ้มและให้คำตอบว่า “อาจจะใช่ส่วนหนึ่งค่ะ…” และก่อนที่จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่โต เจ้าของคำตอบก็ค่อยๆ ขยายความให้ฟัง “ด้วยความที่เขาเป็นเก้า จิรายุ เขามีประสบการณ์การทำงานมากกว่าเรา แนทก็พยายามบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเลยค่ะว่าเราจะเป็นตัวถ่วงไม่ได้นะ ก็แอบกลัวว่าต้องให้เขามานั่งรอเราหรือเปล่า แต่พอได้คุยกัน เข้าบทด้วยกัน เก้าก็จะสอนว่าต้องทำยังไง แล้วเวลาสอน เขาก็ไม่ได้ใส่อารมณ์ว่าเราชักช้าหรืออะไร ก็ให้กำลังใจดีค่ะ รู้สึกว่าเป็นอะไรที่เจ๋งมากเลยค่ะที่มีเพื่อนร่วมงานที่เข้าใจ ก็เลยผ่านมาได้”
 

นอกจากต้องรับแรงกดดันเมื่อร่วมงานกับนักแสดงมืออาชีพแล้ว แนทยังมีฉากร้องไห้ให้หนักใจเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะถึงแม้จะพยายามเค้นน้ำตาออกมาเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของร่างกายจะไม่ให้ความร่วมมือแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อผู้กำกับเดินเข้าไปพูดกับเธอเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น แนทถึงกับน้ำตาร่วงไม่ยอมหยุดเลยทีเดียว
 

“ตอนเรียนแอ็กติ้งคิดว่ายากแล้วนะคะที่ต้องบีบน้ำตา แต่ก็ยังพอทำได้อยู่ พอเข้าฉากจริงๆ ยิ่งแย่กว่าอีก ตอนนั้นรู้สึกกดดันมาก ถ่ายไปหลายเทกแล้วยังร้องให้ไม่ออกเลย ทั้งกองต้องรอเราคนเดียว คนอื่นๆ ในกองเขาก็เดินเข้ามาคุย เข้ามาแหย่เรา บอกว่าหมดเวลาแล้วนะ บางคนก็ทำท่าดูนาฬิกาหลายครั้งมาก คือเขาตั้งใจแกล้งเรา คิดว่าถ้ากดดันเรามากๆ แล้วเราจะร้องไห้ แต่ทำยังไงแนทก็ร้องไม่ออกเลยค่ะ สักพักหนึ่งพี่หมู ผู้กำกับ เดินมาหา เข้ามาถามเราด้วยความเป็นห่วงว่า เป็นยังไงบ้างแนท เท่านั้นแหละค่ะ ร้องไห้เลย เหมือนเรารู้สึกว่าพี่หมูเป็นคนเดียวที่เห็นใจเรา น้ำตาก็เลยไหลออกมาโดยอัตโนมัติ พอเห็นเราร้องไห้เท่านั้นแหละ พี่เขาวิ่งกลับไปหน้ามอนิเตอร์แทบไม่ทันเลยค่ะ สั่งให้ถ่ายทำต่อทันที เพราะฉะนั้นคนที่ไปดูหนังแล้วเห็นฉากที่แนทร้องไห้ จริงๆ แล้วไม่ได้ร้องไห้เพราะในเรื่องนะ แต่ร้องไห้เพราะพี่ผู้กำกับนี่แหละค่ะ (หัวเราะ)”

อนาคต... มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า
เคมีเข้ากับพระเอกหนุ่มไฟแรงได้ขนาดนี้ เชื่อว่าหลายคนคงแอบส่งเสียงเชียร์ให้ได้ร่วมงานด้วยกันอีก ถ้าไม่ได้เจอกันในจอหนัง อาจได้เจอกันในจอทีวีวันข้างหน้า เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นนางเอกจีทีเอชแล้วล่ะก็ รับรองว่าเนื้อหอมไม่แพ้นางเอกรุ่นพี่อีกหลายๆ คนที่ถูกเสนอให้เซ็นสัญญามีสังกัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถามว่านางเอกหน้าใหม่อย่างเธอคาดหวังว่าภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตจะช่วยปูทางในวงการได้มากน้อยแค่ไหน แนทบอกว่าขอให้แล้วแต่โอกาสที่เข้ามาก็แล้วกัน
 

“ไม่ได้คาดหวังว่าจะดังค่ะ แต่คาดหวังว่าคนดูจะชอบหนังเรื่องนี้ เพราะเราก็ทำเต็มที่ ทำเต็มความสามารถ ก็คาดหวังว่าอยากให้ทุกคนชอบผลงานค่ะ ส่วนงานชิ้นนี้จะเป็นบันไดปูทางไปสู่งานในวงการอื่นหรือเปล่า คิดว่าคงมีส่วนค่ะ ตอนนี้แนทเพิ่งเล่นหนังเรื่องแรกในชีวิต ยังไม่เคยลองงานอื่น ยังไม่เคยลองเล่นละคร ไม่เคยเดินแบบ ยังไม่เคยทำหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสก็อยากลองทำทุกอย่างเลยค่ะ จะได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเหมาะกับอะไร หรืองานประเภทไหนมากที่สุด”
 

“ส่วนเรื่องเรียน คิดอยู่ค่ะว่าจะต่อนิเทศฯ พอได้ทำงานในวงการมันทำให้แนทรู้ตัวว่าจริงๆ แล้วเราชอบอะไร ส่วนที่เรียนคอมพิวเตอร์กราฟิกอยู่ตอนนี้ อยากให้เป็นงานอดิเรกไป และคิดว่าน่าจะช่วยเสริมด้านนิเทศฯ ได้ แนทว่าวงการบันเทิงเป็นอะไรที่น่าค้นหาดีค่ะ ตอนนี้ก็มีอีกหลายต่อหลายอย่างที่แนทยังไม่รู้อีกเยอะ อยากเรียนรู้ทุกอย่างเลย รวมทั้งงานเบื้องหลังด้วย
 

ถ้าให้เลือกได้แค่อย่างเดียว อยากให้ผลงานชิ้นแรกชิ้นนี้ปูทางไปสู่งานประเภทไหน? เรายิงคำถามสุดท้ายออกไป ก่อนปล่อยให้แนทนิ่งคิดสักพักเพื่อบอกความต้องการที่แท้จริง “แนทอยากเป็นศิลปินค่ะ อยากทำงานด้านเพลง และถ้าได้เป็นนักร้อง คงอยากทำเพลงแนวป็อปร็อก แต่ตอนนี้ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอ ยังอยากเรียนดนตรี เรียนกีตาร์ให้เก่งกว่านี้ก่อน แล้วถ้ามีโอกาส จะฟอร์มวงหรือเป็นนักร้องเดี่ยว คงต้องคิดอีกทีค่ะ” เอาล่ะ... เจ้าของค่ายเพลงทุกท่านฟังเอาไว้



ก่อนเข้ามาจีบ กรุณาเตรียมตัวซักซี้ดนึง!!
ถามเรื่องสเปกหนุ่มๆ กับมุมมองเรื่องความรัก เจ้าตัวกลับบอกปัดว่ายังเด็กอยู่ จึงไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเธอเข็ดหลาบจากประสบการณ์ถูกจีบเมื่อครั้งเริ่มแตกเนื้อสาวหรือเปล่า ถึงได้ค่อนข้างระมัดระวังตัวในเรื่องนี้ หนุ่มๆ คนไหนหมายตาเธอคนนี้เอาไว้ แนะนำว่าอย่าใช้วิธีจีบแบบนี้ก็แล้วกัน
 

“มีคนมาจีบบ้างเหมือนกันค่ะ แต่ส่วนใหญ่คบกันเป็นเพื่อนมากกว่า เคยมีแบบเอาจดหมายมาสอดไว้ใต้โต๊ะบ้าง แต่เล่นกีตาร์จีบนี่ ยังไม่มีนะ (หัวเราะ) ที่ดูแปลกที่สุดคงเป็นคนที่ขโมยสมุดการบ้านแนทไป ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเขาเอาไป ตอนอาจารย์แจกสมุดคืนแล้วเราไม่ได้คืนก็คิดว่ามันหายไปเฉยๆ ตอนนั้นอาจารย์ก็บ่นใหญ่เลยว่าสมุดหายไปไหน จนเราถูกสั่งให้ไปคัดเล่มใหม่มาหมดทั้งเล่มเลย เหนื่อยมากค่ะ เรียนไปจนจะจบเทอมอยู่แล้ว วันหนึ่งสมุดเล่มเก่าก็โผล่มาอยู่ใต้ลิ้นชัก พอเปิดดูก็มีข้อความอะไรบางอย่างเขียนอยู่ในนั้น ประมาณว่าบอกรักเรา แล้วเขาก็เขียนชื่อตัวเองเอาไว้ด้วย เขาคงคิดว่ามันเป็นวิธีที่โรแมนติกแล้วมั้งคะ ที่ไหนได้มันทำให้แนทโกรธมาก ไม่พูดกับเขาอีกเลย แอบคิดว่าเขาเป็นโรคจิตด้วยซ้ำ (หัวเราะ)”

ถ้าอยากจีบแนทให้ติดจริงๆ แนะนำให้พาเธอไปเที่ยวน้ำตกดูสักครั้ง เพราะเธอกระซิบบอกมาว่าเป็นคนชอบน้ำตกและอยากไปเที่ยวมาก แต่ทุกครั้งที่ไปเจอ มักจะเหลือให้เห็นแค่ธารน้ำแห้งขอดอยู่เสมอ จนกลายเป็นปมฝังใจไปแล้วว่าอยากเห็นน้ำตกสวยๆ สักครั้งหนึ่งในชีวิต เหล่าเนวิเกเตอร์ทั้งหลายทราบแล้วปฏิบัติ



ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : แนท ณัฐชา นวลแจ่ม
วันเกิด : 16 กันยายน 2535
ส่วนสูง : 165 ซม.
น้ำหนัก : 45 กก.
การศึกษา : ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ โรงเรียนอักษรเทคโนโลยีพัทยา
ความสามารถ : รำไทย, เล่นกีตาร์ไฟฟ้า และไวโอลิน
ผลงาน : มิวสิกวิดีโอเพลง “อยากจะบอกเธอว่ารัก” ศิลปิน Prinky Groove และภาพยนตร์เรื่อง “Suck Seed ห่วยขั้นเทพ”
รางวัลที่ได้รับ : ตำแหน่งบุคลิกภาพยอดเยี่ยม จากเวทีประกวดสุดยอดคนพันธุ์อา ปี 2552
                                                            
                     รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite / ASTV สุดสัปดาห์
                     ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน







คนนี้แหละ...ลูกสาวกีตาร์คิงส์









รอยยิ้มใสๆ ขณะให้สัมภาษณ์
กีตาร์คิงส์ สุดยอดมือกีตาร์ในตำนาน
คุณพ่อวิชัย เพื่อนรู้ใจที่สนิทที่สุด




ลีลาลูกไม้ใต้ต้น โซโล่กีตาร์พลิ้วไม่แพ้กัน
แสดงคู่กับ เก้า จิรายุ พระเอกหนุ่มแห่งยุค
กำลังโหลดความคิดเห็น