หากเห็นลายของแมวเหมียวสายพันธุ์เบงกอล (Bengal) แล้วหลายคนอาจขนลุก ด้วยความเหมือนเสือดาวป่าหรือแมวดาวอย่างแยกไม่ออก แต่ก็อดที่จะหลงเสน่ห์ลายจุดไม่ได้ราวกับมีมนต์ขลัง กลิ่นอายความเป็นสัตว์ป่าให้หลงใหล เหมือนได้เลี้ยงสัตว์ป่าตัวน้อยไว้ในบ้านของคุณ
คุณณัฐพร ชำนาญกิจ และคุณอุดมลักษณ์ ตั้งใจตรง เจ้าของฟาร์ม Bangkok Bengals ได้เล่าว่าเริ่มต้นจากการเลี้ยงแมวไทยธรรมดาอย่างสีสวาท ขาวมณี มีคนขายแมวแนะนำให้เลี้ยงแมวเบงกอล ซึ่งตอนนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงกลับมาศึกษาข้อมูลทั้งจากอินเทอร์เน็ต หนังสืออยู่ประมาณหนึ่งปี จากนั้นก็ศึกษาฟาร์มเพื่อสั่งซื้อเข้ามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากประวัติแล้วสายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาใหม่โดย Jean Mill ในสามรุ่นแรกที่ผสมออกมา (F1-F3) เป็นหมันแต่หลังจากนั้นก็เป็นปกติ
ในยุคแรกลายจุดบนตัวจะเป็นเพียงจุดเล็กๆ สีดำ ต่อมาได้พัฒนาเกิดเป็นลายลูกศรขึ้น เป็นขอบเส้นสีดำข้างในเป็นสีอ่อน ซึ่งปัจจุบันจะมีลายโดนัทโรลด้วย ลายจะใหญ่ขึ้น โทนสีก็จะมีทั้งสีเหลืองทองเข้ม อ่อน น้ำตาล รวมทั้งสีสโนว์เบงกอลและซิลเวอร์เบงกอลด้วย
เสน่ห์ของสายพันธุ์เบงกอลคือรูปร่างลักษณะ ลวดลายที่เหมือนเสือ (Leopard) จะเป็นที่สนใจของคนเลี้ยงจำนวนมาก ซึ่งสามารถแบ่งเกรดเป็นเกรดโชว์เพื่อประกวด เกรด Breed เพื่อพัฒนาสายพันธุ์และเกรดสำหรับเลี้ยงปกติ โดยในการผสมพันธุ์ให้ได้สีและลายที่ต้องการนั้น ผู้พัฒนาสายพันธุ์จะมีเหมือนสูตรผสมที่ค่อนข้างแน่นอน
จากที่ได้ศึกษาและทำฟาร์มมา 4 ปี ซึ่งก็ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยมากนัก แต่ด้วยเสน่ห์ทางกายและนิสัยที่มีจึงได้รับการตอบรับดี แม้จะไม่ได้เล่นกันหวือหวาเหมือนสัตว์เลี้ยงประเภทอื่นๆ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนไทยเทียบอัตราส่วนคนไทยกับชาวต่างชาติเป็น 70 : 30
“ในการจำหน่ายสายพันธุ์จะต้องถามลูกค้าว่าเลี้ยงเพื่ออะไร เพราะฟาร์มก็จะแบ่งเกรดไว้เพื่อรองรับ ซึ่งถ้าเป็นลูกแมวเกรดเพื่อเลี้ยงเล่นก็ควรจะต้องทำหมันตอนอายุ 4 เดือนเป็นมาตรฐานทั่วโลก เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเครียดในช่วงฤดูผสมพันธุ์และดีต่อการเลี้ยงด้วย”
สำหรับสายพันธุ์เบงกอลนั้นถือเป็นแมวที่เลี้ยงง่ายมาก ไม่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษอะไร เนื่องจากมีนิสัยรักสะอาดและชอบเล่นน้ำสามารถอาบน้ำได้ จะให้ดีควรจะเป็นเดือนละครั้ง และแนะนำว่าให้เลี้ยงแบบปล่อย หมายถึงให้เลี้ยงภายในบ้าน อย่าขังกรง เพราะเบงกอลเป็นแมวที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง หากใครชอบแมวนิ่งๆ เบงกอลอาจเป็นตัวเลือกที่ไม่เหมาะนัก ส่วนอาหารควรเป็นอาหารเม็ดเกรดพรีเมียม และที่สำคัญที่สุดคือให้เวลาและความรักอย่างสม่ำเสมอ
ตัวพ่อและแม่พันธุ์ที่รับมามีหลักคัดเลือก โดยดูจากฟาร์มที่น่าเชื่อถือก่อน ส่วนนิสัยและองค์ประกอบภายนอกต้องให้ความสำคัญเท่ากัน ซึ่งอาจไม่ได้ไปศึกษานิสัยแมวตัวนั้นๆ ด้วยตัวเอง จึงต้องมีความเชื่อใจสูง แล้วจึงเลือกลักษณะต่างๆ จากรูปถ่าย ตัดสินใจด้วยประสบการณ์ โดยเน้นที่นิสัย ลาย สี และโครงสร้าง ซึ่งทุกตัวจะลงทะเบียนกับสมาคม TICA (The International Cat Association) ที่ประเทศอเมริกา รวมทั้งลูกแมวทุกตัวที่เกิดใหม่และรับประกันสุขภาพ 1 ปีด้วย
“ราคาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์นำเข้ามาที่ราคาประมาณ 100,000 – 150,000 บาทเป็นเกรดโชว์ท็อปสุด ส่วนลูกแมวที่จำหน่ายเองเกรดสัตว์เลี้ยงราคาจะต่ำกว่าราคาตลาดทั่วโลกอยู่ที่ 20,000 – 35,000 บาทขึ้นกับความสวย ส่วนเกรดเพาะพันธุ์จะอยู่ที่ 35,000 – 55,000 บาท โดยการจะแบ่งเกรดได้ต้องรอให้ลูกแมวอายุราวเดือนครึ่งหรือมากกว่านั้น เพื่อให้เห็นความชัดเจนของลาย”
อย่างไรก็ตาม บางครั้งมีลูกค้าบางรายที่ชอบเกรดสำหรับพัฒนาสายพันธุ์แต่ต้องการนำไปเป็นสัตว์เลี้ยง ทางฟาร์มก็จะขายในราคาขั้นต่ำโดยที่ต้องทำหมันเมื่ออายุราว 4 เดือน
ปัญหาที่พบจากการเลี้ยงคือ ด้วยนิสัยที่เป็นแมวซน ขี้เล่น ชอบกระโดดไปมา ซึ่งในช่วงระหว่าง 2 – 8 เดือนจะไฮเปอร์มาก วุ่นวายพอสมควร แต่ก็เป็นแมวที่เรียนรู้ง่าย มีความเป็นสุนัขอยู่ในตัว สามารถฝึกให้เล่น ใส่สายจูงได้ ฝึกง่ายเพียงแต่เป็นพันธุ์ที่ไม่นิ่งเท่านั้นเอง
ส่วนเรื่องสวยๆ งามๆ ผู้เลี้ยงก็ควรแปลงขนให้อาทิตย์ละครั้งด้วย แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องโรคประจำตัว ด้วยเชื้อแมวดาวหรือสัตว์ป่าโดยธรรมชาติทำให้สายพันธุ์นี้ค่อนข้างจะแข็งแรง แต่ก็ยังต้องฉีดวัคซีนปกติเหมือนแมวทั่วไป
หากใครสนใจอยากเลี้ยงคุณณัฐพรบอกเพียงว่าควรศึกษาข้อมูลให้ดี จากอินเทอร์เน็ตข้อมูลจะเยอะ มีความรักและปัจจัยอื่นๆ ที่แมวต้องการก็เพียงพอแล้ว...
ใครจะรู้ว่าเลี้ยงแมวดาวขนาดย่อมไว้ในบ้านจะง่ายขนาดนี้
ภาพโดย...ธนารักษ์ คุณทน