ศูนย์ข่าวขอนแก่น- ตำรวจชุดสืบสวนภาค 4 รวบ 2 โจรชาวอินโดนีเซีย เช่ารถจากเต็นท์ในกรุงเทพฯ ตระเวน ลักทรัพย์เหยื่อในอีสาน ตำรวจแกะรอยจากวงจรปิดธนาคาร หลังคนร้ายติดตามเหยื่อครูสาวที่มาเบิกเงินสด 2.5 แสนบาท ตามถึงลานจอดรถโรงเรียน เหยื่อลืมกระเป๋าในรถ สบโอกาสทุบกระจก ฉกเงินหนีไปแลกเป็นเงินดอลล่าร์ที่อุดรธานี ใช้เที่ยวเตร่ จนมุมถูกจับได้ที่จังหวัดศรีสะเกษ
เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น.วันนี้ (5 พ.ย.) พล.ต.ต.จตุพล ปานรักษา ผบก.ส.ส.ภ.4 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ยรรยง เวชโอสถ ผกก.กลุ่มงานสืบสวน 1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์สืบสวนสอบสวนภาค 4 ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย คือ นายมูฮัมหมัด โตฮา อายุ 42 ปี และนายการาง บาเตน อายุ 29 ปี ชาวสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ โดยทำลายสิ่งกีดกั้นของทรัพย์
พล.ต.ต.จตุพล เปิดเผยถึงพฤติการณ์ก่อเหตุของชาวอินโดนีเซียทั้ง 2 รายนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2552 เวลาประมาณ 11.00 น.เศษ มีคนร้ายเข้าทุบรถรถเก๋งยี่ห้อนิสสัน ซันนี่ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน กท 9244 ขอนแก่น และลักเอาทรัพย์สินพร้อมเงินสดรวม 256,000 บาท ของนางวิชุดา โชคภูเขียว อายุ 33 ปี ครูโรงเรียนศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 9 จังหวัดขอนแก่น โดยผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตนขับรถเก๋งคันดังกล่าวไปจอดที่ลานจอดรถในธนาคารกรุงไทย สาขาประตูเมือง ถนนศรีจันทร์ แล้วเข้าไปในธนาคารถอนเงินสดจำนวน 256,000 บาทออกมา
ซึ่งเป็นเงินที่ตนกู้ตามสิทธิข้าราชการเพื่อจะนำไปชำระค่าเล่าเรียนระดับปริญญาโท 2 แห่ง โดยหลังเบิกเงินยังไม่ได้นำไปฝากต่อที่ธนาคารที่ตนมีบัญชีเงินฝาก เนื่องจากต้องรีบกลับมาที่ทำงาน คือที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ ตั้งอยู่ถนนมิตรภาพ โดยจอดรถติดกับห้องครัวของโรงเรียน
ผ่านไปเกือบ 30 นาที จึงนึกขึ้นได้ว่าตนลืมกระเป๋าสะพายที่บรรจุเงิน กว่า 2 แสน 5 หมื่นบาทไว้ พร้อมโทรศัพท์มือถือ จึงรีบลงมาที่รถ แต่พบว่ากระจกรถยนต์เก๋งด้านหลังคนขับถูกทุบพังแตกละเอียดทั้งบาน ตรวจสอบดูพบว่ากระเป๋าที่เก็บเงินสดที่เพิ่งถอนเงินจากธนาคารถูกคนร้ายโจรกรรมหนีไปแล้ว โดยระหว่างทางครูที่นักรถมาด้วยสังเกตเห็นว่ามีรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้าวีออส สีเทา ขับตามมา แต่ไม่ได้ติดใจสงสัย
หลังรับแจ้งความแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ติดต่อขอดูวงจรปิดของทางธนาคารเพื่อติดตามสืบหาร่องรอยคนร้าย โดยการแกะรอยจากภาพวงจรปิดและแฟ้มประวะติการก่อเหตุพฤติการณ์ลักษณะเดียวกัน จนสืบทราบว่า คนร้ายน่าจะเป็นชาวอินโดนีเซีย จึงสิบสวนทางลับต่อ จนได้เบาะแสว่าคนร้ายได้ไปแลกเงินสดไทยเป็นแบงก์ดอลล่าร์ ที่จังหวัดอุดรธานี จากนั้นจึงเดินทางต่อไปจังหวัดศรีสะเกษ
เมื่อสืบสวนจนแน่ใจว่าชาวอินโดนีเซียทั้งสองคนน่าจะเป็นผู้ต้องหา จึงได้ติดตามจับกุมขณะผู้ต้องหาเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่จังหวัดศรีสะเกษ
โดยผู้ต้องหาพูดภาษามลายู เจ้าหน้าที่ต้องใช้ล่ามแปล ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้ลงมือก่อเหตุจริง โดยอ้างว่าเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยโดยเข้ามาทางปีนัง ผ่านด่านประดังเบซา แล้วเดินทางจากอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เข้าไปติดต่อเช่ารถยนต์เก๋งยี่ห้อวีออส ทะเบียน ศช 8082 กรุงเทพมหานคร เป็นรถก่อเหตุ
โดยขับรถมาที่อีสาน ตามแผนที่ประเทศไทยที่ซื้อมา เมื่อมาถึงจังหวัดขอนแก่นเห็นว่าเงินที่มีหมด จึงตัดสินใจลักทรัพย์โดยเข้าไปหาเหยื่อที่ธนาคาร เพื่อสังเกตการณ์เบิกเงินของเหยื่อ และขับรถตามเพื่อลักทรัพย์ และหลบหนีไปจังหวัดอื่น
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย น่าจะก่อเหตุเช่นนี้มาแล้วหลายพื้นที่ ทั้งในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเช่ารถมาจากที่นั่นและตามจังหวัดต่างๆ ที่ขับรถไป ซึ่งผู้เสียหายรายใดที่ถูกลักทรัพย์ลักษณะคล้ายกันนี้ หากสงสัยสามารถติดต่อขอดูตัวผู้ต้องหาได้ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนภาค 4 ได้
ด้าน นางวิชุดา ผู้เสียหาย กล่าวว่า รู้สึกดีใจและขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ อยากให้คดีของตนได้เป็นอุทาหรณ์เตือนภัยให้กับประชาชนทุกคน กรณีต้องเบิกเงินสดจากธนาคารให้มีความระมัดระวังให้มากที่สุด
อีกทั้งอยากเห็นความรับผิดชอบของทางธนาคารต่อการทำธุรกรรมของประชาชน ซึ่งควรมีการตักเตือนและแนะนำให้ผู้มาใช้บริการได้รับความปลอดภัยให้มากที่สุดทุกครั้งที่ต้องถอนเงินสดจากธนาคารจำนวนมาก เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพเข้ามาแอบแฝงก่อเหตุจากการวนเวียนมาเฝ้าสังเกตจากในธนาคารได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ขณะเดียวกัน เห็นว่า วงจรปิดมีความสำคัญมาก จึงอยากให้ทางราชการเพิ่มปริมาณวงจรปิดในสถานที่สำคัญ ตลอดจนบนถนนสายต่างๆ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินมากยิ่งขึ้น
