xs
xsm
sm
md
lg

"สตาร์บั๊ก" เส้นทางบันเทิงที่เข้มกว่ากาแฟ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สตาร์บั๊ก นักแสดงและครีเอทีฟรายการ สาระแน
ยุคนี้ใครก็อยากเป็นดารา สรรหาเวทีประกวด ความฝันของเยาวชนรุ่นใหม่ เกินครึ่งคืออยากเข้ามาในวงการบันเทิง อาจด้วยชื่อเสียงเงินทองที่คือภาพสวยงามที่ทำให้บรรดาคนหน้าตาดี มีความสามารถบางคน อยากเข้ามาลิ้มลอง แต่ก็มีอีกหลายคนที่เข้ามาโดยไม่พึ่งหน้าตา แต่มากับพรสวรรค์และโอกาสล้วนๆ เช่นเดียวกับ “สตาร์บั๊ก” พงศ์พิชญ์ ปรีชาบริสุทธิ์” หนึ่งในทีมงานรายการสาระแน ที่เขาฝากผลงานไว้ในภาพยนตร์เรื่องสาระแนห้าวเป้ง

มาวันนี้คนที่ไม่ใช่ดาราอย่างเขา กำลังมีผลงานภาพยนตร์อีก2 เรื่อง อย่าง “Who are You?..ใครในห้อง” และ “สาระแนสิบล้อ” จ่อคิวอยู่และทำให้เขาเป็นดาราไปแล้ว โดยที่เขาเองไม่ได้มีญาติหรือเส้นสายในกาแฟสตาร์บัคส์แต่อย่างใด และคงไม่ธรรมดานักที่วิลลี่-เปิ้ล-หอย เลือกเขามาทำหน้าที่ครีเอทีฟในรายการสาระแน

1. เส้นทางครีเอทีฟที่ไม่ตีบตัน

เส้นทางสายครีเอทีฟบันเทิงในรายการอำดาราของเขา อาจดูสวนทางกับสิ่งที่เขาได้ร่ำเรียนมา และ ด้วเลือดศิลปะเต็มตัวแต่ชะตาชีวิตพลิกผันเมื่อวันที่เข้าก้าวเข้ามาในทีมสาระแน

“ถ้าผมไม่ได้เข้ามาตรงนี้ อาชีพที่เหมาะก็คงอาชีพศิลปะ ก่อนที่จะมาสมัครงานที่นี่เตรียมพอร์ตโฟลิโอ เตรียมงานตั้งแต่ ปีหนึ่งถึงปี 5 ด้านประติมากรรม คิดว่าจะไปสมัครงานพวกสถาปัตยกรรม เขายังเปิดรับ คิดว่าไปด้านนั้น ผมชอบด้านศิลปะอยู่แล้ว แต่ใจอยากมาสมัครที่สาระแนก่อน ไม่คิดว่าจะได้ แต่พอได้ก็ดีใจครับ มาทำตรงนี้ก็ชอบนะ อย่างที่บอกว่ามันคือประสบการณ์ใหม่ๆ อันนี้ไม่เคยเห็นเลยนะ มันคืองานไอเดียที่ทำให้เราคิดต่อไอเดียไปทำอย่างอื่นได้”

“ก่อนเรียนศิลปะแม่ถามว่าเรียนแล้วไปเป็นอะไร ผมก็บอกตอนนั้นเด็กๆนะ วาดรูปไงแม่เป็นศิลปิน เขาพูดแต่ไม่บังคับนะ อยากเรียนอะไรก็เรียนได้เลย ผมมีน้องสาวคนหนึ่ง ห่างกันสองปี น้องจะแนวทางวิทยาศาสตร์มากกว่า มีส่วนคล้ายกันพอนั่งกันอยู่สองคนคุยเรื่องเดียวกันได้ตอนเด็กๆเคยต่อยกับน้องด้วย (หัวเราะ)”

“ตอนแรกแม่รู้ว่าจะมาทำที่สาระแน เขารับไม่ได้ เขาจะแนวห่วงว่างานมันเสี่ยงไปหรือเปล่า อันตรายไปเปล่า แต่ตอนนี้เขาโอเคไว้ใจผมมากขึ้น ลูกคนนี้พอจะดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องเป็นภาระใคร”

2. สุขด้วยงาน แต่ไม่ใช่สุขที่ได้แกล้งคนอื่น

สตาร์บั๊กเล่าว่า การที่เขาเดินเข้ามาในบริษัทลักษ์ ของวิลลี่-เปิ้ล-หอย เขาเหมือนต้องเรียนมหาวิทยาลัยชีวิตอีกครั้งหนึ่ง โดยเขายืนยันว่ารายการแนวนี้ไม่ได้มีวคามสุขบนความทุกข์คนอื่น แต่เพียงต้องการให้ได้เห็นอีกมุมของดาราที่สอดแทรกมุกตลกไปเท่านั้น

“ทำรายการตลกควรอารมณ์ดีใช่มั้ยครับ ไม่ควรมาซีเรียสกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่เก็บเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิดจนเกินไป อีกอย่างหนึ่งมันดีตรงที่ประสบการณ์ล้วนๆ เหมือนผมเข้ามาในมหาวิทยาลัยนับหนึ่งใหม่ คือมหาวิทยาลัยชีวิตที่ต้องทำงานแลกตังค์ มันก็สนุกดี”

“วีธีการทำงานไม่มีอะไรมาก อย่างแรกเลยโจทย์ว่าดาราคือใครมาทีหลัง หลังจากข้อมูล เสาะแสวงหาก่อน ว่าเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไรเซนสิทีฟในเรื่องไหน เวลาเห็นอะไรแล้วอย่างไร เหตุการณ์แต่ละอย่างเขาทำอะไร ก่อนรายการเขาบอกแล้วว่า รายการนี้จะทำให้เห็นตัวจริงของแขกรับเชิญ เราก็เลยจำลองสถานการณ์ให้แขกรับเชิญแล้วมาดูว่ามันเป็นจริงอย่างที่ได้ข้อมูลมาหรือเปล่า แล้วเราก็เอามุกตลกสอดแทรกไป”

“เรื่องโกรธไม่โกรธ เราพยายามจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาโกรธ ต้องมาประชุมกันว่าจะไม่ให้เขาโกรธนะ จะทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดใจหรืองงมากกว่า อาจจะโกรธไม่แรงมาก เราพยายามเบรกๆเอาไว้ บางคนบอกว่าต้องเขียนสคริปต์มานิดหนึ่ง มันปรุงแต่งตั้งแต่สคริปต์แล้ว แต่ไม่ได้มาปรุงแต่งตรงแขกรับเชิญ เรามีโอกาสแค่ครั้งเดียว จังหวะเดียว เพราะฉะนั้นการปล่อยคิว เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุด”


3. ไม่มีพื้นที่สำหรับคนอ่อนแอ ด้านการอำ

ความสนุกของบริษัทที่อำดาราอย่างพวกเขา นอกจากต้องเตรียมงาน ประชุมและออกกองแล้ว สตาร์บั๊กบอกว่าบางครั้งการอำก็เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันซึ่งเขาเองก็ไม่อาจคาดเดา รู้เพียงแต่ว่าไม่มีพื้นที่สำหรับคนอ่อนแอ แฉวิลลี่-หอย สุดฮา แซวเปิ้ล (มุก) ตายยาก

“ตลกทั้งสามคน พี่วิลลี่นี่ฮา พี่หอยก็ฮา พี่เปิ้ลก็ฮาเหมือนกัน แต่เห็นเขาเบลอๆแบบนั้นพี่เปิ้ลเขาป็นคนที่พลิ้วนะ ตายยาก เอาตัวรอดได้แถไปเรื่อย อย่างไรกูก็ไม่ผิด มีข้ออ้างตลอด (ยิ้ม) แต่อยากพูดอะไรกับพี่เปิ้ลก็พูดได้นะ

“กฏของที่นี่ก็ต้องมาทำงานตรงเวลาทุกวัน สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเข้าประชุม ต้องออกกอง หลังจากนั้นแล้ว ไม่ซีเรียสมากก็อยากให้ไปทำอย่างอื่น จะได้มีไอเดียมาทำงาน อย่างมาเล่นหนังเราก็ไปขอ ไม่ว่าอะไรจะบอกผู้ใหญ่ แต่ที่นี่อย่าได้เผลอ ไม่มีที่สำหรับคนอ่อนแอพี่ คนอ่อนแอจะโดนแกล้ง (หัวเราะ) ทุกวันนี้ใครพูดอะไรมา ยังไม่เชื่อซะทีเดียว นอกจากว่าเรื่องเป็นเรื่องตายถึงเชื่อ นอกนั้นต้องพิจารณาดีๆ (หัวเราะ)”

4. จากครีเอทีฟมาเป็นดารา

หลังจากเล่นหนังเรื่องสาระแนห้าวเป้งเจ้าตัวบอกว่ามีคนเข้ามาทักมากขึ้น และมีโอกาสได้เข้ามาในวงการบันเทิง เล่นหนังเรื่อง “Who are you?” ใคร..ในห้อง ของค่ายสหมงคลฟิล์มฯ โดยเขาเผยว่าวันที่มีกระบอกน้ำชื่อตัวเองครั้งแรกมันตื่นเต้นไม่น้อย

“บางคนที่จำได้เขาก็จะทักครับ ส่วนใหญ่มาทักว่า อ้าว! สตาร์บั๊กห้าวเป้งใช่มั้ย เราก็บอกใช่ครับ เมื่อก่อนเดินไปไหนมาไหนคนไม่มาทักเท่าไหร่ พอตอนนี้ก็แบบว่าไปไหนมาไหน คนมาชวนคุยเยอะ จากแต่ก่อนเราต้องไปชวนเขาคุยเสียมากกว่า ผมไม่คิดเลยว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องมาถ่ายหนังมาอยู่ในทีวี ผมคิดว่ามันเหมือนถูกหวย มันหมวดเดียวกันกับถูกหวยนะครับ อยู่ๆเราก็ได้มาถึงจุดนี้”

“วันที่มีกระบอกน้ำชื่อตัวเองในกองถ่าย เฮ้ยเรามีคนมาคอยเอาใจในกองถ่าย เวลากลับไปออฟฟิศผมต้องคอยหากระบอกน้ำให้คนในรายการ มันเหมือนกับว่าเห็นสองด้านในเวลาเดียวกัน ตัวเราก็เป็นเบื้องหลังด้วย เบื้องหน้าด้วย เวลาเป็นเบื้องหลัง พี่เขาใช้ยกของยกอะไรผมก็ทำหมด”

“ผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องโด่งดัง แถวหน้าของวงการ ไม่ได้ถนัดในด้านนั้น แต่ว่าพยายามทำงานให้มันดีที่สุด อย่างน้อยก็รับผิดชอบ รับปากแล้วก็ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่แบบว่าอารมณ์ศิลป์ๆ ผมเรียนศิลปะมาเขาก็ไม่ได้สอนแบบนั้น มาติสท์ไม่มีนะ ไม่มีใครสอน เวลามีคนมาบอกว่าพวกเรียนด้านนี้มาจะติสต์ก็จะมองว่าเขาไม่เข้าใจหรอก เพราะเขาไม่ได้เรียนมา เพราะว่าอารจารย์ไม่ใช่ให้ส่งงานตอนไหนก็ได้นะครับ ไม่ส่งก็คือตกเช่นกัน”

5. เกร็ง ตื่นเต้น เล่นไม่ออก

ครั้งแรกของการเป็นดาราหนังที่มีบทจริงจัง ก็ทำหนุ่มเบื้องหลังเกร็งไม่น้อย ยิ่งเมื่อเจอดาราระดับแถวหน้าอย่าง “สินจัย เปล่งพานิช” 7 เทก ยังถือว่าน้อยไปสำหรับ “สตาร์บั๊ก” เรียกว่า “เล่นจริง เกร็งจริง” เลยทีเดียว

"คราวที่แล้วที่ผมเล่นนี่มันไม่มีสคริปต์ ไม่มีบท ไม่ต้องคอยระแวงเรื่องมาร์กตรงจุด เดินตรงนี้ต้องพูดคำว่าอะไร ต้องมีจังหวะรับจังหวะส่ง แต่เรื่องนี้ มันต้องมาคิดแต่เรื่องนั้นเพียงอย่างเดียว เราก็ต้องคิดว่าเราจะมีคาแร็กเตอร์อย่างไร แล้วทุกอย่างมารวมกัน ให้มันเหมือนเป็นธรรมชาติที่สุด”

“7 เทก นี่คือผมพยายามแล้วไม่อยากให้มัน 7 เทก หรอก (หัวเราะ) เพราะว่าผมวอกแวกครับไม่มีสมาธิ มัวไปคิดรเรื่องอื่น เดี๋ยวเลิกเสร็จแล้วเราจะกลับบ้านอย่างไร เลิกดึกตอนเช้าขึ้นแท็กซี่ที่ไหน คิดไปเรื่อยเปื่อย ตอนนี้หิวข้าว กลัวจะเป็นโรคกระเพาะ มันคิดไปทั่วเลยนะฟุ้งจนลืมบท เล่นกับพี่นก สินจัย เขาแบบใจเย็นมาก ตอนแรกผมไม่รู้ว่าพี่นกเป็นอย่างไร มันทำให้ผมเกร็งไปเอง มารู้จริงๆพี่นกเขาก็ใจเย็นมากครับ สอนด้วยว่าต้องเล่นอย่างไร ผมก็กลัวว่าผมจะเป็นตัวถ่วงเขา”


ทำไมต้อง “สตาร์บั๊ก”

“ตอนเข้าปีหนึ่งที่ม.ศิลปากรคือประเพณีว่า ทุกคนต้องตั้งชื่อให้รุ่นน้องเพราะว่าเคยถามว่าทำไมต้องตั้งชื่อ เขาบอกว่าเข้าปีหนึ่งแล้วตั้งชื่อใหม่เนี่ยเหมือนการมาเริ่มใหม่หมด มันจะได้ไม่มีกำแพงเหมือนกดปุ่มสตาร์ทพร้อมกันเพราะรุ่นพี่บางคนไม่จบก็อาจต้องมาเรียนกับรุ่นน้อง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกาแฟสตาร์บัคส์เลย สตาร์บั๊กคือชื่อของกัปตันเรือคนหนึ่ง ล่าปลาวาฬ ตอนนั้นผมกล้ามเนื้ออักเสบแล้วกัปตันสตาร์บั๊กเขาขาขาด มีปัญหาทางขาเหมือนกัน เลยได้ชื่อนี้มาครับ”


แขกสาระแนฯที่ประทับใจ

“มีเทปของทศพล หิมพานต์ ยิงปืนในวัด เราไปขออนุญาตวัดแล้ววัดให้ ชาวบ้านควักปืนมา 100 กระบอก มันขัดแย้งกับกฎของวัดอยู่แล้ว หลวงพ่อไม่รู้ว่าปืนเยอะขนาดนั้น ตอบสนองตัวเองว่าเกิดมายังไม่เคยเห็นภาพนี้ ชาวบ้านมายิงกันในวัด แล้วมีโคโยตี้แข้งปืนกล เอาปืนใหญ่เข้ามาในวัด (หัวเราะ) ผมคิดว่าไ ปแกล้งใคร อย่างน้อยเรารู้สึกดีกับเขานะ ล้อเล่นนิดเดียวเอง มันต่างกับการที่เราไปทำร้ายเขานะ”


อยู่อย่างไรไม่ให้เครียด

“อย่างแรกคือเห็นเรื่องเครียดเป็นเรื่องตลก มันก็หายเครียดแล้ว แล้วเราก็ไม่ต้องไปอินกับมันมาก ถอยกลับมาดูปัญหาว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วค่อยแก้ปัญหา ผมไม่ใช่คนเครียด แต่ผมชอบคิด อย่างน้อยก็ทำให้คิดเรื่องที่เกิดจากตัวเองไม่ได้ไปคิดเรื่องของคนอื่นที่มีผลกับตัวเองหรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน”

ข่าวโดย ทีมงาน M-Lite
ภาพโดย ธนารักษ์ คุณทน


ทีมงานสาระแน
สตาร์บั๊ก-หลังเลนส์ เพื่อนซี้ที่ทำงานด้วยกันทั้งในและนอกจอ
เทปรายการที่ ทศพล หิมพานต์ มาออก คือเทปประทับใจของ สตาร์บั๊ก
กำลังโหลดความคิดเห็น