xs
xsm
sm
md
lg

“โม มนชนก” จุลินทรีย์น่าเลิฟ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ความรักมีหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป และไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร ไม่มีครั้งไหนเลยที่รักไม่ใช่เรื่องใหญ่ “โม มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ” คือหนึ่งในนางเอกหน้าใหม่ที่ถูกเลือกให้นำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ผ่านความสัมพันธ์แบบเพื่อนรัก-รักเพื่อน ในภาพยนตร์เรื่อง “เลิฟจุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก” ถึงเธอจะยอมรับว่านิสัยจริงๆ ไม่ต่างจากบทที่ได้รับเล่นเท่าใดนัก แต่สำหรับคนที่อยากรู้จักหญิงสาวคนนี้ให้ลึกซึ้งมากกว่านั้น M-Lite ยังมีอีกหลายแง่มุมซึ่งแตกต่างจากบนแผ่นฟิล์มมาฝากกัน

มองผ่านกระจกใสๆ เข้าไปในร้านกาแฟขนาดกะทัดรัดมุมตึก เห็นหญิงสาวผมสั้นคนหนึ่ง แต่งตัวตามแฟชั่น กำลังนั่งจิบเครื่องดื่มเงียบๆ อยู่คนเดียว เธอกวาดสายตาออกมานอกร้านเป็นระยะคล้ายกำลังคอยใคร ทีมงานมองอยู่สักพักเพราะไม่มั่นใจว่าคือคนเดียวกับที่นัดไว้ เนื่องจากผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าดูผอมบางกว่าในหนังอยู่มาก บวกกับสีหน้านิ่งๆ ไม่ยินดียินร้ายของเธอ ทำให้ทีมงานไม่กล้าพรวดพราดเข้าไปทักทายทันที แต่เมื่อแน่ใจแล้วว่าเธอคือ “โม มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ” หนึ่งในนางเอกหน้าใหม่จากค่าย M39 ทีมงานจึงตรงเข้าไปเปิดบทสนทนา
 

โมเป็นคนหน้าดุค่ะ ถ้าทำหน้าปกติ ไม่ยิ้ม หน้าจะบึ้งไปเลย เคยคิดจะไปศัลยกรรมปากเหมือนกัน อยากให้รูปปากเป็นเหมือนคนยิ้มตลอดเวลา จะได้ดูเฟรนด์ลี่ จริงๆ นะ (ยิ้มแบบปลงๆ)” โมบอกเหตุผลแก่ทีมงาน เพราะกลัวว่าสีหน้านิ่งๆ ตั้งแต่แรกเห็นจะทำให้เราเข้าใจผิด คิดว่าเธอหยิ่งอย่างที่ถูกหลายคนกล่าวหา ผู้สัมภาษณ์ได้แต่พยักหน้าบอกเธอเป็นนัยๆ ว่าแวบแรกที่เห็นก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
  

พูดกันตามเนื้อผ้าแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่โมจะถูกมองว่าเย่อหยิ่ง เดาว่าต้นเหตุหลักๆ น่าจะมาจากนิสัย “ตรงไปตรงมา มั่นใจ และไม่เสแสร้ง” ของเธอนี่เอง คุณสมบัติพวกนี้เป็นเหมือนดาบสองคม ทำให้มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบโม แต่สำหรับทีมงานแล้ว ถือเป็นข้อดีเสียมากกว่า เพราะทุกครั้งที่ถามคำถามออกไป ทำให้ไม่จำเป็นต้องมานั่งตีความให้ปวดหัวว่าเจ้าตัวกำลังพูดความจริงอยู่หรือเปล่า เนื่องจากมั่นใจได้ว่าเธอคนนี้ จริงใจกับทุกคำตอบอย่างแน่นอน รวมถึงคำตอบทั้งหมดที่ให้ไว้แก่เราในครั้งนี้ด้วย

ไม่ยุ่งใครและไม่อยากให้ใครมายุ่ง
ถ้ายังไม่มีสมญานามในวงการ เราขอตั้งให้เธอเป็น “เจ้าแม่เอ็มวี” เพราะที่ผ่านมาโมมีโอกาสได้แสดงมิวสิกวิดีโอหลายสิบชิ้น จะเรียกว่าเป็นหนทางสู่การแจ้งเกิดก็ว่าได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคนจำนวนมากจะคุ้นหน้าคุ้นตาเธอมาก่อน แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่าคือผลงานเกือบทุกชิ้นที่ได้รับเล่น โมแทบไม่เคยใช้ความพยายามในการแคสต์งานด้วยซ้ำ แต่อาศัยโชคชะตาเป็นหลัก
 

“อย่างงานแรกที่ได้ก็เพราะความบังเอิญ ตอนนั้นโมแวะเข้าไปหาเพื่อนตอนเขาถ่ายเอ็มวีอยู่ ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปเสนอหน้าให้ใครเห็นจริงๆ แค่แวะไปโม้นู่นนี่ให้เพื่อนฟัง ไม่สนด้วยซ้ำว่าเขากำลังถ่ายทำอยู่ หรือนักร้องคือใคร พอดีผู้กำกับเอ็มวีเห็นโม เลยบอกโมเดลลิ่งของเพื่อนว่าอยากให้เราไปเล่นเอ็มวีอีกตัวหนึ่ง ก็เลยได้เริ่มทำมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วเอ็มวีอีก 7 ตัวหลังจากนั้นก็ได้มาเรื่อยๆ แบบไม่เคยไปแคสต์เลยสักตัวค่ะ
  

อาจเพราะเส้นทางชีวิตในวงการของโมได้มาแบบไม่ต้องดิ้นรนมากนัก เธอจึงมีมุมมองแตกต่างจากวัยรุ่นทั่วไปที่อยากเข้าวงการ โดยให้เหตุผลว่า “คงเป็นเพราะโมได้อะไรมาง่ายๆ มั้งคะ ก็เลยทำให้ไม่ค่อยเห็นคุณค่าสักเท่าไหร่ เทียบกับบางคน เขาต้องพยายามไปแคสต์งานเป็น 40-50 ตัว กว่าจะได้สักงานหนึ่ง ก็เลยอาจจะอยากทำงานตรงนี้มาก แต่โมรู้สึกว่าถึงไม่ได้เป็น ไม่ได้ทำงานนี้ ฉันก็ไม่ตาย แต่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้เรียนรู้ค่ะ และด้วยความคิดแบบนี้เองจึงทำให้โมสามารถแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องแกล้งทำดีกับใคร คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น และไม่ต้องห่วงเรื่องภาพลักษณ์มากมายนัก แม้กระทั่งต่อกลุ่มคนที่ชื่นชอบเธอเอง
  

“กับแฟนคลับ โมไม่ใช่คนที่จะมานั่งตั้ง Status หรือ Twit บอกว่าเราอยู่ตรงนี้นะ หรือทำอะไรอยู่บ้าง จะบอกแค่งานที่ถ่ายเสร็จแล้วว่าจะออนแอร์วันไหน คนที่อยากดูงานเราจะได้ไม่พลาด ไม่อยากให้เขาต้องมาคอยตามไปเจอเราทุกที่ ก็เข้าใจนะคะว่าเขาอยากไปเจอ แต่ถ้าเป็นไปได้อยากให้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า เพราะคนที่มาชอบโมส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น กลัวว่าเขาจะแบ่งเรื่องเรียนกับเรื่องเราไม่ได้”
 
เคยมีแฟนคลับตั้งเว็บไซต์ให้ด้วย โมก็บอกเขาไปตรงๆ เลยว่าโมไม่ชอบนะ แค่ตอนนี้มีแฟนเพจในเฟซบุ๊กก็พอแล้วค่ะ แค่นี้ก็มีคนเข้ามาว่าเราให้วุ่นไปหมดแล้ว โมมีคนที่ไม่ชอบหน้าด้วยไงคะ เขาก็จะคอยเข้ามาติเราตลอด ขนาดอยู่เฉยๆ ยังโดนว่าเลยค่ะ เคยอ่านเจอ มีคนเขียนว่าเห็นโมเดินเล่นที่เจเจ เดินสะบัดบ็อบ น่าหมั่นไส้มาก (หัวเราะแบบงงๆ) เราก็อึ้งเลย ไม่รู้ไปทำอะไรผิด มีครั้งหนึ่งกลายเป็นสงครามบนอินเทอร์เน็ตเลย มีคนเข้ามาว่าโม แล้วแฟนคลับโมก็ว่าเขากลับไป ตอบกันไปมาน่าปวดหัวมาก จนเราต้องปรามคนฝ่ายเราว่าช่างเขาเถอะ โมเลยชอบอยู่เฉยๆ มากกว่า ไม่ค่อยอยากทำอะไร โมถือคติว่าโมไม่ยุ่งกับใคร แล้วใครก็อย่ามายุ่งกับโม ต่างคนต่างอยู่ดีกว่าค่ะ เธอพูดอย่างตรงไปตรงมา

มือใหม่หัดเฟก
ด้วยความที่เป็นคนปากกับใจตรงกัน กลุ่มเพื่อนสนิทของโมจึงเป็นคนประเภทเดียวกันคือ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงประเภทลุยไหนลุยกัน ก็จะเป็นเพื่อนสาวประเภทสองไปเลย ส่วนผู้ชายก็ต้องเป็นคนไม่คิดมาก ไม่อย่างนั้นคบกันไม่รอด เพราะความจริงเท่านั้นคือสิ่งที่โมต้องการจากการคบกัน จะให้มานั่งเสแสร้ง พูดจาอ้อมค้อม เธอบอกว่าทำไม่เป็น
 

โมเป็นคนตรงๆ แล้วก็เป็นคนไม่น่าคบค่ะ (ยิ้ม) ถ้าไม่ใช่คนแบบเดียวกัน จะไม่อยากคบกับโมแน่นอน อย่างผู้หญิงที่อ่อนหวานมากๆ มีความเป็นผู้ญิ้งผู้หญิง รับความจริงไม่ค่อยได้ เขาก็จะอยู่กับโมไม่ได้ เพื่อนโมส่วนใหญ่จะเป็นตุ๊ดค่ะ หรือไม่ก็เป็นดี้ ไม่มีเพศปกติ (หัวเราะ) ที่มีเพื่อนแบบนี้เยอะคงเพราะโมชอบความจริงมั้งคะ แล้วตุ๊ดจะชอบพูดตรงๆ อันไหนทำแล้วทุเรศก็บอกเลย ไม่ต้องเอ่อ... คือว่า แต่ถ้าคบกับผู้หญิงส่วนใหญ่จะขี้เกรงใจ พูดอ้อมค้อมอยู่นั่นแหละ ซึ่งมันไม่ใช่ค่ะ ถ้าคบกันแล้วพูดอะไรก็ไม่ได้ อย่าคบกันเลยดีกว่า คนอื่นอาจจะมองว่าโมแรง แต่โมไม่เคยหาเรื่องใครก่อนนะ เราก็อยู่ของเรา แค่เราแสดงออกชัดเจน โมจะคิดเอาไว้ในหัวของโมเองตลอดเลยว่าอยู่ยังไงก็ได้ แค่ไม่เดือดร้อนคนอื่นก็พอ
  

ถึงแม้การอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่นิสัยคล้ายกันจะช่วยให้เข้าใจกันได้แทบทุกเรื่องโดยไม่ต้องปรับตัวมากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราปฏิเสธการเข้าสังคมไม่ได้ จึงต้องพบปะผู้คนอีกมากมายที่นิสัยใจคอแตกต่างกัน โดยเฉพาะในวงการมายา ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะใส่หน้ากากเข้าหากันบ้าง เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น โมเข้าใจความจริงข้อนี้ดีและยอมรับว่าทุกวันนี้เธอเริ่มหยิบมันมาใช้บ้างแล้ว
  

“คุณแม่เคยพูดว่าโมเป็นคนสังคมแคบ อยู่แต่กับคนแบบเดียวกัน เลยไม่คิดจะปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น ซึ่งโมก็คิดว่าเป็นเรื่องจริงค่ะ พักหลังๆ เลยเริ่มพยายามปรับตัวมากขึ้น ยิ่งต้องทำงานในวงการนี้ด้วย บางทีโมก็ต้องยอมรับที่จะต้องเฟกบ้างนะ ต้องพยายามเชื่อไปว่าสิ่งที่เราแสดงออกมาเป็นเรื่องจริง อย่างเวลาโมต้องไปถ่ายแบบทำท่าคิกขุ ซึ่งตัวจริงเราไม่ใช่อย่างนั้น โมก็ต้องหลอกตัวเองแล้วว่าเราเป็นแบบนั้นได้ เราเฟกได้ คนอื่นอาจจะบอกว่ามันคือการแบ่งอารมณ์ เป็นการแสดงอย่างหนึ่ง แต่โมว่าการหลอกตัวเองนี่แหละค่ะคือการเฟก การแสดงก็เป็นการเฟกอย่างหนึ่ง แสดงเก่งก็แสดงว่าเฟกเก่งพอถามว่าเธอแสดงเก่งไหม โมกลับยิ้มใสๆ ให้แทนคำตอบ

บทเรียนจากเฟซบุ๊ก
ถ้าได้ติดตามข่าวบันเทิงจากหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีข่าว “โม มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ” เป็นแฟนกับ “เก้า จิรายุ ละอองมณี” หลุดออกมา จนทั้งสองฝ่ายต้องออกมาขอโทษขอโพย แก้ข่าวกันเป็นการใหญ่ พร้อมกับเปิดเผยว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเพียงความคิดขำๆ เอาไว้อำกันระหว่างกลุ่มเพื่อนเท่านั้นเอง เรื่องของเรื่องนั้นเกิดจากโมเข้าไปเปลี่ยนสถานะในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่ากำลังคบหาดูใจอยู่กับเก้า เพื่อตั้งใจจะแกล้งเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม แต่เรื่องราวกลับขยายวงกว้างจนถูกนำมาเขียนเป็นข่าวอย่างไม่มีใครคาดคิด
 

“ในเฟซบุ๊กมันจะมีส่วนที่ให้ตั้งข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองว่ากำลังคบกับใครอยู่หรือเปล่า ให้เลือกชื่อคนนั้นขึ้นมา แล้วคนอื่นก็จะเห็นว่าเรากำลัง In a ralationship with ใครอยู่ แล้วตอนนั้นเกิดนึกสนุก กดเลือกชื่อเก้าไปเล่นๆ ว่ากำลังคบกับเราอยู่นะ กะว่าจะแกล้งเพื่อนเสียหน่อย เพราะเพื่อนโมคนหนึ่งเขาคลั่งเก้ามาก เป็นแฟนคลับเก้า แล้วเผอิญว่าเก้าเขาก็กดยอมรับด้วยว่าเราคบกันจริงๆ ก็เลยเป็นเรื่อง แต่ตอนนั้นเราสองคนไม่ได้คิดอะไรนะคะ รู้ๆ กันอยู่ว่าล้อเล่นเฉยๆ ก็เลยขึ้นสถานะนี้ค้างไว้หนึ่งวัน แล้วหลังจากนั้นก็เอาออกเลยค่ะ นึกว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปรากฏว่างานเข้า เป็นข่าวใหญ่โต เข็ดเลยค่ะ จะไม่เล่นแบบนั้นอีกแล้ว ยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นโมเป็นคนผิดเอง ถือว่าเป็นบทเรียนทำให้รู้ว่าอยู่ในวงการไม่ควรเล่นเฟซบุ๊กพร่ำเพรื่อ โมยิ้มเรียบๆ ก่อนเริ่มพูดถึงอีกแง่มุมหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งนี้
  

“แต่ถึงตอนนี้โมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนะว่าทำไมคนถึงเชื่อที่โมไปกดเล่นๆ ในเฟซบุ๊ก เขารู้ได้ยังไงว่าอันนั้นเป็นเฟซบุ๊กของโมกับเก้าจริงๆ ไม่ใช่เฟซบุ๊กปลอม สมัยนี้ของปลอมมีตั้งเยอะตั้งแยะ สมมติว่าโมถ่ายรูปแก้วน้ำแล้วตั้งชื่อเป็นอั้ม พัชราภาบ้างล่ะ จะมีใครเชื่อไหมว่าคือตัวจริง โมว่าบางทีเราอาจจะอยู่กับโลกอินเทอร์เน็ตมากเกินไป เชื่ออะไรๆ ง่ายเกินไปหรือเปล่า แต่คงเป็นเรื่องปกติของคนแหละค่ะ เพราะถ้าเราเชื่อข่าวก๊อสซิปได้ เราก็คงเชื่อจากการอ่านสเตตัสเฟซบุ๊กได้เหมือนกัน
  

ถามว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นหนึ่งในแผนโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง “เลิฟจุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก” ซึ่งโมแสดงคู่กับเก้าใช่หรือไม่ เธอได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับให้เหตุผลว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนจะถ่ายทำเสร็จด้วยซ้ำ จึงตัดข้อสงสัยนี้ออกไปได้เลย ส่วนใครที่มองว่าเธอสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพราะต้องการเกาะกระแสพระเอกหนุ่มเพื่อหวังดัง โมขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะเธอไม่เคยสนใจจะดังด้วยวิธีนี้แม้แต่นิดเดียว
  

“เข้าใจว่าข่าวรักโปรโมตเป็นเรื่องธรรมดาในวงการ แต่ถ้าเลือกได้ โมขอไม่เป็นข่าวเลย อยู่เงียบๆ ไปเลยดีกว่าค่ะ เป็นข่าวนี่ถ้าดีก็ดีไป แต่ถ้าข่าวไม่ดี อย่ามีเลยดีกว่า ดูอย่างพี่แอน ทองประสมสิคะ ไม่เห็นมีข่าวเกี่ยวกับชีวิตพี่เขาเลยวันๆ หนึ่ง แต่เขาก็ยังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ได้ ถ้าอยากอยู่วงการให้ได้นานจริงๆ แทนที่จะมานั่งทำตัวให้เป็นข่าว โมเอาเวลาไปพัฒนาฝีมือ แสดงศักยภาพของเราให้คนอื่นเห็นไม่ดีกว่าหรือ คำตอบของเธอทำเอาผู้ถามอดพยักหน้าตามไม่ได้

โดนแบนเพราะจูบ
เลิฟซีนกันตั้งกี่ฉาก ให้ผ่านฉลุยได้แทบทุกเรื่อง พอถึงคราวปล่อยทีเซอร์หนังรักวัยรุ่นใสๆ อย่าง “เลิฟจุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก” ออกมา สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติกลับรีบแบนกันแทบไม่ทัน ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวอย่างภาพยนตร์มีการฉายให้เห็นภาพที่ไม่เหมาะสมของนักแสดงวัยรุ่น ทำท่าจูบกันแบบปากชนปาก โดยเฉพาะตัวละครบางตัวซึ่งอยู่ในชุดนักเรียน กลัวว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะเป็นตัวอย่างที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เด็กและเยาวชนลอกเลียนแบบในภายหลัง ในฐานะที่โมเป็นเจ้าของฉากเลิฟซีนที่ถูกแบน ถามว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ เธอนิ่งคิดสักพัก ก่อนให้คำตอบอย่างระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้คำพูดของตัวเองกระทบต่อตัวหนังอีกรอบหนึ่ง
 

“ต้องยอมรับค่ะว่าเราผิดจริง ตอนนั้นหยุดยาวขึ้นปีใหม่ ทางค่ายเลยไม่ได้ส่งทีเซอร์ให้คณะกรรมการตรวจสอบตามขั้นตอนก่อน พอถูกแบนก็สมเหตุสมผลดี ส่วนฉากที่ถูกแบนไป เขาให้เหตุผลว่าเป็นตัวอย่างไม่ดีแก่เยาวชน ก็เข้าใจค่ะว่าถ้าตัดสินจากแค่ทีเซอร์อย่างเดียวอาจจะตีความไปแบบนั้นได้ แต่ถ้าได้ดูภาพรวมทั้งหมดของเรื่อง จะรู้ว่าที่ตัวละครทำแบบนั้น มันมีที่มาที่ไปของมันอยู่ ไม่ใช่ว่าต้องการเน้นเรื่องจูบกันอย่างเดียว แต่ก็เข้าใจค่ะว่าคนอื่นเขาไม่ได้มานั่งทำหนังกับเรา ไม่ได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเรื่อง ในการถ่ายทำ เลยทำให้เข้าใจต่างกันไป”
  

ถามว่าเธอเห็นด้วยไหมกับแนวคิดเรื่องพฤติกรรมการเลียนแบบของเยาวชน และคิดว่าเป็นไปได้แค่ไหนที่การดูฉากปากแตะปากนานไม่ถึง 3 วินาที จะส่งผลให้วัยรุ่นทำตาม หลังจบประโยคคำถามไม่นาน โมก็ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาตามสไตล์ของเธอว่า “เด็กสมัยนี้ล้ำกว่านั้นเยอะค่ะ” ก่อนขยายความเพิ่มเติมในฐานะที่เป็นวัยรุ่นไทยมีหัวคิดคนหนึ่ง
  

“โมว่าเด็กไทยฉลาดกว่านั้นนะ อย่างเวลาโมดูหนัง ก็ไม่เคยคิดว่าอยากจะเลียนแบบอะไร เวลาดูหนังแอ็กชัน เราก็ไม่เคยเลียนแบบ เอาปืนมายิงหัวกันอย่างที่เป็นข่าว โมรู้สึกว่าเด็กไทยไม่ได้ไร้ความคิดขนาดนั้นค่ะ แต่โมอาจจะตัดสินจากการเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ก็ได้ เด็กคนอื่นอาจจะไม่ได้คิดอย่างโม ก็ถือว่าดีแล้วค่ะที่มีการเซ็นเซอร์กันไว้ก่อน”
  

วกกลับมาถามความคิดเห็นในฉากเลิฟซีนกันบ้าง เห็นกล้าประกบริมฝีปากจริงตั้งแต่ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตแบบนี้ จึงอดถามไม่ได้ว่าเธอวางลิมิตของตัวเองไว้แค่ไหนกับเรื่องนี้ โมตอบว่า “เท่าที่เห็นคือมากที่สุดแล้วค่ะ” ถึงแม้ทัศนคติของเธออาจเปิดกว้างมากขึ้นเมื่ออายุมากกว่านี้ แต่โมก็ยังยืนยันคำตอบเดิมโดยให้เหตุผลว่า “แค่จูบดีกว่าค่ะ โมไม่อยากทำให้คุณแม่ไม่สบายใจ เพราะถึงลูกจะโตขึ้นแค่ไหน ก็ยังเด็กในสายตาของคนเป็นพ่อกับแม่อยู่ดี
 

เคยเกเรมาก่อน
ถ้าวัดจากการพูดคุยกัน จัดได้ว่าโมเป็นวัยรุ่นที่รู้จักคิดคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่กว่าจะเติบโต กลายมาเป็นโมอย่างที่เห็นทุกวันนี้ โมเล่าให้ฟังว่าเธอผ่านประสบการณ์วัยเด็กมาแล้วหลากหลายรูปแบบ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ชีวิตมีสีสันอยู่ไม่ใช่น้อย จากตอนประถมฯ ที่เคยขี้อาย ไม่กล้าพูดคุยกับใคร เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว พอขึ้นมัธยมฯ ก็เริ่มกล้ามากขึ้น เข้ากับเพื่อนๆ ได้มากขึ้น กลายเป็นเด็กหลังห้อง โดดเรียนเป็นประจำจนคุณแม่ต้องตามไปเฝ้าที่โรงเรียนทุกวัน ทำตัวไม่เอาไหน จนกระทั่งกลับตัวกลับใจ หันมาตั้งใจเรียนและเป็นผู้เป็นคนได้อย่างทุกวันนี้
 

“เมื่อก่อนโมแย่มาก โดยเฉพาะตอนม.4 เป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่มันแย่ๆ น่ะค่ะ บ้าบอ โดดเรียน ทำให้คุณแม่เป็นห่วงมาตลอด พอได้เข้ามาทำงานในวงการนี่แหละค่ะถึงเริ่มคิดได้ จู่ๆ ก็มีความคิดว่าเที่ยวเล่นมามากพอแล้ว เลยหันมาเปลี่ยนตัวเองอย่างจริงจัง จากเมื่อก่อนที่คุณแม่ไม่เคยปล่อยเราเลย จะตามไปดูพฤติกรรมที่โรงเรียนตลอด พอเราเปลี่ยน คุณแม่ก็เริ่มปล่อย เหมือนกับเราทำให้เขาเชื่อได้แล้วว่าเราโตแล้ว มีความคิดแล้ว ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงโมแล้วค่ะ เอาเวลาไปห่วงน้องชายแทน เพราะเขากำลังอยู่ในช่วงที่โมเคยผ่านมาแล้ว”
  

ลองมองย้อนกลับไป ถามว่ารู้สึกเสียใจไหมที่เคยเป็นเด็กเกเรมาก่อน เธอให้คำตอบอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า “โมไม่เคยเสียใจกับอดีตเลยค่ะ เพราะถ้าไม่มีอดีตตอนนั้น โมคงไม่ได้เป็นโมอย่างตอนนี้” ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาจึงเป็นเหมือนประสบการณ์ช่วงหนึ่งของชีวิตที่ช่วยให้เธอรู้จักมองโลกได้กว้างขึ้น

“โมโตมากับโรงเรียนเอกชน เป็นเหมือนคุณหนูที่ไม่เคยเห็นโลกในด้านแย่ๆ มาก่อน แต่พอย้ายไปอยู่โรงเรียนรัฐบาล ก็ได้เจอเพื่อนกลุ่มใหม่ เจอคนหลากหลายมากขึ้น ตอนแรกรับไม่ได้เลยนะคะ ร้องไห้ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาสูบบุหรี่กัน ทำไมคนนั้นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มปรับตัวได้ แล้วมันก็ทำให้เราแกร่งขึ้น โมว่าถ้าโมยังเรียนที่เดิมอยู่ ความคิดโมคงไม่เป็นแบบนี้
 

ถึงตอนนี้ โมยังคงใช้ชีวิตเป็นเด็กหลังห้องเหมือนเดิม แต่ต่างออกไปตรงที่รู้จักรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นและให้ความสำคัญแก่เรื่องเรียนมาเป็นอันดับหนึ่ง ถามว่าจะทำอย่างไรให้เด็กเกเรียนหันมากลับตัวกลับใจแบบเธอ ผู้มีประสบการณ์ให้คำตอบว่า “พอถึงเวลา ทุกคนจะมีจุดที่คิดได้เองค่ะ อยู่ที่ว่าจะเร็วหรือช้าแค่นั้นเอง บางคนเขาอาจจะคิดได้ตอนแก่ ตอนที่มีครอบครัว มีลูกแล้วก็ได้ แต่โมว่าไม่มีอะไรสายเกินไปในชีวิตค่ะ”

อาร์ตติสต์ตัวจริง
ถ้าถามเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ว่าเวลาว่างชอบทำอะไร คำตอบที่ได้คงหนีไม่พ้นการเดินห้างสรรพสินค้า ดูหนัง ฟังเพลงไปตามประสา แต่เธอคนนี้กลับเลือกเดินดูงานศิลปะในแกลเลอรีมากกว่า เพราะทุกครั้งที่ได้เสพงานศิลป์ จะช่วยให้โมรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย อาจเป็นเพราะเธอเติบโตมากับสิ่งเหล่านี้ จึงทำให้มีใจรักศิลปะมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
 

ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ เคยเรียนพิเศษตอน ม.4 ด้วย ภาพที่เคยวาดจะเป็นสีน้ำกับ Drawing เป็นส่วนใหญ่ หรืออะไรที่เกี่ยวกับงานศิลปะจะทำหมดทุกอย่าง เคยเย็บเสื้อปักเสื้อเองด้วย หรืออย่างตอนกีฬาสีม.ปลายก็จะอยู่ฝ่ายวาดภาพ ทำคัตเอาต์ตลอด รู้สึกว่ามันสนุกดีค่ะ คิดว่าศิลปะคือเรื่องพื้นฐานของชีวิต
 

พอมีเวลาว่าง โมจะชอบไปเดินดูงานในหอศิลป์ค่ะ เดินคนเดียวประจำ ไม่ค่อยชอบชวนใครไปด้วย รู้สึกว่าไปคนเดียวมีสมาธิกว่า อีกอย่างถ้าชวนคนอื่นไปด้วยเขาอาจจะเบื่อ ส่วนใหญ่โมจะเข้าไปดูนิทรรศการใหม่ๆ ทุกเดือน และทุกครั้งที่ไปดู คนจะโล่งมาก (หัวเราะ) เทียบกับต่างประเทศไม่ได้เลย บ้านเขานี่คนแน่นตลอด เหมือนกับคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องศิลปะกันเท่าไหร่ แต่ก็เข้าใจค่ะว่าชีวิตในกรุงเทพฯ มันต้องแข่งขัน ต้องสนใจเรื่องหาเงินอยู่ตลอด แต่อยากให้ลองไปดูนะคะ เวลาได้เสพงานศิลป์จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายแล้วก็จรรโลงใจขึ้นเยอะเลย
 

ต้องบอกว่าเธอมีความเป็นศิลปินในตัวสูงจริงๆ ถึงแม้ว่าโมจะถูกพ่อแม่เคี่ยวเข็ญให้เลือกเรียนสายวิทย์มาตั้งแต่ตอนม.ปลาย วางอนาคตให้สอบเอนท์เข้าเภสัชศาสตร์ จะได้นำความรู้มาใช้กับกิจการนำเข้ายาของครอบครัวได้ แต่เมื่อถึงเวลา โมกลับตัดสินใจเดินตามเส้นทางของตนเอง ใช้ผลงานในวงการยื่นโควตาคณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ จนได้เป็นนักศึกษาเอกการแสดงและกำกับการแสดงในที่สุด หลายคนคงคิดว่าเธอตั้งใจเลือกคณะนี้เพราะอยากเป็นดารา แต่โมบอกว่าความต้องการที่แท้จริงของเธอ เพียงแค่อยากศึกษาศิลปะแขนงนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเอง
 

“ไม่เคยคิดจะเรียนแอ็กติ้งเพื่อมาทำงานในวงการเลยค่ะ เพราะไม่ได้อยากเข้าวงการมาตั้งแต่แรก แต่ที่เรียนเพราะรู้สึกว่ามันน่าสนุกดี ได้รู้เบื้องหลังการทำงานจริงๆ ถ้าทำงานเป็นนักแสดงอยู่หน้ากล้องอย่างเดียว เราไม่มีวันรู้หรอกค่ะว่าทีมงานเขาจัดแสงจัดไฟกันยังไง แล้วที่เรียนอยู่จะเน้นละครเวทีเป็นหลัก โมว่ามันยากกว่าการถ่ายหนังถ่ายละครอีกนะ แบบนั้นยังมีเทกมีคัตได้ แต่ละครเวทีไม่มี คุณต้องเก่ง ต้องเล่นสดได้จริงๆ ถึงจะรอด คิดว่าคุ้มแล้วค่ะที่เลือกเรียน” โมพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

เชฟหญิงดีกรีนางเอก
อาชีพที่โมใฝ่ฝันอยากเป็นมาตั้งแต่ยังเด็กไม่ใช่ดาราหรือนักแสดง แต่เธอกระซิบบอกว่า “จริงๆ แล้วอยากเป็นเชฟมากๆ ค่ะ” น้อยคนนักจะรู้ว่าโมชอบทำอาหารมาก ยกเว้นคุณยายของเธอ เพราะท่านคือครูกุ๊กคนแรกของโม เป็นคนจุดประกายให้เธอเริ่มทำอาหารและเทกคอร์สเรียนทำขนมอย่างจริงจัง เปรียบเทียบกับคนในวงการส่วนใหญ่ที่มักเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง เพื่อเสริมความมั่นคงให้แก่งานแสดงที่มีรายได้ไม่แน่นอน แต่สำหรับโม เธอตั้งใจจะเอาดีด้านอาหารเป็นหลักมากกว่า
 

“ตอนเด็กๆ โมมีเวลาอยู่กับคุณยายเยอะ แล้วคุณยายจะทำอาหารตลอด เราก็ชอบไปแอบดูในครัว แล้วก็โดนไล่ออกมาประจำ เพราะคุณยายกลัวน้ำมันจะกระเด็นใส่เรา แต่โมก็ไม่สน จนหลังๆ คุณยายถึงได้สอนให้ค่ะ โมเลยทำอาหารเป็นมาตั้งแต่ตอนประถมฯ พวกอาหารคาวก็พอทำได้บ้าง แต่วางมือไปนานมากแล้วตั้งแต่รับงานในวงการ ถ้าวันหนึ่งได้เปิดร้านเป็นของตัวเองคงเรียนทำขนม แล้วก็เปิดร้านกาแฟดีกว่าค่ะ สะดวกกว่า โมเผยความลับเล็กๆ ให้ฟัง ก่อนเริ่มขยายความฝันของตัวเอง
 

“ตอนนี้คิดแต่ว่าอยากทำงานๆ เก็บเงินๆ แล้วก็ไปเรียนต่อเชฟค่ะ (ยิ้ม) อยากเรียนทำอาหารที่ดุสิตธานีมาตั้งนานแล้ว แต่คิดว่าน่าจะได้วุฒิปริญญาก่อนค่อยไปเรียน คนอื่นอาจจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องจบปริญญาก็เรียนทำอาหารได้ ยังไงเรื่องฝีมือก็สำคัญที่สุด แต่โมว่าไม่จริงค่ะ เพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองนอก เป็นธรรมดาของคนไทยอยู่แล้วที่จะมองเรื่องปริญญาเป็นเรื่องใหญ่ไม่ว่าจะทำงานอะไร ตอนนี้ก็พยายามทำงานในวงการให้ดี เผื่อชื่อเสียงจะช่วยเสริมร้านอาหารในอนาคตค่ะ (ยิ้ม)”
 

ส่วนเส้นทางในวงการบันเทิงนั้น เธอก็มองไว้บ้างเหมือนกัน ถ้าภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตเรื่องนี้สามารถปูทางไปสู่ผลงานชิ้นอื่นๆ ในวงการได้ โมก็ยินดี ไม่ว่าโอกาสที่ได้รับจะเป็นงานประเภทใดก็ตาม หรือถ้าผลออกมาในทางตรงกันข้าม อย่างน้อยๆ ก็ขอแค่ให้คนดูรับรู้ถึงความทุ่มเทของเธอก็พอ
 

โมคาดหวังให้คนดูเห็นความตั้งใจของเรามากกว่าค่ะ ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมา คงต้องแล้วแต่โอกาส ถามว่าอยากเล่นหนังอีกไหม โมอยากเล่นนะ รู้สึกสนุกดี คิดว่าตัวบทในหนังสามารถทำให้เราเชื่อไปได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวละครมันสามารถเกิดขึ้นกับชีวิตจริงๆ ถ้าเทียบกับเล่นหนังโฆษณา แอ็กติ้งโฆษณาจะดูเวอร์กว่า แต่ถ้าเทียบกับละครก็จะให้อีกอารมณ์หนึ่ง ความน่าสนใจของละครคือมันเข้าถึงคนดูได้มากกว่า แต่หนังมันเป็นเรื่องราวเฉพาะกลุ่ม คนที่มีอายุส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเข้าโรงหนังกัน งานทุกแบบเลยมีความน่าสนใจต่างกัน ถ้ามีคนมอบโอกาสให้ ก็อยากลองทำดูค่ะ โมยิ้มปิดประโยคด้วยแววตามุ่งมั่น

ไม่เคยคิดรักเพื่อน
“ถ้าอยากรู้ว่าโมเป็นคนยังไง ให้ไปดูในหนังค่ะ เรื่องนี้เล่นเป็นตัวเองมาก ห้าวๆ ตรงๆ เก็บความรู้สึกบ้างบางอารมณ์ แต่ที่ไม่เหมือนกันเลยคือโมไม่เคยชอบเพื่อนของตัวเอง ได้ยินอย่างนี้แล้ว หนุ่มๆ รายไหนที่วางแผนจะเข้ามาจีบสาวหน้าใสคนนี้ด้วยวิธีการเข้ามาเป็นเพื่อนก่อน ขอเตือนว่าให้ล้มเลิกความคิดไปได้เลย เพราะโมยืนยันชัดเจนว่า ถ้าเป็นเพื่อนกันแล้ว ไม่มีวันเป็นได้มากกว่าเพื่อนแน่นอน
 

สำหรับโม เพื่อนก็คือเพื่อนค่ะ เปลี่ยนความรู้สึกเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ก็เลยไม่เคยชอบเพื่อนตัวเองเลย มีแต่เพื่อนมาชอบเราเอง มีอยู่คนหนึ่งเป็นเพื่อนกันอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็เข้ามาบอกว่าชอบเรา โมก็บอกไปตรงๆ เลยว่าเป็นได้แค่เพื่อนจริงๆ เขาก็เทียวมาเอาใจ ทำนู่นทำนี่ให้ตั้ง 2 ปี พอเริ่มแน่ใจแล้วว่าทำยังไงโมก็ไม่ชอบ ตอนหลังเลยกลายเป็นเพื่อนสนิทกันแทน” โมยกตัวอย่างให้ฟัง ก่อนบอกเหตุผลว่าทำไมเธอจึงไม่อยากเปลี่ยนเพื่อนมาเป็นแฟน
 

สมมติว่าเพื่อนในกลุ่มมีกัน 5 คน แล้วเราเป็นแฟนกัน 2 คน ถ้าวันหนึ่งเลิกกันขึ้นมา คิดดูสิคะว่ามันจะกระทบเพื่อนคนอื่นขนาดไหน เวลาทะเลาะกันก็ไม่รู้ว่าจะเลือกเข้าข้างใครดี แค่คิดก็น่าปวดหัวแล้วค่ะ คบกันเป็นเพื่อนดีกว่า ยังไงก็อยู่ได้นานกว่า แต่ถึงไม่ใช่เพื่อนในกลุ่ม เป็นคนใกล้ตัว คนที่รู้จักกัน โมก็ไม่คบนะ เพราะถ้าเป็นแฟนกันแล้วเลิกกันไป ถึงพยายามห่างเท่าไหร่ ยังไงก็ต้องข้องแวะกันอยู่ดี เพราะกลุ่มคนที่รู้จักก็คือกลุ่มเดียวกัน ยังไงการคบกันหรือเลิกกันของเราก็กระทบคนอื่นอยู่ดี โมไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ใครค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดจะเข้ามาจีบโม ไม่ต้องมาเนียนเป็นเพื่อนกันก่อน บอกมาตรงๆ แล้วก็เข้ามาแบบเปิดเผยเลยดีกว่า

ส่วนเรื่องผู้ชายในสเปกนั้น โมขอแค่คนที่พูดคุยกันรู้เรื่องก็พอ ไม่ต้องหล่อขั้นเทพ เพราะเธอไม่อยากให้ใครมาแย่ง และที่สำคัญต้องรักเดียวใจเดียว ไม่เจ้าชู้ไปทั่ว คบกิ๊กไปเรื่อย เพราะเป็นพฤติกรรมที่เธอเกลียดมากที่สุด โดยให้เหตุผลว่า โมว่าการเป็นคนสับรางเก่งมันไม่ได้เท่เลยนะ หรือจะมากิ๊กกันก็ไม่ไหว โมไม่ชอบเป็นตัวสำรองของใคร แล้วก็ไม่คิดจะเป็นด้วยค่ะ เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีอะไรดีจนต้องไปแย่งใช้แฟนร่วมกับคนอื่น แค่เรียนกับทำงานอยู่ทุกวันนี้ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว จะให้มานั่งคอยสับรางหรือมีกิ๊กทำไมให้เหนื่อยเพิ่ม สร้างภาระให้ตัวเองเปล่าๆ” วัยรุ่นทั้งหลายฟังเอาไว้



ธรรมะธัมโม
เห็นท่าทางมั่นใจ หัวสมัยใหม่ และแต่งตัวเปรี้ยวปรี๊ดขนาดนี้ ใครจะเชื่อว่าเธอไม่ดื่มเหล้า เบียร์ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สักประเภท แถมยังไม่ชอบเที่ยวกลางคืนอีกด้วย โดยให้เหตุผลว่า “ไม่ชอบไปเบียดกับคนอื่นในที่แคบๆ แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมาโดนตัวค่ะ” เท่านั้นยังไม่พอ โมยังหันมากินมังสวิรัติทุกวันจันทร์ ซึ่งตรงกับวันเกิดของเธอ โมบอกว่าเธอทำแบบนี้มาได้นาน 1 ปีแล้ว นอกจากนี้เธอยังสวดมนต์จนจบทุกบทก่อนเข้านอนทุกคืนด้วย เมื่อเห็นว่าคนฟังมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด โมจึงยืนยันให้ฟังชัดๆ อีกครั้งหนึ่งว่า “เห็นอย่างนี้ก็เถอะ แต่โมเป็นคนธรรมะธัมโมนะ (ยิ้ม)”
 

ช่วงหนึ่งของชีวิตที่เธอสับสนถึงขีดสุด ให้คำตอบแก่ตัวเองไม่ได้ว่าชีวิตต้องการอะไรกันแน่ โมเคยหอบผ้าหอบผ่อนไปบวชชีพราหมณ์อยู่ที่วัด ตัดขาดจากโลกภายนอก ถือศีลอยู่นาน 4 วัน จึงทำให้ได้คำตอบว่าสิ่งที่เธอต้องการในชีวิตคือความสงบนั่นเอง
 

“ช่วงนั้นเป็นช่วงเอนท์ค่ะ รู้สึกเครียดมาก ไม่รู้จะทำยังไงต่อกับชีวิตดี มานั่งคิดกับตัวเองว่าเราอยากได้อะไร อยากได้เงินหรือเปล่า อยากได้เสื้อผ้าไหม หรือว่าอยากได้อะไร แต่มันไม่ใช่สักอย่าง ก็เลยตัดสินใจไปบวชชีพราหมณ์ บอกคุณแม่ปุ๊บก็ไปเลย คุณแม่ก็งงมากแต่ก็ให้ไป ตอนอยู่ที่วัดทางบ้านติดต่อไม่ได้เลยเพราะตั้งใจจะไม่เอามือถือไปด้วย จะคุยอะไรกัน คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยไปหาที่วัดแทน ตอนนั้นโมได้ปฏิบัติจริงทุกอย่างเลยค่ะ ตั้งแต่นุ่งขาวห่มขาว ถือศีล 8 กินข้าววันละมื้อ สวดมนต์วันละ 3 เวลา ตกกลางคืนก็นอนบนพื้นด้วยค่ะ ไม่ได้นอนบนเตียง ทำแบบนี้ได้สักพัก พอรู้สึกว่าจิตใจสงบแล้วถึงได้กลับบ้าน

ทุกวันนี้เพื่อนๆ ใกล้จะเลิกคบโมหมดแล้ว เพราะชวนไปเที่ยวด้วยกันทีไร โมก็ตอบปฏิเสธเสียทุกครั้ง เพื่อนเคยชวนโมไปเที่ยว 9 รอบติดๆ กัน แต่โมไม่ไปสักครั้ง บอกไปว่าติดงาน เพื่อนก็อุตส่าห์เลื่อนวันนัดให้นะคะ เพื่อให้โมไปด้วยกันได้ แต่สุดท้ายโมก็ไม่ไปอยู่ดี เพื่อนก็เลยงอนกันใหญ่ นี่ก็ใกล้จะเลิกคบโมกันหมดแล้ว (หัวเราะ)” เป็นคนธรรมะธัมโมแบบนี้ เห็นทีว่าเพื่อนในกลุ่มคงต้องเปลี่ยนสถานที่รวมตัว จากปาร์ตี้กลางคืนเป็นเข้าวัดฟังธรรมแทนเสียแล้ว นัดกันครั้งหน้าจะได้เจอกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเสียที



ประวัติส่วนตัว
วันเกิด : 30 ธ.ค. 2534
ส่วนสูง : 160 เซนติเมตร
น้ำหนัก : 42 กิโลกรัม
การศึกษา : นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดงและกำกับการแสดง ม.ศรีนครินทรวิโรฒ
ผลงานที่ผ่านมา : มิวสิกวิดีโอเพลง “เฮ้อ” กัน เดอะสตาร์ 6, “ถามทำไม” จีน ธัญนันท์, “คนธรรมดา” ชิน ชินวุฒ, “12345 I Love You” The Botton Blues, “เพื่อนหรือแฟน” Nutty, “คนโสดมีบ้างไหม” เฟลม, ละครเรื่อง “เพียงใจที่ผูกพัน” และล่าสุดภาพยนตร์เรื่อง “เลิฟจุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก”
                                                     
              รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite / ASTV สุดสัปดาห์
              ภาพโดย พลภัทร วรรณดี









ท่าทางสบายๆ ขณะพูดคุยกัน
ขอบคุณภาพจากแฟนบุ๊กแฟนเพจน้องโม









ฉากเลิฟซีนที่ทำให้ภาพยนตร์ถูกแบน
กำลังโหลดความคิดเห็น