xs
xsm
sm
md
lg

คนดังมีดี : "รถเมล์" สายความสุข ไม่ใช่รถบรรทุก "ปัญหา" คะนึงนิจ จักรสมิทธานนท์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เธอคือขวัญใจของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าชาวตลาดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย “รถเมล์” คะนึงนิจ จักรสมิทธานนท์ หรือ “ยัยหมวยเล็ก” ของพี่หนูแหม่มและพี่หนูเหมี่ยว แห่ง “ตลาดสดสนามเป้า”

กับภาพของพิธีกรภาคสนามผู้มีอัธยาศัยเป็นกันเอง เป็นที่รักของคนทุกเพศทุกวัย ในยามที่ขันอาสาพาผู้ชมแวะไปชิมโน่นชมนี่ตามตลาดในที่ต่างๆ เธอบอกว่าไม่ได้แตกต่างจากตัวตนที่เธอเป็นอยู่

• “ไม่อวดรู้” เคล็ดลับชนะใจผู้ใหญ่

“จริงๆแล้ว ชีวิตทั่วไปของหนูก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะหนูอยู่กับครอบครัวมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคนรอบตัวจะคอยสอนเรื่องการวางตัว ก่อนหน้านี้หนูก็เคยกลัวและไม่รู้เหมือนกันว่า จะมีวิธีคุยกับผู้ใหญ่อย่างไร

พอโตขึ้นจึงได้เข้าใจว่า ให้เริ่มต้นคุย โดยการถามถึงสิ่งที่เขาทำ เพราะก่อนที่เราจะไปคุยกับใคร อย่างน้อยๆเราต้องรู้แหละว่า คนที่เราจะคุยด้วย พื้นเพเขาเป็นอย่างไร หรือเขาทำอะไร รวมถึงการเป็นเด็กที่มีสัมมาคาราวะกับผู้ใหญ่ในที่ต่างๆที่เราไป มันทำให้คนรักและเอ็นดูเราได้

ดังนั้น หนูจะไม่เคยกังวลว่า วันนี้ไปถ่ายรายการ จะต้องได้ไปเจอผู้ใหญ่ที่เขาดุหรือเป็นไปตามที่คนโน้นคนนี้เล่าให้ฟัง เพราะหนูเชื่อว่า ถ้าเราเป็นเด็กที่ไม่ก้าวร้าว ไม่อวดรู้ เพียงแค่ชอบคุย ชอบถาม ในสิ่งที่อยากรู้จริงๆ ผู้ใหญ่ทุกคนย่อมยินดีที่จะเล่าสิ่งต่างๆให้ฟัง”

• เรียนรู้ชีวิตพอเพียง
ท่ามกลางชีวิตที่แตกต่าง


ก่อนที่เร็วๆนี้จะรับบทเป็นหญิงสาว ที่ตกหลุมรักชายหนุ่มอายุน้อยกว่า ในภาพยนตร์เรื่อง “รักนะเด็กโง่”

พิธีกรและนักแสดงสาว ผู้ที่เราคุ้นหน้าเธอครั้งแรกจากการรับบท “ใบตอง” ในภาพยนตร์เรื่อง วัยอลวน 4 : ตั้ม-โอ๋ รีเทิร์น เมื่อปี 2548, ผ่านการแสดงละครมาแล้วหลายเรื่อง และขณะนี้มีละครที่เธอแสดง กำลังออกอากาศอยู่ 1 เรื่องคือ “คู่กิ๊กพริกกะเกลือ” บอกถึงความรู้สึกว่า เธอได้รับประสบการณ์ที่ดีมากๆจากการทำหน้าที่พิธีกรและหน้าที่นี้เองที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากที่สุด

“หนูคงไม่มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตแบบนี้ ถ้าไม่ได้ทำรายการนี้ การที่ได้เดินทางไปตามที่ต่างๆ ทำให้ได้รู้ถึงธรรมชาติ และความเป็นพื้นเพ ของคนในแต่ละท้องที่ เห็นถึงข้อแตกต่างในการใช้ชีวิตของคนที่อยู่ในเมืองกับคนที่อยู่ในต่างจังหวัด

ได้เห็นว่าคนตามต่างจังหวัด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ทำไมเขาอยู่กันได้อย่างมีความสุข ก็เพราะว่าเขาพอมีพอกิน และพอใจในสิ่งที่ตัวเองทำนั่นเอง ขณะที่คนในเมือง ต้องทำชีวิตให้ดูศิวิไลซ์ ต้องขวนขวายทำอะไรเยอะแยะไปหมด เห็นแล้วเหนื่อยแทน”

• สุขทุกทริป

เธอบอกว่า ในทุกทริปของการเดินทางไปทำรายการ ไม่มีทริปไหนที่ไม่มีความสุข

“เมื่อไหร่ที่ได้ไปสัมผัสความเป็นชาวบ้านจริงๆ หรือบางทีต้องไปนอนที่อยู่นั่น 3 - 5 คืนติดกัน จะมีความสุขมากๆ ดังนั้นเวลาที่รู้สึกเครียด หนูจะไปต่างจังหวัด เพราะรู้สึกว่าได้หยุดความวุ่นวายจากสิ่งที่เข้ามารุมเร้าให้สมองของเรากระเจิง เพราะเวลาที่ได้ไปเห็นธรรมชาติ เห็นคนอื่นเขาอยู่กันอย่างมีความสุข เห็นคุณตาคุณยาย นั่งกินข้าว มีลมพัดเย็นๆ มันทำให้รู้สึกสบายใจไปด้วย”

หรือแม้แต่ในวันที่ว่างจากการทำงาน เธอก็เลือกที่จะพาตัวเองไปอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนตามต่างจังหวัดมากกว่า

“ถ้ามีวันหยุด 1-2 วันติดกัน หนูจะไปต่างจังหวัด เป็นคนที่ชอบขับรถออกไปตามต่างจังหวัด ไปนอนเล่น กินอาหารอร่อยๆ ไปอยู่ในที่ที่เป็นธรรมชาติจริงๆ ไปยืนดู ภูเขา ต้นไม้ นอนฟังเสียงคลื่น แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว และเมื่อชีวิตได้คลายเครียด จากนั้นก็พร้อมที่จะกลับมาทำงาน ทุกอย่างได้เลย”

ปัจจุบันนี้ เธอเป็นคนหนึ่งที่ซึมซับเอาอารมณ์แบบต่างจังหวัดมาผสมผสานกับชีวิตแบบคนเมือง

“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ คงมีชีวิตแบบคนเมืองที่ต้องไปเดินชอปปิ้งอย่างเดียว แต่ตอนนี้หนูจะผสมผสาน จะชอบธรรมชาติมากขึ้น รู้สึกว่ามันปรับได้อย่างละครึ่งทาง

ทุกวันนี้ยังทำอะไรแบบที่คนเมืองทำกันอยู่ ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากไปเดินชอปปิ้ง อยากกินขนมในร้านแบบนั้นแบบนี้ แต่จะมีอีกอารมณ์ที่คิดเหมือนกันว่า เราจะมีช่วงเวลาที่มีความสุขแบบนี้ไปตลอดไม่ได้ ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่มีความเป็นธรรมชาติ เรียบง่าย ไม่ต้องทำอะไรที่หวือหวาบ้าง เพื่อให้ชีวิตมีความพอดี”

• มังสวิรัติอาทิตย์ละมื้อ

เพราะการทำงานในแต่ละวันต้องเริ่มต้นเช้ากว่าคนปกติ เธอจึงเลือกดูแลสุขภาพด้วยการเข้านอนแต่หัวค่ำ และพยายามจัดสรรเวลาเพื่อการออกกำลังกาย ที่เรียกกัน ว่า “พิลาทิส” (เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งของโลกตะวันตกที่มีหลักการคล้ายโยคะและไทชิ)

“ถ้าต้องไปวิ่งเพื่อเผาผลาญไขมันบนเครื่องวิ่ง ค่อนข้าง เบื่อ เพราะต้องวิ่งคนเดียว แต่พิลาทิส คลาสหนึ่งเรียน 10 กว่าคน มีอาจารย์คอยสอน สนุกดี เพลินดี ไม่เหงา และเป็นกีฬาที่ปลอดภัยจากการได้รับบาดเจ็บ ช่วยรักษาอาการเมื่อยตัว เมื่อยหลัง และทำให้ได้กล้ามเนื้อ เพราะหนูเป็นคนที่ร่างกายช่วงบนเล็ก เวลาที่ผอมมากๆ จะดูเป็นกระดูกและโทรม การเล่นพิลาทิสไม่ได้ทำให้ผอม แต่ช่วยควบคุมน้ำหนักไม่ให้ลงไป และทำให้ร่างกายกระชับและเฟิร์มขึ้น”

ขณะที่ผมสวยๆของเธอ ที่เราได้เห็นผ่านจอโทรทัศน์ ในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของผลิตภัณฑ์ดูแลผมยี่ห้อหนึ่ง เธอมีเคล็ดลับในการดูแลคือ

“หนูจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่มันเหมาะกับสภาพเส้นผมของตัวเองจริงๆ จะคอยสังเกตว่าแต่ละช่วงผมมีสภาพเป็นแบบไหน ถ้าอากาศเปลี่ยน ก็จะเลือกว่าอะไรที่จะเหมาะกับสภาพผมในขณะนั้น ไม่ใช่ใช้อยู่ชนิดเดียวโดยไม่ยอมเปลี่ยน

ถ้าไม่มีเวลาไปสปาให้ช่างช่วยดูแลผม จะใช้วิธีหมักผมด้วยการซื้อทรีตเม้นท์มาบำรุงเอง หมักทิ้งไว้ แล้วเข้าไปอบ พร้อมๆกับการอบซาวน่าร่างกาย”

ส่วนเรื่องการรับประทาน เธอเลือกทานอาหารเบาๆและย่อยง่าย ในมื้อเย็นและเลือกทานมังสวิรัติอาทิตย์และวัน

“หนูเป็นคนที่ชอบกินขนมปังมากที่สุดในโลก(หัวเราะ) กินหนักกว่ากินข้าวเสียอีก แต่จะควบคุมโดยการเลือกกิน ปลา และกินสลัดแทนในช่วงเย็น เช้าต่อมากินโยเกิร์ต ส่วนกลางวันก็จะกินปกติ แต่อาทิตย์หนึ่งจะต้องมีวันที่กินมังสวิรัติ

บางคนคิดว่า กินมังสวิรัติต้องไปหนักแป้ง หรือกินแต่ ผักกับเต้าหู้แน่ๆเลย แต่จริงๆแล้วมังสวิรัติมีหลายแบบค่ะ บางทีหนูก็กินไข่ การกินมังสวิรัติช่วยให้กระเพาะ และร่างกายของเรา ทำงานได้สบายขึ้น”

เมื่อเทศกาลเจเวียนมาถึง เธอเลยไม่พลาดที่จะร่วมถือศีลกินเจ ดังเช่นหลายๆคน

“หนูถือว่าการกินเจทำให้เราได้ดูแลสุขภาพร่างกาย และส่งผลดีในแง่จิตใจ เพราะเราได้คืนชีวิตให้กับสัตว์ไปในคราวเดียวกัน”

• รถเมล์สายความสุข
ไม่ใช่รถบรรทุก “ปัญหา”


เมื่อมีปัญหาผ่านเข้ามาในชีวิต เธอเป็นคนหนึ่งที่จะไม่ยอมแบกความทุกข์เอาไว้นาน และเชื่อว่าเวลาจะช่วยให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปในที่สุด

“เป็นคนที่คิดแป๊ปเดียว แล้วก็หาย รู้สึกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวทุกอย่างจะผ่านไปได้ เพียงแต่ต้องแก้ไขให้มันจบไปก่อน ไม่ใช่คนที่เก็บอะไรมาย้ำคิดย้ำทำ”

เช่นกันว่า หากอยากอยู่ในสภาพแวดล้อมและสังคมแบบไหน ตัวเราเองมีส่วนกำหนด

“ถ้าเราคิดในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ดี ไม่เบียดเบียนคนอื่น สิ่งแวดล้อมที่เราเจอ มันก็มักจะดีกับเราเสมอ ที่ผ่านมาไม่ว่าหนูจะไปทำงานอะไรก็แล้วแต่ ชีวิตมักได้เจอแต่คนดีๆ”

นอกจากนี้ธรรมะยังมีส่วนทำให้เธอต้องคอยเตือนตัวเองเสมอว่าไม่ให้ยึดติดกับสิ่งต่างๆ เพราะทุกอย่างมีเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน

“ธรรมะมันทำให้จิตใจของเราสบายขึ้น ไม่ยึดติด รู้ว่าสัจธรรมคืออะไร ทุกวันนี้หนูยังทำงานเองได้ แต่พรุ่งนี้หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ชีวิตจะเป็นอย่างไร อาจจะไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ดังนั้น จึงพยายามทำทุกวันให้มีความสุข เพราะว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เราตอบไม่ได้

หนูรู้สึกว่าการไปทำบุญ เข้าวัด ไปใกล้ชิดพระพุทธศาสนาหรือว่าไปปฏิบัติธรรม ทำให้เรามีสติมากขึ้น การไปอยู่วัดหรือไปปฏิบัติธรรม มันทำให้เรารู้สึกว่า โลกเดิน ช้าลง ปกติเราจะรีบๆทำทุกอย่างในชีวิตหมดเลย พอวันหนึ่งที่เราได้ไปนั่งอยู่เฉยๆ ได้ทบทวนกับชีวิตที่ผ่านมา เราจะเริ่มรู้ว่า เราจะรีบไปเพื่ออะไร ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆ ไปสิ ให้มีความสุขกับสิ่งที่เราทำอยู่ ไม่ต้องไปขวนขวยอะไรให้มากมาย ชีวิตถึงจะมีความสุข”

• ปิดวาจา - เปิดใจ มองสุขภายใน


อาจไม่มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมเป็นระยะเวลานานดังเช่นคนอื่นๆ แต่ช่วงเวลาหนึ่งของการที่ได้มีโอกาสไปปฏิบัติ เธอก็ได้เห็นถึงผลดีที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

“หนูไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมบ่อย อย่างมากก็แค่ 3 วัน ที่จันทบุรี กับพี่หนูแหม่ม (สุริวิภา กุลตังวัฒนา) เพราะหนูจะมีปัญหาเรื่องการตื่นมาปฏิบัติธรรมตอนเช้า ถ้าวันไหนไม่ได้กินข้าวเย็น เพราะส่วนหนึ่งโดยอาชีพแล้ว ทำให้ต้องควบคุมอาหารด้วย พอตื่นเช้าขึ้นมา จะทำให้มีปัญหาเรื่องสมองและปวดหัว การไปปฏิบัติธรรมตื่นมาวันแรกอาจจะยังมีปัญหา และผ่านไปวันที่สองและสามจะดีขึ้น

และหนูเป็นคนที่นั่งสมาธิไม่ได้ พอหลับตาเมื่อไหร่จะเวียนหัว มันจะรู้สึกวิ้งๆในสมองตลอดเวลา ก็เลยเปลี่ยนมาเดินจงกรมแทน คนเราจะมีวิธีควบคุมสติที่ต่างกัน บางคนนั่งได้นานๆ แต่หนูเป็น คนที่นั่งนานๆไม่ได้ จะเวียนหัว ต้องเปลี่ยนมาเดิน”

ผลจากการไปปฏิบัติธรรมครั้งนั้น หนูรู้สึกว่าตัวเองมีสติในการทำอะไร ทุกอย่างมากขึ้นกว่าเดิม และไม่คิดว่าตัวเองจะหยุดพูดอะไรเยอะๆ ได้ถึง 3 วัน เพราะปกติจะเป็นคนที่ชอบคุย(หัวเราะ) พอได้ลองปิดวาจา ถามแต่ในสิ่งที่จำเป็น อยู่แต่ในอิริยาบถที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้รู้สึกว่าชีวิตในโลกภายนอกที่เราเคยปฏิบัติมา โลกที่ต้องวุ่นวาย คุยโทรศัพท์ทั้งวัน พอได้หยุด เราก็ยังอยู่ได้ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ มีความสุขกับตัวเอง”

• โลกของเด็ก ไม่ใช่แค่สนามเด็กเล่น

เมื่อเห็นถึงผลดีของการพาชีวิตไปเข้าใกล้ความสงบสุขของชีวิตที่แท้จริง เธอจึงอดไม่ได้ที่จะชักชวนให้ทุกครอบครัว เห็นถึงความสำคัญของการพาสมาชิกในครอบครัวไปอยู่ใกล้ชิดศาสนานับตั้งแต่วัยเด็ก

“หนูอยากจะบอกบรรดาคุณพ่อคุณแม่ทุกคนว่า การเข้าไปใกล้ศาสนา มันทำให้เด็กรู้จักที่จะให้ เมื่อเร็วๆ นี้ หนูไปถ่ายรายการที่วัดแห่งหนึ่ง เห็นคุณพ่อคุณแม่ครอบครัวหนึ่งพาลูกตัวเล็กๆมาวัด แล้วคุณแม่ก็จะคอยบอกให้ลูกทำตาม เช่นว่า จุดธูปนะลูกนะ แล้วลูกก็ทำ ทั้งๆที่ไม่เข้าใจว่า ทำไปเพื่ออะไร เป็นภาพที่ดูน่ารัก และเป็นการปลูกฝังสิ่งที่ดีให้เด็กคนหนึ่งไปในตัว รู้จักสงบจิต สงบใจ รู้จักการให้ รู้จักการทำอะไรเพื่อคนอื่น หนูยังพูด กับพี่ๆทีมงานเลยว่า ถ้ามีลูก หนูจะพาลูกมาวัด เพราะว่าสังคมปัจจุบันลืมอะไรพวกนี้ไปเยอะมาก”

และเธอก็บอกตัวเองเช่นกันว่า จะพยายามรักษาภาพในด้านดีของตัวเองที่คนอื่นๆชื่นชม ไว้เป็นที่จดจำตลอดไป

“ทุกวันนี้เวลาหนูออกไปไหน แล้วมีคนพูดถึงรายการ พูดถึงความเป็นคนอัธยาศัยดีของหนูที่คนอื่นมองผ่านรายการ มันเป็นกำลังใจให้กับหนูมากๆ หนูจึงตั้งใจจะทำให้คนอื่นได้เห็นว่า ยุคสมัยนี้ ยังมีวัยรุ่น หรือมีเด็กคนหนึ่งที่ยังเป็นแบบนี้ได้อยู่”

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 131 ตุลาคม 2554 โดย พรพิมล)




กำลังโหลดความคิดเห็น