เอะอะๆ อะไรก็เกาหลีไปหมดแล้ว สำหรับสังคมไทยในวันนี้ มองไปทางไหนก็ยิ่งหาความเป็นไทยยากขึ้นทุกที
เริ่มจุดกระแสตั้งแต่ซีรีส์เกาหลีเรื่อง Full House และแดจังกึมที่กระชากใจคอละครทั่วฟ้าเมืองไทย ทั้งอาหารการกินหรือในวงการแฟชั่นที่ฮิตติดตลาด พ่อค้าแม่ขายต่างพากันตัดเย็บ สั่งซื้อเสื้อผ้าที่ละม้ายคล้ายคลึงแบบที่ดาราเกาหลีใส่ (แต่เมดอินไทยแลนด์) โดยแปะรูปดาราจากฉากตอนในซีรีส์หรือมิวสิกวิดีโอที่ใส่ชุดเดียวกันกำกับไว้
รวมทั้งเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีอย่าง BB, Etudeหรือ Skin foodยิ่งในวงการศัลยกรรมยิ่งฮือฮาดาราไทยแห่กันไปทำผลออกมาโดนบ้างไม่โดนบ้าง และอีกหลายๆ วงการที่ล้วนผันแปรไปตามกระแสอย่างตื่นตัว
ไม่เว้นแม้แต่วงการเพลงไทยที่พยายามสรรสร้าง (ไม่ใช่สร้างสรรค์) อินเทรนด์กับเขาด้วย หลังจากนักร้อง เต้นแสดงแบบเดิมๆ เริ่มกระตุ้นตัวเลขในตลาดไม่เร็วทันใจ ซึ่งในไทยไม่ได้เพิ่งเริ่มจากกระแสเกาหลีเท่านั้น เป็นมาตั้งแต่เทรนด์ญี่ปุ่น อย่างฟิล์ม-รัฐภูมิ หรือ2หนุ่มกอล์ฟ-ไมค์ที่กระชากใจทั้งสาวไทยสาวยุ่น แต่ก็เริ่มซาๆ ลงไปเมื่ออิทธิพลเกาหลีเข้ามากลบจนมิด
สร้างสรรค์หรือแค่สรรหามาสร้าง
จากวันนั้นถึงวันนี้ดูเหมือนคนไทยจะสูญเสียตัวตน พยายามกลายเป็นชนชาติผสมด้วยความเชื่อว่าทันสมัย วงการเพลงไทยไม่น้อยหน้าใคร โดยเฉพาะค่าย RS ที่ดูเหมือนจะยังติดใจในกลิ่นอายเกาหลี
หลังจากถอยวงคัฟเวอร์เกาหลีสุดแรงอย่าง Wonder Gay ที่ก๊อบวงเกิร์ลแก๊งอย่าง Wonder Girl มาทุกกระเบียดนิ้ว ต่างกันก็แต่เพศของสมาชิกวงเท่านั้น ซึ่งก็เรียกได้ทั้งเสียงเฮ เสียงโห่ จนสุดท้ายเหลือทิ้งไว้เพียงตำนานในยูทิวบ์ หรือวงอื่นๆ ที่ได้อิทธิพลมาเต็มๆ อย่าง K-otic หรือ Seven day ค่าย Kamikaze ด้วยกลิ่นอายเกาหลีคละคลุ้งกับข่าวก๊อบปี้หรือจะเรียกว่า 'จงใจให้เหมือน' ทั้งภาพลักษณ์และ MV เป็นระยะๆ
ครั้งนี้ค่าย Mono Music ได้คลอดน้องใหม่อย่าง “Candy Mafia” วงแดนซ์ 4 สาวสไตล์เกาหลี 98% เพราะคนร้องและเนื้อเพลงเป็นสัญชาติไทย อดีตวงเต้นคัฟเวอร์เกาหลีวง 4 Minute (เดิมมี 5 คนเหมือน4 Minute แต่ลุคใหม่เหลือแค่ 4 คนเหมือน 2NE1) เปิดตัวด้วยเสื้อผ้าหน้าผมเกาหลีจ๋า กับ MVเปิดตัวที่ทำให้ถูกขนานนามว่าเป็น 2NE1 of Thailand ก็กระตุ้นให้คนไทยหลายชีวิตหันมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างถล่มทลาย
ในเวทีความคิดเห็นใหญ่ยักษ์ในโลกไซเบอร์ www.pantip.com ก็คึกคักตั้งแต่ Candy Mafia แค่เริ่มปฏิสนธิออกมาเป็น Teaser หลายกระทู้ก็ร้อนฉ่าด้วยฝีปากมือพิมพ์อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยว่าวงไทยก๊อบปี้เกาหลีอีกแล้วหรือ?
อันดับแรกคือคนส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยว่า Candy Mafia ก๊อบปี้วง 2NE1 เพราะเกาหลีเองก็ก๊อบปี้ตะวันตกมาดัดแปลงเหมือนกัน งานเพลงลักษณะนี้จึงไม่ได้เป็นลิขสิทธิ์ผูกขาดเฉพาะของเกาหลี รวมทั้งมองว่ามันคือกระแสแฟชั่น และอยากให้คนไทยเปิดใจให้กว้าง ให้โอกาสกลุ่มเยาวชนที่มีความสามารถ
แต่อีกส่วนหนึ่งที่รักษ์ในความเป็นไทยก็มองว่า ‘ไทยมีดีทำไมไม่เอามาโชว์’ หรือ ‘จงใจ’ ทำให้เหมือนเกินไปชนิดที่ไม่มีอะไรเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่บางส่วนที่ยังชื่นชมในความสามารถของสาวๆ ก็รุมประณามโปรดิวเซอร์ที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์พอ สักแต่ว่าให้เป็นเกาหลี ไม่หาหนทางที่แตกต่าง แม้จะเป็นเพลงแนวเดียวกันก็ตาม
วัฒนธรรมอ่อนแอ
เช่นเดียวกันกับคุณเจนภพ จบกระบวนวรรณ ผู้เห็นคุณค่าและรักในวัฒนธรรมไทยอย่างแรงกล้า ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับกระแสการถูกกลืนกินทางวัฒนธรรมว่าไม่ใช่ความผิดของเยาวชน
“วัฒนธรรมไทยของเรา เราเป็นวัฒนธรรมอ่อน และการที่ประเทศไทยเปิดรับวัฒนธรรมอย่างที่ไม่มีการกลั่นกรองอะไรเลย ซึ่งเราไม่ได้เป็นแค่ตอนนี้ เป็นมานานแล้ว ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เมืองไทยของเราก็พร้อมที่จะรับวัฒนธรรมของทุกๆ แหล่ง ทั้งยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี ทุกรูปแบบ เราพร้อมที่จะรับ แต่ไม่พร้อมที่จะนำเอาวัฒนธรรมดีๆ ที่แข็งแรงของเราออกไปเผยแพร่”
คนส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดว่าวัฒนธรรมไทยคือการระบำรำฟ้อน เป็นความเข้าใจผิดของผู้หลักผู้ใหญ่เมืองไทย ดังนั้นทุกครั้งที่มีการจัดโครงการเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรม ซึ่งสังเกตได้ว่าจะนำนาฏศิลป์ไปอย่างเดียว แต่โดยหลักแล้วไม่ใช่อย่างนั้น
วัฒนธรรมจริงๆ แล้วคือวิถีชีวิต คือทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้องเกี่ยวกับลมหายใจ 24 ชม. ล้วนเป็นวัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมภาษา ในโลกนี้มีไม่กี่ประเทศที่มีภาษาพูด ภาษาเขียนเป็นของตัวเอง ไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลก แต่ทุกวันนี้ภาษาไทยในแผ่นดินไทยเองยังไม่แข็งแรง จึงยังไม่เคยได้นำภาษาที่สวยไพเราะของไทยไปเผยแพร่ที่ไหนในโลกเลย
ยุทธการล้างสมอง
เรื่องอิทธิพลของวัฒนธรรมเกาหลีที่ครอบงำอยู่ทุกวันนี้ คุณเจนภพตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ‘มันมากับสื่อ’ จวบกับความไม่แข็งแรงของไทย ที่ไม่เคยปลูกฝังทางวัฒนธรรมตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยมีวิชาวัฒนธรรม ไม่มีการเรียนอย่างจริงจัง อีกทั้งปัจจุบันยังถูกยกเลิกกลายเป็นวิชาทางเลือก
“ตราบใดที่สังคมไทยยังล้มเหลวทางการศึกษา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นคนไทยเรามีสภาพไม่ต่างจากจิ้งจก มีอะไรเข้ามาข้าพเจ้าเปลี่ยนตัวเองไปเป็นอย่างนั้นหมด โดยลืมรากเหง้าว่า ที่แท้เรามีอะไร ใครแต่งตัวไทย พูดไทยชัด อะไรที่เป็นไทยเป็นของเชย โง่เง่าเต่าตุ่น เด็กสมัยใหม่ถ้าทำหน้าทำผมเป็นเกาหลีก็แลดูเหมือนทันสมัย เป็นเรื่องของเปลือกนอกหมด เราไม่เคยรู้แก่นแท้อะไรเลย”
Thai Dance สูญหาย
ส่วนกรณีการคัดลอกรูปแบบในวงการดนตรี ทั้งแฟชั่น ท่าเต้น แนวเพลงจนไม่เหลือกลิ่นอาย ความสามารถที่แท้จริงของคนไทยนั้น ผู้รักษ์วัฒนธรรมไทยผู้นี้มองว่า การก๊อบปี้มีมานานแล้ว สาเหตุหลักมาจากการศึกษา เพราะไม่มีการปลูกฝังเยาวชนให้รู้จักเรียนรู้วัฒนธรรมไทยตั้งแต่ยังเล็ก
พร้อมกับบอกว่า หากมีวิชา ‘Thai Dance’ มีการปลูกฝังมาตั้งแต่อนุบาล การโยกลีลาท่าทางการเต้นทุกวันนี้ก็จะมีความเป็นไทย แต่วิชาไทยๆ เหล่านี้กลายเป็นวิชาเลือกหรือที่ตนให้คำว่า ‘วิชาเสียไม่ได้ที่จะไม่เรียน’ เมื่อไม่มีในจุดนี้ การเปิดรับวัฒนธรรมเกาหลีผ่านสื่อหลากหลายแขนง ก็เกิดอาการคลั่งไคล้
“เรื่องนี้โทษใครไม่ได้เลยครับ โทษผู้ใหญ่บ้านนี้เมืองนี้ ที่ไม่เข้าใจรากแท้ของวัฒนธรรมที่แท้จริง ถ้าผู้ใหญ่ยังไม่มีวัฒนธรรม อย่าโทษเด็ก การที่เราเห็นเด็กเป็นเกาหลีกันมากมาย นั่นคือกระจกเงาของเด็กได้สะท้อนให้ผู้ใหญ่เห็นแล้วว่าคุณนั่นแหละล้มเหลว”
รับทุกอย่างรุกไม่เป็น
ส่วนในแง่มุมของการเปิดรับวัฒนธรรมเข้ามา และนำไปใช้อย่างไรให้ถูกต้องพอดี คุณเจนภพมองว่า คำว่าพอดีเป็นเอกสิทธิ์ส่วนตัว ไม่สามารถตอบได้ว่าอะไรพอดี เกินไป หย่อนไป แต่ละบุคคลควรจะมีวิจารณญาณของตัวเองว่าเอาแค่ไหน
ทุกวันนี้ที่ดูเกาหลีเกินพอดี เกิดจากการที่ไทยเปิดรับเข้ามามาก โดยที่เป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียว ไม่มีการรุก อะไรเข้ามาก็รับหมด เมื่อรับมาแล้วก็ไม่มีใครมาชี้แนะ วิจัยให้เห็นว่าส่วนไหนดีควรเปิดรับมาก ส่วนไหนไม่ดีไม่ควรรับเข้ามา กล่าวคือ การกลั่นกรองทางวัฒนธรรมโดยในไทยคือ ‘กลุ่มเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม’ ขึ้นต่อกระทรวงวัฒนธรรม
“ตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่าหน่วยเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมเขาเข้าใจอะไรไหมว่าอะไรได้อะไรไม่ได้ คือบางอย่างถ้าไปขีดกรอบอะไรก็ไม่ได้ๆ ก็เหมือนเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ เมืองไทยยิ่งเป็นนักเรียกร้องกันด้วย ก็จะย้อนไปว่าถ้าคนไทยได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง คนไทยจะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก”
วัฒนธรรมประกันภัย
คุณเจนภพยังคงย้ำว่า การศึกษาเท่านั้นที่จะทำให้วัฒนธรรมไทยแข็งแรง และไม่จำเป็นต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ออกความเห็นในเรื่องแบบนี้
นอกจากนี้ ยังมองว่าวัฒนธรรมเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมที่มาเร็วไปเร็ว โดยตนคิดว่าหากทุกคนเข้าใจว่าเหมือนเป็นวัฒนธรรมประกันภัย อย่าตื่นเต้นตกใจ เดี๋ยวสิ่งเหล่านี้มาแล้วก็จะโคจรออกไป เพราะหากยิ่งไปกระพือประเด็นขึ้นมา ก็จะยิ่งทำให้ดูรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ควรทำการเผยแพร่วัฒนธรรมดีๆ ของไทยเข้าสู้จะดีกว่า เรื่องภายนอกเหล่านี้ก็จะหายไปเอง
ถึงแม้ว่าลูกหลานจะเกิดมาหน้าตาเป็น K-pop โตขึ้นมาฟังแต่เพลงเกาหลีไม่ฟังเพลงไทย คุณเจนภพเชื่อว่า เยาวชนเหล่านี้คงไม่ฟังแต่เพลงเกาหลีไปตลอดชีวิต ผู้ใหญ่ควรดูอยู่ห่างๆ แต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย และไม่ต้องห้าม ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ อะไรที่จะล้ำเส้นให้ตักเตือน ส่วนการตามแฟชั่นเกาหลีนั้นไม่คงทนถาวร ขอเพียงให้ภายในของเยาวชนเหล่านี้เข้าใจว่า ‘เป็นคนไทย’ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
จากความคิดเห็นที่หลากหลายดูเหมือนว่าคนไทยยังคงสนับสนุนในความสามารถของเยาวชน แต่ก็แอบหวังว่าสักวันเมืองไทยจะตื่นตัวและสร้างสรรค์กระแส T-pop เป็นของตัวเองให้โลกได้รู้จักกันสักที