“คุณกำลังอยู่กับบุ๊คโกะ 94 EFM” ประโยคดังกล่าว คือความฝันในวัยเด็กของ “ดีเจบุ๊คโกะ” หรือ “ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล” ที่มีความฝันอยากเป็นดีเจและตอนนี้เขาก็สามารถส่งน้ำเสียงเฮฮา เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับผู้ฟังอยู่บนหน้าปัดคลื่นวิทยุตามอย่างที่เขาฝันเอาไว้ ใครจะเชื่อว่า ดีเจร่างอวบอั๋นคนนี้จะตามหาฝันของตนเองจนเจออย่างทุกวันนี้...
เริ่มงานจากนักข่าวสายบันเทิง
การเริ่มเข้าสู่การเป็นดีเจของบุ๊คโกะ เริ่มต้นจากการเป็นนักข่าวสายบันเทิง จนกระทั่งวันหนึ่งมีผู้ใหญ่ทางคลื่น เห็นแววและได้ให้เขาส่งเดโมเพื่อให้ทางผู้ใหญ่ได้คัดเลือก และคู่หูดูโอในการทำงานสายดีเจของบุ๊คโกะคนแรกก็คือ ดีเจ ต้นหอม
เวลา 2 ปี กับการทำหน้าที่ดีเจ นับวันยิ่งทำให้เขาได้รับผลตอบรับดีขึ้นมากเรื่อยๆ การได้มาทำงานในวงการบันเทิง เขาบอกว่ามันคือความฝันสุดยอดสำหรับเขา เพราะอยากเข้าวงการมาก อยากจะออกทีวี
“การเป็นดีเจเป็นความฝันตั้งแต่เด็กแล้วว่าเราไม่ได้มีโอกาส แต่เราก็ได้ฝึกพูดมาตลอดนะ ว่า “คุณกำลังอยู่กับบุ๊คโกะ 94 EFM นะ ” เพราะตอนเรียนเราชอบฟัง EFMอยู่แล้ว แฉแต่เช้า เราก็ฝึกพูด แต่พอวันนึงเราได้มาทำ ไม่ต้องท่องเลยอ่ะ เค้าบอกว่าให้ท่องจิงเกิ้ลก่อนเข้ารายการนะ เราไม่ต้องท่องเพราะเราจำได้ตลอด 8 ปีที่ฟังมา ”
บุ๊คโกะเล่าว่า การได้เป็นดีเจครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะยังไม่คุ้นกับเครื่องไม้ เครื่องมือในการจัดรายการ แม้ว่าตนเองจะเรียนมาทางด้านนิเทศศาสตร์ แต่เน้นไปทางด้านการประชาสัมพันธ์
“ไม่ได้เรียนวิทยุโทรทัศน์มา มาจับก็ตกใจบ้างแต่ก็ได้คู่ดีที่ได้คู่กับพี่ต้นหอม เลยช่วยกันจำ ก็สามารถทำให้รายการมันสมูทไปได้ เรื่องอื่นก็ตื่นเต้นที่แฟนคลับจะชอบเรามั้ย เพราะว่ามันเคยเป็นช่วงของดีเจคนเก่า พอมาอยู่ในช่วงใหม่ของดีเจใหม่ค่อนข้างที่จะกดดัน แต่เราก็ต้องทำเต็มที่ คอมเมนต์ที่ตกใจมาก “พวกเธอเป็นใคร เอาเจมส์ อั๋นของเรากลับมา” เพราะเป็นช่วงของดีเจเก่าที่ย้ายไปอยู่ช่วงดึก เราก็ตกใจ แล้วก็นอยด์นิดหน่อย เราก็ตั้งใจ จนวันหนึ่งเขาก็เปิดใจรับเราเต็มที่ ทำให้เรารู้สึกว่าเราทำแล้วแฮปปี้ แรกๆ เค้าก็คงตกใจนะว่าทำไมเรามาอยู่ช่วงเวลานี้ พอผ่านไปก็เกิดสิ่งที่ดีกับเราเกิดขึ้น เราก็ได้แรงใจจากเพื่อนที่ทำงานช่วยให้กำลังใจ มันต้องมีบ้างแบบนี้ วันนี้ก็เลยคิดว่ามันอยู่ตัวและทำให้เราสำเร็จได้มาจนถึงวันนี้”
แม้ว่าทุกวันนี้เสียงตอบรับกับการทำหน้าที่ดีเจของเขายังคงได้รับผลตอบรับอย่างดีมาก แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับการทำหน้าที่ดีเจ ที่จะยังต้องฝึกฝนฝีมือตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง ยิ่งมีคนชอบยิ่งเป็นแรงกำลังใจที่จะทำให้เขาต้องก้าวขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ
งานดีเจสู่การแสดง
เมื่อเราได้ยินความเฮฮา ความสดใสของบุ๊คโกะผ่านทางหน้าปัดวิทยุได้สักพัก เขาก็ได้เริ่มมีผลงานทางการแสดงออกมาให้เห็นกันทั้ง เรื่องแรกคือ ระบำดวงดาว และต่อมาเรื่อง แฝดนะยะ กับบทบาทที่ผู้ชมได้ดู ได้ชมกันแล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาตีบทแตก ทำให้คนดูรู้สึกเกลียดตัวละครนั้นจริงๆ
“พอเป็นดีเจ เราก็มีคนมาเห็นบุคลิก ตอนที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์เราพาไปสวัสดีสื่อต่างๆ ออกโปรโมท สื่อต่างๆ บ้าง เพราะตอนนั้นก็ทำรายการบันเทิงทางช่องทรูไปด้วย เค้าก็จะเห็นว่าคาแร็กเตอร์มันชัดแล้วไม่ค่อยเหมือนใคร เค้าก็ส่งบทมาให้ดูบ้าง มีการเรียกทาบทาม เรื่องแรกก็เรื่องระบำดวงดาว เค้าก็เรียกไปแคส ดู ก็ผ่าน ได้เล่นไป เรื่องที่สอง แฝดนะยะ พี่ผู้จัดก็ให้โอกาส ติดต่อ เราก็ไม่รอ เพราะเราอยากท้าทายความสามารถของเราอยู่แล้ว
เรื่องนี้ถึงเล่นเป็นกะเทยจริง มันต้องเล่นร้าย แล้วต้องร้ายแบบคอมเมดี้ ซึ่งมันยากนะ แล้วเราเป็นคนที่พูดจาให้คนตลก ง่ายมั้ย ง่ายนะ แต่ต้องเล่นร้ายคอมเมดี้ยากนะ ถัดที่ยากถัดจากพี่แคทที่เล่นเป็นแฝดยากแล้ว บุ๊คโกะก็ยากนะ การจะทำให้เราร้ายแบบคอมเมดี้จะทำยังไงให้คนดูตลกและหมั่นไส้เล็กๆ น้อยๆ ไปด้วย แต่ก็ผ่านไปด้วยดี ได้รับการตอบรับจากผู้ใหญ่ด้วยดี”
“บางคนบอกว่าบทคอมเมดี้เป็นตัวบุ๊คโกะอยู่แล้ว แต่บทร้ายเนี่ยผู้กำกับบอกว่า เราต้องเกลียดใครชอบใคร แต่เราเป็นคนไม่เกลียดใครอยู่แล้วนะ เกลียดใครน้อยมาก เป็นคนอารมณ์ดีมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ เป็นคนไม่ค่อยอารมณ์เสีย มันก็เลยยากหน่อย เขาก็สอนว่า เราร้ายแต่เราไม่ร้ายลึก ร้ายแบบไม่ให้คนอื่นเค้าหมั่นไส้ มันก็ยากแต่เราก็พยายามปรับเปลี่ยนอารมณ์ของเราทำให้มันผ่านไปได้ ผู้กำกับเขาก็สอนเรา เขาก็อยากทำให้เราเป็น เขาก็ปั้นเราเราก็แฮปปี้ เขาก็แฮปปี้”
เขาบอกว่างานแสดงกับงานดีเจมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการได้แสดงเป็นตัวของตัวเอง และงานทั้งสองอย่างก็เป็นงานที่เขารัก
“บุ๊คโกะเชื่อว่าการเป็นดีเจให้คนฟัง ก็เหมือนเป็นการมอบความสุขให้คนดูนะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราชอบก็คือทั้งสองอย่าง เพราะเราได้มอบความสุขให้คนดูและคนฟังนะ ชอบทั้งสองอย่างเพราะเราคิดว่ามันเป็นตัวเราทั้งสองอย่างเลยนะ ”
ไอดอลคนรุ่นใหม่
ความฮอตของการเป็นดีเจและนักแสดงไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ดีเจบุ๊คโกะยังกลายเป็นไอดอลของคนรุ่นใหม่ที่อยากเป็นดีเจที่สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ทุกคนอีกด้วย แม้ว่าตัวเขาก็ไม่ได้คิดว่าตนจะเป็นไอดอลของน้องๆ หรือใครต่อใครหลายคน
“เคยมีน้องที่เมื่อก่อนไม่มีความมั่นใจหรือมั่นแต่ไม่มาก พอเจอเราก็คิดว่าเหมือนไอดอลเลย บุ๊คโกะดีใจนะที่เห็นเราเป็นไอดอล แต่ส่วนหนึ่งที่อยากจะบอกกันเลยก็คือ การที่เราจะมีไอดอลมันไม่ผิดหรอก เราควรจะเรียนรู้ในสิ่งที่เค้าเป็นแล้วเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวันด้วย บางคนก็อยากจะเหมือนบุ๊คโกะเป๊ะนะ เราก็ไม่ปิดกั้นนะ ดีใจที่เค้าชอบที่จะเหมือนเรา แต่ว่า สิ่งที่สำคัญคือ หนูจะต้องตั้งใจเรียน แล้วก็เป็นคนดีของสังคม ย้ำเสมอว่า เวลาหนูจะไปทำอะไร หนูจะต้องดูสถานที่นะ เราอาจจะกล้าแสดงออก ในความเป็นตัวของตัวเอง ก็จะย้ำตลอด เห็นในทวิตเตอร์ตลอดเลยนะว่า พี่เป็นไอดอล ก็บอกตลอดนะว่า หนูทำแบบพี่ได้แต่ต้องมีขอบเขตที่พอเหมาะพอเจาะนะ เป็นคนที่อยู่ในสถานที่ที่มีกฎเกณฑ์ มีหน้าที่การงานต้องทำ เราก็จะไม่พูดมาก สงบเสงี่ยมตัว ไปวัด เราจะไปกรี๊ดๆ ในวัดมันก็ไม่ใช่ไง ต้องรู้กาลเทศะ เวลางานเราทำเต็มที่ แต่เวลานอกงานมันคือเวลาของเรา คนไปเห็นเราข้างนอกว่าเราเต็มที่มากเลย อันนั้นคือเวลานอกงานของเรา เราเต็มที่นะ แต่พอเรามาสวมหัวโขนในหน้าที่การงานของเรา แต่นอกเวลางานเรามีชีวิตของเรา แต่บอกก่อนว่าเต็มที่ของเราไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนแน่นอน เราเป็นตัวของตัวเอง เพราะฉะนั้นอยากบอกน้องว่า เราทำงานให้มีขอบเขตมันสำคัญนะ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครชอบหรือเกลียดเราได้ ที่ที่สุดคือการทำตัวเป็นคนดีและทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เค้าจะว่าเราไม่ได้ คนรอบข้างจะว่าเราไม่ได้ ตอนงานก็ทำเต็มที่อีกคนหนึ่งก็จะมองขัดดแย้งกับเขา มันเหมือนเป็นเกราะกำบังเรามากกว่า ”
ความรักคือสิ่งสวยงาม
เห็นความเฮฮา สดใส ของดีเจบุ๊คโกะสร้างความสุขให้แก่ผู้คนมากมาย ทว่าในอีกมุมหนึ่งเขายังเป็นคนที่มีเรื่องเครียด ซึ่งเขาสามารถแยกแยะเรื่องงานกับความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี
ส่วนเรื่องที่เขาบอกซีเรียสอย่างมาก คือ เรื่องความรัก ซึ่งเมื่อก่อนเครียดกับความรักมากที่สุด แม้จะรู้ดีว่าความรักไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เป็นสิ่งที่เขาจะต้องขาดไม่ได้ คิดว่าตนเองขาดความอบอุ่น
“เป็นคนซีเรียสเรื่องความรักมากนะเราก็มารู้จริงๆ ว่าความรักไม่ใช่ทุกอย่างสำหรับเรา ไม่ใช่ทุกอย่างสำหรับเรา เป็นแม่กับน้องที่เป็นทุกอย่างสำหรับเรานะ พ่อด้วย แต่พ่อเสียไปแล้ว แต่เราก็ใช้แรงบันดาลใจตรงนี้มาช่วยเป็นกำลังใจที่จะก้าวต่อไป เมื่อก่อนขาดไม่ได้เลยนะ เรื่องความรัก คิดว่าตัวเองขาดความอบอุ่น แต่จริงๆ คนรอบข้างมีความสุข มาทำงานเจอคนก็มีความสุข ทะเลาะกัน กัดกันก็มีความสุข แต่ละวัน ก็ไม่เสียใจล่ะ”
เรื่องราวความรักของบุ๊คโกะ เขาเล่าว่า ที่ผ่านมาจะบอกว่าไม่มีใครเข้ามาจีบเลยก็ไม่ใช่ หรือจะไม่ไปจีบใครก็ไม่เชิง เขาดูมีความสุขมากเมื่อได้เล่าเรื่องราวความรักของตนเอง
“เราคิดว่าอะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ แต่บางทีมีข่าวว่าเราไปเฝ้าผู้ชายบ้าง มันโง่ป่าวว่ะ แต่นั่นมันคือความสุขของเรา เข้าใจป่ะ เราก็ทำไป มีเพื่อนเตือนว่าอย่าไปเลี้ยงผู้ชาย เราไม่เลี้ยงอยู่แล้ว มีคนแซวกันไป ถึงแม้ว่าความรักครั้งนี้มันจะไม่แฮปปี้ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกครั้งที่ผ่านมามันก็ไม่แฮปปี้อยู่แล้ว เราก็เหมือนว่าเราชินชา เพราะว่ามันก็เป็นจริงๆ สมัยนี้คนไทยจะมายอมรับว่าลูกชายตัวเองมามีแฟนเป็นเพศที่สามก็ไม่ใช่ไง มันไม่ใช่เมืองนอก มันคือประเทศไทย คือเมืองพุทธ แม่ผัวจะมาคิดว่าเราเป็นผู้หญิงมันก็ไม่ใช่ไง บุ๊คโกะคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง เรากำลังหลอกตัวเองอยู่นะ เพิ่งคิดได้ไม่นานนี้แหละ ก็คิดว่าต่อไปนี้เราจะไม่เครียดล่ะ เคยคิดว่า เช้ามาเราจะตื่นมาเป็นแม่ศรีเรือนทำทุกอย่างให้กับสามี มันไม่ใช่ เราก็รู้ว่าไม่ใช่ ทำให้ตัวเองมีความสุขไปวันๆ ดีกว่า ”
“สเปก ชอบตี๋ อินเตอร์ หุ่นดี ชอบผู้ชายดูแลตัวเอง ชอบผู้ชายกินข้าวเยอะๆ แต่ต้องหุ่นดี เพราะเราก็กินเก่ง แล้วหน้าตาดี อินเตอร์ หุ่นดี แต่หลังๆ ได้มาไม่ค่อยตี๋ แต่กินข้าวเก่งนะ แล้วก็หล่อ หุ่นดี ช่วงนี้ใกล้โค้งสุดท้ายนะ แต่เราจะชอบเด็กๆ เรียนมหาลัย น้องๆ แนะนำให้รู้จัก ไม่กลัวเค้าหลอก กลัวนะ ก็เตือนกันตลอด เราคิดว่าเวลาไปไหนด้วยกัน เรามีงานทำ เราโตกว่า กินข้าวด้วยกัน เราจะออกก็ไม่มีปัญหา แต่จะมาให้เราเอาเงินให้เป็นรายเดืน ไม่เด็ดขาด แล้วฉันก็ชัดเจนด้วย บอกเลยว่าถ้าจะมาให้เงินเราไม่เอานะ ก็บอกเค้าตรงๆ ไป”
มุมมองความรักในแบบของบุ๊คโกะ เป็นความรักที่สวยงาม เวลามีความรักทุกอย่างก็ทำให้มีความสุข แต่เมื่อถึงเวลาที่ทำให้เสียใจเพราะความรักก็มีเช่นเดียวกัน ความรักเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นไปในเชิงชู้สาวเท่านั้น เป็นเพื่อนรักกัน จริงใจต่อกัน ความรักในแบบเพื่อนร่วมงาน ทุกคนมีความจริงใจให้กัน
“เราคาดหมาย ตั้งเป้าเอาไว้ แล้วไปให้ถึงความฝันนั้น วันหนึ่งถ้าคุณเหนื่อยหรือท้อ ก็พักแปบนึง แต่อย่าถอยหลังกลับไปนะ หยุดพัก ให้คนอื่นแซงหน้าไปก่อน จุดมุ่งหมายที่เดียวกัน แต่เราถึงสวยงามกว่าก็โอเคนะ ไม่เป็นไรถ้าคนอื่นจะวิ่งนำเราไปก่อน เส้นชัยมันถึงเหมือนกันนั่นแหละ แต่จะถึงช้า เร็ว บางคนไปเร็วแบบทุลักทุเล เราถึงแบบสวยงาม บุ๊คโกะอาจจะถึงเส้นชัยช้ากว่าคนอื่นแต่เราก็ถึงแบบสวยงาม มีงานที่ดี มีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีงานให้ลอง ทำให้เราแฮปปี้ สิ่งนี้คือสิ่งที่เรารอคอย เหนื่อยได้ ท้อได้ แต่อย่าถอย สู้ต่อไป” ดีเจบุ๊คโกะ กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวโดย M-Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย ธัชกร กิจไชยภณ