เมื่อเอ่ยถึงชื่อ “ครูอุ๊ นิศากานต์ จาดบัณฑิต” อาจเป็นที่คุ้นหูในฐานะครูฝึกสุนัขมือหนึ่งคนหนึ่งของไทย ผู้ดูแลสโมสรกีฬาสุนัขและมีผลงานดันสุนัขเป็นดารามาแล้ว วันนี้เราจะมาคุยกันว่าเธอปั้นสุนัขเป็นดาวได้อย่างไร
นักเรียนของครูอุ๊
ครูอุ๊เริ่มต้นจากการเลี้ยงสุนัขเองก่อน ซึ่งนอกจากความผูกพันแล้วยังได้สังเกตด้วยว่าสุนัขแต่ละตัวมีความแสนรู้อยู่ในตัว เหมือนเป็นความสามารถพิเศษ จึงมีความสนใจและเริ่มศึกษาวิธีการฝึก จิตวิทยาสุนัขอย่างจริงจัง โดยเริ่มฝึกจากสุนัขที่ตนเองเลี้ยงก่อนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว
“วิธีการฝึกสุนัขมีหลายรูปแบบทั้งการฝึกแบบจูงใจ หรือการฝึกแบบควบคุมบังคับสุนัข ซึ่งการฝึกแต่ละแบบก็จะเหมาะกับสุนัขแต่ละตัวไม่เหมือนกัน แล้วแต่นิสัยและพฤติกรรมของสุนัข ซึ่งก็ต้องมีการคุยกับเจ้าของ และประเมินพฤติกรรม ความสามารถของแต่ละตัวแล้วปรับวิธีการฝึกสอนให้เหมาะสม”
ครูอุ๊บอกว่าช่วงอายุที่สามารถฝึกได้และดีต่อการฝึกคือลูกสุนัขอายุราว 4 เดือน เนื่องจากอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น และเรียนรู้ได้เร็ว บางครั้งเจ้าของจะนำสุนัขที่อายุมากแล้วมาฝึก เปรียบเหมือนกับไม้แก่ที่ดัดยาก
กรณีดังกล่าวอาจต้องใช้เวลาในการฝึกนานกว่าปกติ และบางกรณีอาจไม่สามารถรับรองได้ว่าจะสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ 100% เพราะหากสุนัข “นิสัยเสีย” มาก่อนแล้ว คือการที่ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์แต่เป็นติดลบ จึงต้องใช้เวลาในการปรับให้ขึ้นมาเป็นศูนย์ก่อนจะปรับขึ้นไปเป็นบวกได้
เจ้าของต้องเรียนด้วย
การฝึกสุนัขให้สำเร็จได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวสุนัขอย่างเดียว แต่ขึ้นกับเจ้าของด้วย กล่าวคือเจ้าของจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมอันอาจเป็นสาเหตุให้เกิดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมในการเลี้ยงดู ที่ต้องให้เวลาแก่สัตว์เลี้ยงมากขึ้นด้วย
“ก่อนจะฝึกก็จะคุยกันก่อนว่า เจ้าของต้องปรับเปลี่ยนอะไรด้วยคือเหมือนฝึกเจ้าของไปด้วยเลย(หัวเราะ) อย่างการแสดงอารมณ์ความรู้สึกให้ถูกต้อง ถ้าโกรธจะพูดเสียงนุ่มๆ คงไม่ได้ สุนัขไม่สามารถแปลภาษาคนได้ น้ำเสียงสีหน้าอารมณ์คือสิ่งที่สุนัขรับรู้ได้ว่าทำแล้วเห็นเจ้าของมีความสุขคือดี เรียนรู้ที่จะทำอีก หรือหากทำแล้วเจ้าของไม่ชอบก็จะไม่ทำอีก รับรู้ได้เพียงควรหรือไม่ควรเท่านั้น นอกจากนี้เจ้าของต้องมีเวลาให้ หมั่นทบทวนคำสั่งต่างๆ อยู่เสมอ”
ปัจจัยการฝึกสอนน้องหมา
การฝึกสอนสุนัขแต่ละตัว แต่ละสายพันธุ์มีความยากง่ายต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ไอคิวของสุนัข ซึ่งมีแบบทดสอบความสามารถในการเรียนรู้ของแต่ละสายพันธุ์ในระยะเวลาที่เท่ากัน หากมีไอคิวสูงก็จะฝึกสอนได้ง่าย โดยการจัดอันดับสากล สายพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดคือบอเดอร์ คอลลี่ สุนัขต้อนแกะ รองลงมาคือพุดเดิล เยอรมันเชฟเพิร์ด โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ และลาบราดอร์ ลดหลั่นลงมาเรื่อยๆ
ปัจจัยต่อมาคือเรื่องของอายุ อย่างที่ได้กล่าวไว้คือ “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก” รวมไปถึงเรื่องของเพศ โดยที่สุนัขเพศผู้จะสอนได้ยากกว่าสุนัขเพศเมีย เนื่องจากมีความก้าวร้าวในตัวมากกว่าทุกสายพันธุ์ ดังนั้น หากใครอยากได้สุนัขเรียบร้อยก็ควรเลือกตัวเมีย แต่หากต้องการสุนัขทำงาน เฝ้าบ้าน ก็ควรจะเป็นเพศผู้ ซึ่งก็ต้องเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะสมด้วย เช่น เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็ไม่ควรเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก หรือพันธุ์ที่มีนิสัยขี้เล่นเป็นมิตร
สุดท้ายคือขึ้นอยู่กับพฤติกรรมเดิมของสุนัข แม้ว่าสุนัขจะฉลาดเพียงใดแต่หากมีการสะสมพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์มาก่อนแล้ว บางกรณีที่เจ้าของไม่เข้าใจสิ่งที่สุนัขต้องการสื่อสาร อย่างการเห่าเพื่อเรียกเจ้าของ ติดไปนานๆ จะเกิดอาการเห่าพร่ำเพรื่อจนเป็นปัญหาระหว่างเพื่อนบ้านได้
ค้นฟ้าคว้าหมามาเป็นดาว
นอกจากการฝึกขั้นพื้นฐานทั่วไปแล้ว ครูอุ๊ยังสามารถยกระดับการฝึกสุนัขของไทยสู่อีกขั้นหนึ่งคือการ “ปั้นสุนัขเป็นดารา” นั่นเอง
“การฝึกสุนัขแบบให้เป็นดาราคือเกิดจากการที่เราฝึกปกตินี่แหละ แต่สุนัขบางตัวจะสามารถแสดงพฤติกรรมที่เรียกว่าความสามารถพิเศษออกมา เหมือนเปล่งรัศมีของความเป็นสตาร์ออกมาเลย เป็นไปได้ทั้งสุนัขที่มาเรียนหรือสุนัขที่ครูไปเจอแล้วเลือกมาฝึก ซึ่งหากเป็นการเลือกมาก็ต้องดูกระแสด้วยว่าพันธุ์ไหนกำลังฮอต”
สำหรับสุนัขที่กำลังเป็นที่นิยมขณะนี้จะเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก หรือที่กำลังมาแรงมากคือสุนัขพันธุ์ไทยแบบพันธุ์ทาง ที่แต่ละตัวจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่สามารถหาแบบซ้ำๆ กันมาได้
ครูอุ๊เล่าว่าจะต้องมีการฝึกสอนการแสดงให้สุนัขด้วย โดยแต่ละตัวจะต้องมีพื้นฐานการแสดงอยู่แล้วอย่างอารมณ์ต่างๆ ให้เข้ากับฉากที่เข้าแสดงทั้งสนุกสนานร่าเริง เศร้า กลัว ซึ่งการฝึกสอนหรือบิวต์อารมณ์ของสุนัขก่อนเข้าฉากจะต้องอาศัยความผูกพันระหว่างสุนัขกับผู้ฝึก โดยเริ่มจากตัวของผู้ฝึกก่อนหากทำท่าทางซึมเศร้า น้ำเสียงนิ่งเรียบ สุนัขก็จะสามารถสัมผัสและอินไปกับอารมณ์นั้นได้
“ตอนนี้ครูก็มีนักเรียนหรือเรียกว่าเป็นเด็กในสังกัดประมาณ 30 กว่าตัว เป็นสุนัขที่ฝึกพร้อมไว้แล้วหลากหลายสายพันธุ์ ตามแต่ว่าเขาจะต้องการดาราสุนัขคาแร็กเตอร์แบบไหน ซึ่งหากเป็นการแสดงละครหรือภาพยนตร์เขาจะต้องส่งบทมาก่อนอยู่แล้ว ครูก็จะคัดเลือกตามคุณสมบัติของสุนัขที่มี หรือติดต่อเจ้าของสุนัขที่เป็นนักเรียนอยู่แบบดันดาราเลย”
ทำงานแลกเงิน
สุนัขที่เป็นดารานอกจากฝึกเรื่องการแสดงแล้ว จำเป็นต้องฝึกเรื่องการเข้าสังคม เนื่องจากการไปเข้ากองถ่ายจะมีความวุ่นวายในการทำงาน คนเดินไปมา ทั้งตากล้อง ช่างไฟ แผนกเสื้อผ้า ดาราคน รวมทั้งอุปกรณ์แสงสีหรือเสียงดัง หากสุนัขไม่รู้จักการปรับตัวก็จะเป็นปัญหาและไม่สามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้
เช่นเดียวกับคน สุนัขก็ทำงานแลกเงินเหมือนกัน โดยค่าตัวจะขึ้นอยู่กับประเภทของงาน ตั้งแต่ถ่ายภาพนิ่งแบบพรีเซ็นเตอร์ ลงหนังสือหรือจะถ่ายละคร ภาพยนตร์ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความยากง่ายของงานนั้นๆ ด้วย ทำให้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจน มีหลายระดับทั้งหลักหมื่นจนถึงหลักแสนก็มี แต่บางครั้งที่ไปออกรายการที่ให้ความรู้หรือเป็นงานการกุศลต่างๆ ก็จะไม่มีการคิดค่าตัวแต่เป็นการทำบุญ
สำหรับเจ้าของสุนัขดาราเหล่านี้ ครูสาวเล่าว่าเท่าที่ได้รู้จักมาเจ้าของจะเลี้ยงสุนัขเหมือนเป็นลูกคนหนึ่ง เมื่อวันหนึ่งลูกได้เข้าวงการ เป็นดารา เป็นที่รู้จัก เจ้าของก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ
“เขาจะภูมิใจว่าลูกเราเก่ง อีกอย่างคือเหมือนเป็นการหาค่าขนมมาช่วยเจ้าของด้วย บางตัวคือสามารถทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้เลย รวมทั้งเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่สุนัขได้เจอสังคมหรือเจอเพื่อนสุนัขหน้าใหม่ๆ”
เมื่อดาราเข้ากองถ่าย
นอกจากนี้เธอยังบอกว่า การเป็นสุนัขดาราก็มีอุปสรรคในการทำงานเหมือนกัน สิ่งที่เป็นอุปสรรคมากที่สุดคือปัญหาเรื่องดินฟ้าอากาศ ซึ่งคนที่จะมาทำงานกับสุนัขต้องมีความเข้าใจว่าสุนัขก็คือสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างบอบบาง และเข้าใจธรรมชาติของสุนัขด้วย
“สุนัขแต่ละตัวมีลิมิตไม่เท่ากัน เช่นสุนัขบางพันธุ์ที่มีลักษณะทางกายภาพเฉพาะอย่างพันธุ์บูลด็อกที่มีโพรงจมูกสั้น ตัวใหญ่วิ่งได้ไม่นานก็จะหอบ ยิ่งเมืองไทยอากาศร้อนด้วย จึงต้องเตรียมพัดลม น้ำแข็ง ให้เขาได้พัก แต่ถ้าหากเป็นพันธุ์ไทยมาแสดงก็จะสบายกว่า เพราะชินกับสภาพอากาศอยู่แล้ว นานกว่าจะเหนื่อย ต้องมีการจัดคิวอย่างดี เพราะสุนัขไม่สามารถลุยถ่ายต่อเนื่องเหมือนอย่างคน และต้องการการดูแลมากกว่า รวมทั้งบางครั้งที่สิ่งแวดล้อมจอแจก็อาจทำให้สุนัขเสียสมาธิได้เหมือนกัน”
ทุกครั้งที่มีการไปถ่ายทำ ครูอุ๊ก็จะเดินทางไปดูแลทุกครั้ง ทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้จัดการส่วนตัวที่ต้องคอยสังเกตอาการ ดูแล ให้เวลาพัก และจัดคิวแสดงตามความพร้อมของตัวสุนัขเอง
“ก่อนที่ครูจะรับงาน ก็จะมีการคุยและตกลงกันก่อนว่าจะไปถ่ายที่ไหน เวลาไหน หากเป็นการถ่ายในร่มก็ไม่มีปัญหาไปถ่ายได้เลย แต่ถ้าเป็นข้างนอกก็ต้องคุยว่าทีมงานจะต้องเตรียมอะไร คือมันเป็นความชำนาญเฉพาะที่เราจะต้องเข้าใจว่าอาจจะเกิดปัญหาอะไรกับตัวสุนัขบ้าง ก็ต้องพยายามป้องกันให้เกิดปัญหาน้อยที่สุด และทำงานได้อย่างราบรื่นที่สุด”
ปูทางก้าวสู่สุนัขดารา
หากใครอยากให้น้องหมาที่บ้านเป็นดาราบ้าง สิ่งที่เจ้าของต้องทำคือ ในแง่ของกายภาพ การดูแลและบำรุงให้สุนัขมีสุขภาพทั้งขน หุ่น กล้ามเนื้อ ผิวถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับดาราคนที่ต้องรักษาหุ่นให้สวย หน้าตาสดใส ให้สมบูรณ์อยู่เสมอ จึงต้องดูแลเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การอาบน้ำแปรงขนและมีเวลาให้เพื่อสร้างสุขภาพจิตที่ดี
นอกจากนี้ยังต้องสังเกตด้วยว่า สุนัขมีความสามารถในการแสดงออกอย่างไร เรียนรู้ได้เร็วไหม สุดท้ายคือต้องรู้จักค้นหาหรือป้อนสิ่งใหม่แก่สุนัขเสมอๆ เหมือนเป็นการพัฒนาความสามารถไปสู่ขั้นที่สูงกว่าได้เรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่เพื่อก้าวสู่ความเป็นซูเปอร์สตาร์นั่นเอง
ภาพโดย...พลภัทร วรรณดี
ข่าวจากทีมงาน M-Lite