xs
xsm
sm
md
lg

ฝากดวงใจให้ดูแล "อายอายส์" สาวอินดี้ มาดเซอร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ดือ ดื่อ ดือ ดื่อ ดือ ดื่อ” เสียงฮัมเพลงรวมถึง “สุกัญญา” ชื่อที่กลายเป็นเสียงทักทายและเป็นที่จดจำในบุคลิกของสาวหวาน เรียบร้อย ใครต่อใครได้พบเห็นเธอโดยผ่านทางงานโฆษณาชิ้นหนึ่ง ในโลกของความเป็นจริงที่ไม่ได้มีมายากีดกั้นเอาไว้ ชีวิตจริงของ “อายอายส์ กมลเนตร เรืองศรี” คือ สาวอินดี้ มาดเซอร์ ทำตัวเกรียน ใครจะเชื่อว่า ทั้ง “สุกัญญา” และ “อายอายส์” จะเป็นคนคนเดียวกัน และวันนี้ M-Lite จะพาไปรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงในสไตล์ของอายอายส์ ที่คุณไม่อาจละสายตาจากเธอได้...

….


เวลา 13.00 น. เป็นเวลาที่ M-Lite นัดพบ “อายอายส์ กมลเนตร เรืองศรี” ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภาพในหัวกับบทบาท “สุกัญญา” สาวเรียบร้อย ในโฆษณาชิ้นหนึ่ง ทำให้เรามองหาสาวบุคลิกเช่นเดียวกัน

เมื่อได้เวลาเธอกล่าวทักทาย ภาพที่ปรากฏกลายเป็น หญิงสาวหน้าหวานผมยาว สวมเสื้อยืดสีขาวพับแขน กางเกงขายาวสีน้ำตาลตามสไตล์แฟชั่นมาพร้อมแว่นตาคู่ใจ เธอคือสาวอินดี้มาดเซอร์ ที่แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างชัดเจน

ความต่างที่ต้องเรียนรู้

หลังจากที่งานโฆษณาของเธอเริ่มติดหูแล้ว ยังมีหลายคนที่จำเธอได้ แม้ว่าบุคลิกภายนอกที่หลายคนเห็นตัวจริง และบุคลิกที่เห็นผ่านจอโทรทัศน์ จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทว่าไม่ว่าเธอจะไปทำกิจกรรมที่ไหน ก็มักจะมีคนคอยทักคอยถามว่าเธอใช่ “สุกัญญา” ในโฆษณาหรือไม่
นี่ไม่ใช่ผลงานโฆษณาชิ้นแรกของเธอ ก่อนหน้านั้นเธอก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงในช่วงที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยมีโมเดลลิ่งมองเห็นแววได้เข้ามาทาบทามเหมือนวัยรุ่นที่เดินตามแหล่งชอปปิ้งใจกลางกรุงทั่วไป

“เข้ามาวงการตอนหนูจบ ม.6 ก็มีโมเดลลิ่งเขามาเจอเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แล้ววันที่เข้าไปทำโปร์ไฟล์ของโมเดลลิ่ง เข้าก็เรียกให้เราไปลองแคสงานของยูนีลิเวอร์ ตอนนั้นก็ออกมาเด๋อๆ หน่อย หัวฟูๆ เต้นบ้าๆ เพราะหนูเป็นคนบ้าๆบอๆ มั้งค่ะ ก็เลยได้งานชิ้นนี้มา”

วงการบันเทิงไม่ใช่ความฝันของสาวเซอร์อย่างอาย เธอคิดเพียงว่าการทำงานในวงการบันเทิงต้องมีหน้าตาสวย โดดเด่นมากๆ จึงจะสามารถเกิดในวงการบันเทิงได้ ซึ่งในวัยเด็ก เธอคือลูกผู้หญิงคนเดียวของบ้าน บุคลิกเป็นเพียงแค่เด็กซนๆ แก่นๆ คนหนึ่งที่ชอบเล่นกับเพื่อนผู้ชาย จนทำให้ทะเลาะกับพี่ๆ ข้างบ้านอยู่บ่อยครั้ง

“หนูเคยซนจนทะเลาะกับพี่ข้างบ้าน เล่นกันแบบผู้ชายเล่นกัน ปืนอัดลมบ้าง เขาก็ยิงหนู สู้กันทะเลาะกันด่ากัน แต่พอโตมาทำให้เราสนิทกันมาก”

การเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน ยิ่งเป็นเด็กซน แต่ครอบครัวไม่เคยต้องบังคับให้เธอทำในสิ่งที่ลูกควรทำ การเลี้ยงดูมาในแบบให้เธอได้ตัดสินใจด้วยตนเอง จึงทำให้อายเป็นคนกล้าคิด กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด

“หนูเป็นลูกที่คุณแม่ตามใจมาก อยากทำอะไรให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง ซึ่งพ่อก็ไม่ได้ฟิกซ์ว่าเราจะต้องเรียนอะไร อย่างที่พ่อกับแม่ต้องการ เขาจะให้เราตัดสินใจเอง”


เมื่อพ่อและแม่ปล่อยให้ตัดสินใจเอง การได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่ตนเองต้องการมากที่สุด ทำให้เธอกล้าฝันและรู้ถึงความถนัดและความชอบของตนเอง


อายบอกว่าเมื่อรู้ว่าตัวเองชอบพูด และตอบติดตลกว่า เพราะเธอเป็นคนพูดมาก อยากเรียนในเรื่องที่เกี่ยวกับการได้พูดคุย ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอถนัด ไม่ได้หมายความว่าจะต้องพูดดีหรืออะไร แต่อยากทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับการได้พูด อยากเป็นพิธีกร ความคิดจะมาเป็นแพทย์ หรือครู ตำรวจ ให้ตัดทิ้งไปได้ ในความคิดเห็นส่วนตัว การจะเป็นครูที่ดีจะต้องเป็นครูที่เก่งมาก เพราะครูในสมัยนี้มีทั้งครูดีและครูไม่ดี


“หนูเป็นเด็กเรียน ในตอนแรกก็คงไม่มีใครคิดหรอกว่าอายจะเป็นเด็กเรียนหรอกนะ เพราะว่าหนูไม่เนิร์ดที่จะมาใส่แว่นหนาเตอะอ่านหนังสือเป็นกองๆ แต่แค่หนูตั้งใจเรียนมาก ตอนนี้ก็อยู่ชั้น ปีที่ 2 คณะมนุษยศาสตร์ เอกสื่อสารมวลชน ”


“การเรียนในมหาวิทยาลัยสนุกนะค่ะ พราะมหาวิทยาลัยไม่ได้ฟิกว่าเราต้องเรียนแยกเป็นสาขา ก็จะได้เรียนทั้งหมดเลย ทั้งประชาสัมพันธ์ โฆษณา มันก็ไม่รู้ว่าเราจะเก่งด้านไหน แต่สิ่งที่หนูรู้ว่าหนูชอบมากที่สุดคือการชอบเรียนทางด้านการโฆษณา ตอนเด็กๆ ชอบคิดอะไรที่มันสร้างๆ นะ ชอบงานศิลปะ ”


เมื่อก้าวสู่โลกการทำงานพร้อมกับการเรียนไปด้วย ในโลกของความจริงกับการเรียนมีความแตกต่างกัน ทำให้เธอได้รู้ว่า ในโลกความเป็นจริงจะมานั่งเรียนเพียงแค่ในห้องไม่ใช่สิ่งที่เธอจะได้รับ แต่เป็นเพียงแค่ทฤษณีที่จะทำให้เธอได้เข้าใจกระบวนการมากขึ้น


“พอเราได้มาทำงานจริงๆ เราต้องเรียนรู้อีกเยอะค่ะ งานที่ทำส่งอาจารย์ กับการทำงาน ถ้าพูดถึงเรื่องของเนื้อหามันสามารถยืดหยุ่นได้ เพราะไม่ได้เป๊ะเหมือนในทฤษฎี แต่บางทีงานที่เราได้ไปทำก็ยังไม่ได้เรียน แต่เราสามารถเอาประการณ์จากข้างที่ทำมาก่อน พอได้มาเรียนทำให้เห็นภาพมากขึ้น แล้วเข้าใจว่าเป็นอย่างไร ”



ได้งานเพราะถูกหลอก

แม้ว่าการเข้ามาสู่วงการบันเทิงของสาวมาดเซอร์จะไม่ยาก เพียงแค่การแคสงานชิ้นแรก ก็ทำให้เธอได้รับงานนั้นในทันที


อายเล่าว่า กว่าจะได้งานแต่ละชิ้นต้องผ่านการแคสติ้งงาน ซึ่งแต่ละงานมีความยากง่ายไม่เหมือนกัน ผลงานโฆษณากับงานยูนีลิเวอร์ เป็นงานแรกที่เธอไปแคสงานแล้วได้ จึงทำให้เธอมองว่า ในวงการนี้ การทำงานแบบนี้ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับเธอเลย


“งานแรกที่ได้ทำให้อายรู้สึกว่าเราสนุกอยู่กับมันนะ แต่พอหลังจากนั้น งานมาสามสิบตัว ไม่เคยได้เลยค่ะ หนูก็เลยบอกพี่ๆ ที่โมเดลลิ่งว่า จะไม่แคสแล้วนะ ถึงกับท้อไปเลย พี่ๆ ก็บอกกับหนูว่าเราต้องอดทนนะ ถ้าเราไปแคสฯบ่อยๆ เราก็จะรู้”


กระทั่งกับงานโฆษณาธนาคารกสิกรไทยชิ้นล่าสุด สิ่งที่ทำให้อายมาดเซอร์ได้รับงานที่ต้องกลายเป็นสาวแบงค์เรียบร้อย คอยต้นรับลูกค้าที่มาใช้บริการ เธอบอกว่า ได้งานนี้เพราะโดนหลอกให้เข้าไปแคสติ้ง


“ตอนนั้นหนูไปเที่ยวทะเลกับคณะ พี่ๆ เค้าก็โทรมา ขอคิวเรา แล้วบอกว่าจะมีงานเอ็มวีของค่ายเลิฟอีส ซึ่งเป็นค่ายโปรดของหนู เราก็ตอบตกลงไป แต่เมื่อเราเข้าไป ปรากฎว่างานเอ็มวีแคสฯไปแล้วเมื่อวาน ได้ตัวนางเอกไปแล้ว แล้วพี่ๆ ก็บอกให้ลองไปแคสงานโฆษณาตัวนี้ดู เราก็ไม่อยากได้นะ เรารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ได้อยู่ดี ก็คิดอยู่ในใจว่าเรากำลังโดนหลอก จนทุกวันนี้มีคนรู้จักเรา คุ้นหน้าตาเราก็เพราะโฆษณาชิ้นนี้ เขาก็เลยแซวว่า ถ้าไม่หลอกไปวันนั้นจะได้งานนี้มั้ยล่ะ ทุกวันนี้เราก็สนิทกับพี่ที่พาเราไปแคสฯไปเลย”


“ถึงหนูจะโดนหลอก แต่ก็ไม่เคยที่จะถูกหลอกไปในทางไม่ดีเลยนะค่ะ หนูไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่อย่างคนอื่นๆ เขาโดนหลอกกัน คงเป็นเพราะหนูโชคดีมาก หนูไม่รู้ว่าที่ไม่เจอแบบนั้นคงเพราะเป็นบุญที่ส่งมาตั้งแต่อดีตหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เพราะชาตินี้หนูเป็นคนที่ทำบุญน้อยมาก


เกิดมาครอบครัวหนูก็ไม่ได้เพียบพร้อมทุกอย่างเหมือนคนอื่นๆ ไม่มีเงินร่ำรวยอะไร แต่แค่หนูมีเพื่อนที่ดี มีคนรอบข้างที่ดี มีผู้ใหญ่ที่ดี ก็เลยคิดสะว่าชาตินี้หนูต้องทำบุญเยอะๆแล้วล่ะ ชาติหน้าเผื่อจะได้เป็นแบบนี้อีกบ้าง ชาตินี้ก็ไม่ได้ทำบุญอะไรมากมาย แต่ทำไมเราคิดว่ามีคนคอยช่วยเหลือเราตลอดเลยนะ ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นบุญเก่า” รอยยิ้มติดตลกของเธอชัดขึ้น


กดดันตัวเอง

หลายคนอาจจะยังคงติดภาพจากสาวเรียบร้อย ที่ขัดกับบุคลิกที่แท้จริงของเธออย่างสิ้นเชิง ตัวตนของเธอแม้ว่าจะไม่สามารถนิยามได้ แต่สามารถบอกได้ว่าเธอมีความเป็นตัวของตัวเองที่เราสามารถสัมผัสตัวตนได้


“เพื่อนบอกว่าทำไมบุคลิกไม่เหมือนงานโฆษณาเลย พอได้ออนแอร์ไป ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีใครจำหนูได้ เพราะคิดว่าคงมีเพียงแค่คนที่รู้จักเราเท่านั้นที่รู้ว่าเราคือคนในโฆษณา แต่พอเดินไปไหนมาไหนมีคนมอง แล้วซุบซิบกันถามว่า ใช่มั้ยๆ อายก็เดินผ่าแล้วก็ฮัมเพลงไปด้วย เค้าก็หันมายิ้มให้เราด้วย”


อายเล่าถึงบรรยากาศในการทำงานโฆษณาว่าตอนที่ได้งานชิ้นนี้ คำถามที่ผู้กำกับถามคือ “เฮ้ย! เด็กมันเป็นยังไง” เพราะว่างานชิ้นแรกออกไปทำให้คนดูมองว่านางเอกคนนั้นดูเรียบร้อยมาก ซึงผู้กำกับจะต้องขุดเอาตัวตนที่มีลูกเล่นออกมาให้มีสีสัน แต่สำหรับสาวเซอร์ จนมองว่าตัวเองล้นเกินไปกับการจะมาทำตัวเรียบร้อย ต้องมีบุคลิกแบบ สุกัญญา หญิงสาวที่เรียนจบโรงเรียนหญิงล้วน เรียบร้อย ซึ่งต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี


“ดูๆ แล้วมาเห็นอายตัวจริง อาจจะคิดว่าตัวหนูเองกำลังหลอกคนดูว่าหนูเป็นคนเรียบร้อย บางทีตัวตนเราก็เป็นตอนที่ไม่ได้ทำงาน แต่เมื่อถึงเวลางานที่อายต้องแสดงจริงๆ งานโฆษณาคือการสร้างภาพลักษณ์ให้องค์กร เมื่อเค้าเลือกหนูก็ต้องทำให้ได้ หนูต้องทำให้ดีที่สุด”


“ในช่วงแรกกดดันมาก ไปถ่ายที่เชียงใหม่ เพราะมองว่าฟีดแบ็กกับงานโฆษณาตอนแรกที่ออกไปผลตอบรับดีมาก แล้วตัวที่ถ่ายเป็นภาคต่อ ก็รู้นะว่าถ้าทำได้ไม่ดีก็คือเสี่ยวไปเลย ร้องเพลงต้องมีจังหวะรับส่งกันให้ดี มันเลยเป็นความกดดันว่าเราต้องทำได้ เพราะเขาเลือกเรามาแล้ว มีหลายงานที่หนูไปแคสแล้วไม่ได้งาน บางทีก็เสียใจนะ


เราเคยตั้งใจทำงาน แต่มันไม่ได้งาน ก็ทำให้หนูรู้สึกเสียใจนะ บางทีเข้ารอบแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ เหมือนว่าตอนนั้นเรายังเด็กเกินไป เพราะเราก็มีหวัง ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แล้วพอมาทำงานด้านนี้ ทำให้รู้ว่ากระบวนการแต่ละงานเขาทำกันอย่างไร ต้องให้ใครเลือกบ้าง ทั้งลูกค้า ทั้งผู้กำกับ ตอนนั้นคิดได้แค่ว่าทำไมไม่เลือกเราล่ะ ก็เคยท้อ ไม่หวัง ไม่ทำไปอยู่ช่วงหนึ่ง”


เด็กที่หลายคนมองว่า “บ้า”

สาวอินดี้ มาดเซอร์ มีความคิดของตัวเองสูง การแสดงออกจากการกระทำในหลายๆอย่าง ทำให้คนรอบข้างอย่างเพื่อนๆ มักจะแซวว่าเธอติ๊งต๊อง บ้า ไปบ้าง ตามบุคลิกภายนอกที่เห็นซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธออย่างไม่ได้เสแสร้ง


เธอไม่ใช่คนดื้อ “ถึงจะดื้อ แต่ก็ดื้อไม่มาก” อายบอกอย่างนั้น มีบ้างที่จะดื้อแบบเด็กธรรมดาทั่วไป เกรียนๆ ทำตัวตลกเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้โลกสดใส


หลายครั้งที่คนชอบมองว่าเธอบ้า ติสต์แตก ทว่าคำว่าติสต์หมายถึงอะไร เธอก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ แต่สิ่งที่อธิบายตัวตนของเธอได้คือ การที่เธอเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง คนทั่วไปที่วันหนึ่งก่อนจะทำอะไรจะต้องมาตีกรอบตัวเองว่าวันหนึ่งจะทำอะไรบ้าง แต่ตรงกันข้าม เธอก้าวล้ำเส้นกรอบนั้นออกมา จึงทำให้เธอถูกมองว่าเป็นสาวบ้า หลุดโลก


“แค่วันหนึ่งหนูไม่อยู่ในกรอบที่เค้าตีกรอบเอาไว้ คนก็มองว่าหนูบ้าแล้วอ่ะ หนูก็แค่อยากทำทุกอย่าง เพื่อนก็หาว่าหนูบ้า แต่ว่าเฮ้ย นั่นมันไม่ได้เรียกว่าบ้า เราก็คิดว่าแค่การทำแบบนั้นทำไมคนเราถึงคิดว่าคนที่ทำในสิ่งที่ต่างจากคนอื่นต้องมองว่าคนนั้นบ้าด้วย คุณใจแคบเกินไปหรือป่าว อย่างนี้ถ้าไม่ออกนอกกรอบสะบ้างจะเกิดสิ่งที่สร้างสรรค์ใหม่ขึ้นได้ยังไงกัน”


“อายเป็นคนไม่แอนตี้กับคนที่คิดแบบนี้นะ บางคนเด็กฝรั่ง โรงเรียนเค้าก็ปล่อยให้ทำกิจกรรม ให้ทำงาน ออกไปเจอโลก ไปคิดอะไรด้วยตัวเอง อย่าง มาร์กซัคเกอร์เบิร์ก มีเฟซบุ๊กให้คนทั้งโลกได้ติดต่อสื่อสารกัน เพราะเค้าคิดว่าโลกเรียนรู้มันมากกว่าในห้องเรียนนะ พูดแบบนี้ไม่ได้แอนตี้ว่าอย่าไปตั้งใจเรียนนะ การเรียนสำคัญมาก แต่ชีวิตคนเรามันต้องมีอีกเยอะไง ลองทำอะไรที่มันแปลกๆใหม่ๆ สิ่งที่แปลกใหม่ มันอาจจะทำให้เราเกิดบางสิ่งบางอย่างได้นะ ไม่แน่ วันหนึ่งหนูอาจจะประดิษฐ์อะไรขึ้นมาสักอย่างก็ได้ ซึ่งตอนนี้อาจจะยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่อาจจะมีก็ได้ แต่ทุกคนก็ยังคิดว่าหนูบ้าอยู่ดี”


อายบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้หลายคนมองว่าเธอบ้า ว่า “วันหนึ่งหนูชอบดอกลีลาวดีมาก แล้วที่มหาวิยาลัยหนูมีเยอะ มันร่วงลงมา หนูเป็นคนไม่เด็ดดอกไม้นะค่ะ หนูเก็บดอกไม้ที่มันตกลงมา แล้วคิดว่าวันนี้อยากเป็นผู้หญิงหวาน ก็เอาไปทัดหูเดินเล่น มีคนมองว่าน่ารัก แต่เพื่อนหนูมองว่าบ้า หนูไม่ได้บ้า แค่เห็นดอกไม้มันสวย มีช่วงหนึ่งที่หนูแต่งตัวคล้ายผู้ชายมาก ห้าวๆ อยากคิดแต่งเป็นหญิง เพราะผู้หญิงกับดอกไม้เป็นของคู่กัน หนูชอบดอกไม้ เห็นอย่างนี้หนูก็เป็นผู้หญิงอ่อนหวานนะค่ะ” เธอเล่าด้วยอารมณ์เพ้อฝันที่เต็มไปด้วยความสุข


นอกจากโลกที่เธอจินตนาการเต็มไปด้วยความฝันอันสวยงาม เธอรักที่จะแบ่งปันความสุขให้คนรอบข้างอยู่เสมอเมื่อมีโอกาส


“ในบางทีตัวอายเองมีโลกส่วนตัวที่สูงนะ แต่ว่าเราสามารถคุยกับทุกคนได้หมด บางทีหนูเจอใครเข้ามาคุยด้วย ก็คุยได้หมด มีบ้างที่จำชื่อได้และจำชื่อไม่ได้ บางทีเราคุยทั้งๆที่เราไม่ได้รู้จักเลยนะ แต่รู้สึกว่าการทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ดี “การที่เราได้เจอกันมันดูเหมือนเป็นความบังเอิญ แต่สิ่งที่ไม่บังเอิญคือรอยยิ้ม” เพราะเราตั้งใจจะยิ้มให้ เมื่อเราตั้งใจยิ้มแล้วได้กลับมาก็จะทำให้เรามีความสุข”

อายรักที่จะยิ้ม ในรอยยิ้มของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกดีที่ออกมาจากใจ แม้ว่าในบางครั้งมีเรื่องราวที่มากระทบจิตใจจนกระทั่งน้ำตาไหล แต่สุดท้ายก็ต้องมีรอยยิ้มกลับคืนมาทดแทนบนใบหน้าทุกครั้ง


“หนูเคยไปขายของที่งานแฟตเป็นงานแฮนด์เมดของหนูทำเอง มีคนเดินผ่านไปมาหน้าร้านมากมาย ไม่ต้องแวะเข้าดู เพียงแค่เขาเดินผ่านมา หนูยิ้มให้แล้วเค้ายิ้มกลับ ก็รู้สึกดีแล้วล่ะ หนูว่ารอยยิ้มเป็นโรคติดต่อได้เลยนะ”


“เคยมีอารมณ์โมโหมากจนน้ำตาไหลพราก การร้องไห้ มันคืออารมณ์โมโห เครียดแค้น ดีใจ มันสามารถเป็นได้ทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่จะไม่จำหรอกค่ะว่าเราโมโหเรื่ออะไร แต่สุดท้ายเราต้องลงเอยด้วยรอยยิ้ม เพราะหนูชอบที่จะยิ้ม”

ความรักของสาวอายอายส์

ถามถึงเรื่องความรักกับสาวเซอร์ “หนูมีความรักค่ะ” คำตอบที่ได้อย่างรวดเร็วและมั่นใจว่าตอนนี้เธอกำลังมีความรัก สำหรับอาย ยังไม่ทราบว่าความรักในแบบตนนั้นเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือความรู้สึก มุมมองความรักของเธอคือความว่างเปล่าที่ไม่มีนิยามตายตัวเพราะขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่เจอว่าเป็นคนเช่นไร

“เอาเข้าจริงหนูเป็นคนที่ไม่เคยสมหวังกับความรักเลย ไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย แต่ถามว่า หนูมีคนที่ชอบมั้ย หนูมีนะ แต่เค้าไม่ชอบหนูหรอกเพราะหนูบ้า หนูรู้สึกว่าคนที่เข้ามารู้จักกับหนูจริงๆ สุดท้ายก็คิดว่าเป็นเพื่อนกันดีกว่า แล้วบางคนที่เข้ามาจีบหนู หนูก็จับทำเพื่อนหมด มันดีนะ ที่ทำให้เรามีคนที่รู้จักมากขึ้น หนูชอบที่จะรู้จักคนเยอะ มันมีความสุข แต่พอทำอะไรบ้าๆ เราก็อายๆ เลยนะ เพราะคนรู้จักเราเยอะ ก็กลายเป็นเรื่องฮาไป”


อาการแอบปลื้มของสาวมาดอินดี้ กลายเป็นความบ้า อาการทุกอย่างคล้ายในมิวสิควิดีโอ ละคร อาการเขินๆ ออกอาการแอบปิ๊งอย่างผู้หญิงคนหนึ่งจะหลงใหลผู้ชายคนหนึ่งได้มาก อาการแบบนี้ทำให้หลายคนมองว่าเธอไม่ได้คิดจริงจัง


“เป็นตอนเด็กๆ หนูจะชอบผู้ชาย ขาวตี๋ หล่อ ดัดฟัน แต่พอมาโตขึ้นหนูชอบผู้ชายติสต์ๆ เซอร์ๆ แนวๆ มันเปลี่ยนไปได้เนอะ หนูว่าตราบใดที่ท้องฟ้ายังเปลี่ยนสี ในคนก็เปลี่ยนแปลงได้ หนูก็เหมือนกัน”


M-Lite จึงขอแซวเธอถึงผู้ชายที่เธอปลื้มมาก เมื่อเราได้เห็นรูปภาพกิจกรรมต่างๆที่เธอได้ทำแล้วนำมาอัพเดทให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน เขาคือหนึ่งในศิลปิน ของวงอินดี้ที่กำลังมา อย่าง Better Weather วงดนตรีดีดีที่ทำให้โลกของอายสดใสได้ทุกๆวัน


“พี่ดิว คือศิลปินที่หนูชื่นชอบมากที่สุดในตอนนี้ แอบปลื้มมาก หนูชอบที่ทรงผมเค้า และตัวตนเค้าน่ารักมากกว่าที่เราเห็น มากกว่าที่เค้าเป็นอยู่นะ แบบคือหนูเห็นเค้าครั้งแรกในแชแนลวี เปิดมาเจอเอ็มวีตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพลงสากล เพราะบรรยากาศในเอ็มวี แต่พอท่อนภาษาไทยขึ้นมา แล้วตอนนั้นในเอ็มวีมันเป็นโมเม้นต์ที่พี่ดิวเค้าเม้มปาก โหย ตรงนั้นแหละที่หนูชอบมาก รู้สึกว่าจะมีผู้ชายสักกี่คนที่เม้มปากได้น่ารักแบบนี้” จากวันนั้นจึงทำให้เธอติดตามผลงานของศิลปินวงดังกล่าว


“หนูจำได้แม่นเลยว่าวันนั้นวันที่17 เดือน 7 ปี 53 ที่สยามเซ็นเตอร์ พี่เค้าไปขึ้นเวทีที่สยาม หนูอยากเจอมาก ถึงตอนนั้นวงนี้จะยังดังไม่มาก เป็นวงอินดี้ หนูมารอพี่เค้าตั้งแต่เวทียังจัดไม่เสร็จเลยค่ะ เลยตัดสินใจชวนเพื่อนไปซื้อเสื้อผ้าที่โบนันซ่า เดินไปได้สักพักก็สวนกับพี่เค้า จำได้เลยว่าวันนั้นพี่เค้าขาเป๋ เพราะตกบันได แล้วก็เข้าไปทัก “พี่ดิวจำได้มั้ยค่ะว่าใคร” เค้าก็บอกว่าน้องอาย ดีใจมากที่เค้าจำหนูได้ด้วย เพราะตอนที่ยังไม่เจอกันหนูจะเป็นคนใส่ใจกับสถานะและพร่ำเพ้อมาก เลยเอาของที่เตรียมเอาไว้ไปให้ เป็นการ์ดจดหมายฉบับหนึ่ง


ตอนนั้นคิดในใจว่าถ้ามีการ์ดมากั้นเราจะเอาจดหมายฉบับนี้ไปฝากให้พี่ทีมงานเอาไปให้พี่ดิว เพราะหนูเองไม่เคยตามดารามาก่อน หนูเลยไม่รู้ว่าวงนี้จะเป็นกันเองขนาดนี้ กันเองจนเราสามารถเดินไปเจอได้เลย ตอนนั้นเขินมากเลยแล้วเราก็ยื่นการ์ดให้พี่เค้า จากนั้นพี่เค้าก็ชวยเรากับเพื่อนไปกินข้าว อารมณ์ตอนนั้นกรี๊ดมาก ลองคิดดูว่าถ้าเราปลื้มชอบใครสักคน นั่งกินด้วยเราก็เกร็ง จริงๆแล้วเขินมากแต่ทำว่าเราไม่เขิน มีช่วงแรกๆ ที่หนูปลื้มจนเพื่อนๆเริ่มเอียนกับวงนี้ไปเลย แต่หนูก็ชอบของหนู”

อาการปลื้มของเธอไม่ได้มีเพียงเท่านั้น การติดตามศิลปินจนกลายเป็นครอบครัวหนึ่งที่ชื่อว่า “ครอบครัวอากาศดี (Better Weather)” ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัว จนกลายเป็นพี่น้องที่สนิทกันมากคนหนึ่ง ทำให้ความรู้สึกการใกล้ชิดศิลปินไม่ได้ยากอย่างที่เธอคิดเอาไว้

“บ้าจนเคยคิดจะตัดผมทรงเดียวกับเค้า แต่แม่ขอเอาไว้ แม่บอกว่าถ้าตัดก็ไม่ต้องเรียกแม่ว่าแม่เลยนะ อยากตัดมาก เราก็ทำผมแล้วถ่ายรูปลงให้เพื่อนดู เพื่อนถึงกับตะลึงคิดว่าเราไปตัดมาแล้ว หนูเคนร้องเพลง อัดคลิป เต้นอยู่กลางสยาม อารมณ์ค้างไง เพราะเพิ่งไปดูคอนเสิร์ตมา แล้วเจอลูกค้าที่จ้างหนูในงานโฆษณา หนูลืมตัวก็ตะโกน สวัสดีค่ะ แล้วเต้นไปด้วย พอเดินมาได้สักพักก็คิดได้ เฮ้ย ลืมตัว เขาคงคิดว่าไอ้เด็กคนนี้มันบ้า”


การใช้ชีวิตส่วนตัวในแต่ละวันของอาย อาจจะขัดแย้งกับบุคลิกในการทำงานอย่างที่ใครหลายคนได้เห็น ในความรู้สึกส่วนตัวแล้วเมื่อทุกคนคิดว่างานแต่ละงานเหมาะสมสำหรับเธอ มันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดหรือไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่เมื่อวันหนึ่งที่ต้องเลือกให้เธอทิ้งความเป็นตัวเองเพื่อการทำงาน กลับเป็นเรื่องยาก เธอขอเพียงแค่ปรับให้แต่ไม่เปลี่ยนความเป็นตัวของตัวเองอย่างแน่นอน


สุขที่ได้ร้องเพลง

นอกจากงานในวงการบันเทิงที่กำลังมีคนติดต่อให้เธอได้แสดงความสามารถแล้ว สาวเซอร์ ติสต์ ยังมีวงดนตรีของตนเองที่ทำร่วมกับเพื่อนๆ อีกด้วย


“หนูมีวงดนตรีของตัวเองด้วยนะ ชื่อวง bubble breeze band ทุกคนเป็นผู้ชายดิบๆ กัน หมดเลย มีหนูเป็นผู้หญิงอยู่คนเดียว ที่เรามารวมตัวกันได้เพราะเขามาทาบทามเพื่อนหนู แต่แนวเพลงไปกันไม่ได้ เขาก็เลยเลือกหนู ตอนนี้หนูไม่ได้ซ้อมมาสามเดือนแล้ว จนคิดว่าเพื่อนๆ จะไล่หนูออกมั้ยนะ เพราะไม่มีเวลาไปซ้อมเลย จนเพื่อนโทรมาบอกว่าเขาแต่งเพลงเสร็จแล้ว ให้อายร้อง ได้ยินแล้วน้ำตาจะไหลคิดว่าเขาคงทิ้งหนูกันไปแล้วนะ”


“อายไม่ใช่คนร้องเพลงดี ไม่ได้ไปเรียนมาจากไหน ตอนแรกก็อยากคิดจะประกวดนะ แต่หนูไม่มีเวลามากขนาดนั้น แต่มีความสุขทุกครั้งที่อยู่ในห้องซ้อม มีความสุขที่ได้ทำ”


การทำงานในวงการบันเทิง แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่นาน ทว่าเธอมองว่าตนเองไม่ได้ชอบอยู่ในวงการบันเทิง หรือการเป็นดารา สิ่งที่ในวงการมีและทำให้เธอชอบคือการได้เจอะเจอผู้คน ได้ทำงานที่หลากหลาย ในความคิดเธอคิดว่าวงการบันเทิงก็คือการใส่หน้ากากเข้าหากัน


“หนูมายืนอยู่บนจุดนี้ ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดารานะ แต่หนูต้องมาอยู่ท่ามกลางสังคมที่รู้สึกว่ามันเฟก ถ้าเราเจอกองที่ดี เราก็มีความสุขก็โอเคนะ วงการบันเทิงก็เหมือนเป็นดาบสองคม ถ้าเราเหลิงไปมันก็ไม่ดี เงินมันหาได้แต่เราต้องคิดและดูแลตัวเองบ้าง”


“ถามว่าหนูใช้ชีวิตยังไง ก็ต้องบอกเลยนะค่ะว่าหนูไม่มีเพราะคิดว่ามันสามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ไม่มีอะไรที่ประจำใจ อย่างบางวันหนูเกิดท้อ ก็ต้องบอกตัวเองว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” บางครั้งเหมือนเรารู้สึกแย่มาก ก็ต้อง ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เมื่อวานเป็นเรื่องของอดีต เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ละวันของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ”






ประวัติส่วนตัว

ชื่อ กมลเนตร เรืองศรี
ชื่อเล่น อายอายส์
เกิด 8 เมษายน 2534 อายุ 19 ปี
การศึกษา โรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม
กำลังศึกษา เอกสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผลงาน - โฆษณากสิกรไทย ,โฆษณา AIS Serenade , MV นาฬิกา - บี พีระพัฒน์ , MV ยังไม่รู้ - Better Weather , MV เริ่มต้นอีกครั้งกับคำว่าลืม - อุ๋งอิ๋ง tempopo, ถ่ายแฟชั่นแบรนด์ muuya moya
 
ข่าวโดย  M-Lite / ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์

ภาพโดย  อดิศร  ฉาบสูงเนิน 








MV นาฬิกา บี-พีระพัฒน์


ดิว ศิลปินวง Better Weather ที่อายชื่นชอบที่สุด
มาดนักร้อง
กำลังโหลดความคิดเห็น