กลายเป็นที่จับตาของนานาชาติอีกครั้งสำหรับประเทศไทย หลังจากที่หนังสือคู่มือการท่องเที่ยวของสำนักพิมพ์โลนลี่ แพลนเน็ต ของประเทศอังกฤษ จัดอันดับให้เป็นสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวสุดคุ้มอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศไอซ์แลนด์
งานนี้คนที่ดูหน้าชื่นตาบานที่สุด คงหนีไม่พ้นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพราะครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะหารายได้ก้อนโตจากกระเป๋าของบรรดานักท่องเที่ยวที่น่าจะยกโขยงมาเที่ยวเมืองไทยเต็มไปหมด
ขณะที่กรุงเทพมหานคร ก็คงเป็นอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งตารอไม่แพ้กัน เพราะด้วยฐานะของเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของเอเชีย 6 ปีซ้อน ซึ่งสำรวจโดยนิตยสาร ‘Travel + Leisure’ คงเป็นเครื่องการันตีอย่างดีว่า ถึงยังไงนักท่องเที่ยวก็ต้องไหลมาเทมาอย่างแน่นอน
แต่หากวิเคราะห์กันให้ดีๆ แล้ว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ หาได้เป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับเมืองไทยในยุคปัจจุบัน เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของประเทศนั้นมาจากการท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดอยู่แล้ว
การหาจุดขาย หรือหาหนทางที่จะทำให้ประเทศติดอันดับเมืองน่าเที่ยวจึงเป็นเรื่องปกติอย่างมาก
และยิ่งเหลียวมองไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ อย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ก็ยิ่งเด่นชัดเข้าไปใหญ่ เพราะหน่วยนี้ขยันผลิตโครงการส่งเสริมการขายออกมาไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่ อะเมซิ่งไทยแลนด์, อันซีนไทยแลนด์, ไทยแลนด์ แกรนด์ เซลล์, ครัวไทยไปครัวโลก กรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น หรือแม้แต่โครงการใหญ่ยักษ์สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อย่างบัตรอีลิทการ์ด ราคาใบละ 1 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันล้มเหลวไม่เป็นท่า กลายเป็นภาระก้อนใหญ่ที่สะสางไม่จบไม่สิ้นเสียที
ท่องเที่ยวไทยใต้อำนาจเงิน
แน่นอนเมื่อการท่องเที่ยว กลายเป็นปัจจัยสำคัญอันยิ่งยวดของประเทศเล็กๆ แห่งนี้ ทรัพยากรต่างๆ ในประเทศจึงถูกหยิบยกขึ้นมาสำหรับการขายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญ แหล่งธรรมชาติ จุดบริการต่างๆ ประเพณีวัฒนธรรม หรือแม้แต่การให้ความสุขทางเพศ
ถึงตรงนี้เชื่อว่า หลายคนคงสงสัยที่ว่าขายนั่นขายอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงขออธิบายสั้นๆ ดังนี้
หากคุณเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาหาความสำราญในสยามเมืองยิ้ม ทันทีที่ก้าวลงจากสนามบิน สิ่งแรกที่คุณจะเห็น ก็คงหนีไม่พ้น บรรดาแท็กซี่ที่จอดเรียงราย พร้อมกับป้ายติดกระจกไซส์ขนาดปานกลางว่า ‘I Love Fa-rang’ แปลเป็นไทยได้ง่ายๆ ว่า ‘ฉันรักฝรั่ง’ นั่นเอง แน่นอนเพียงแค่ยุทธวิธีเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ ฝรั่งหลายๆ คนก็เต็มใจจะเดินเข้าไปใช้บริการกันถ้วนหน้า
พอขึ้นแท็กซี่เสร็จ จุดเป้าหมายของบรรดานักเดินทางก็มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะตรงไปเก็บกระเป๋าก่อนที่โรงแรม หรือจะไปเที่ยวตามสถานที่ที่ว่ากันว่าสุดยอด อย่างเช่นไปชมความงามของวัดพระแก้ว ไปนวดให้หายเมื่อยที่วัดโพธิ์ หรือจะไปช็อปปิ้งตามแหล่งช็อปปิ้งทั้งหลาย อย่างจตุจักร ประตูน้ำ ก็มีให้เลือกอย่างจุใจ แถมบางแห่งยังมีบริการผู้นำเที่ยวที่คอยต้อนรับด้วยรอยยิ้ม และค่าบริการที่น่าพึงพอใจ
พอถึงตกดึก ก็เป็นเวลาของบรรดาชายหนุ่มกลัดมันทั้งหลายที่จะออกมาเยี่ยมราตรี ตามสถานบันเทิงทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสีลม พัฒนพงษ์ เพชรบุรีตัดใหม่ หรือพัทยาเพราะด้วยชื่อเสียงของแหล่งขายความสำราญทางเพศอันดับ 1 ที่โด่งดังกระฉ่อนไปทั่วโลก (ยกเว้นประเทศไทย) นั้นเป็นเครื่องรับประกันได้เป็นอย่างดี
เห็นกลยุทธ์การขายเมืองไทยเช่นนี้แล้ว หลายคนคงรู้สึกตงิดๆ ใช่ไหมว่า บางอย่างมันเหมาะจะเอาไปขายกันด้วยเหรอ โดยเฉพาะอย่างสุดท้ายที่ดูจะสุ่มเสี่ยงต่อศีลข้อ 3 ซะเลยเกิน
เรื่องนี้ก็ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ไม่ต้องห่วง เพราะขึ้นชื่อว่าขายได้ พี่ไทยเราหาช่องโหว่ได้เสมอ แม้เรื่องนั้นจะหล่อแหลมต่อศีลธรรมก็ตาม อย่างที่เห็นๆ ก็ในช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา ที่รัฐบาลออกประกาศมาฉบับหนึ่งว่า ห้ามสถานที่ทุกแห่งขายเหล้า แน่นอนนโยบายนี้ได้รับการตอบรับสูงมาก สมกับที่เป็นเมืองพุทธ แต่ไม่เพียงกี่อึดใจ ก็มีประกาศออกมาฉบับหนึ่งทันที โดยเป็นการแก้ไขประกาศฉบับแรก จากที่ห้ามขายทุกที่ ก็เป็นยกเว้นในโรงแรม เพราะกลัวนักท่องเที่ยวจะโกรธ และหนีกลับประเทศ
นี่ยังไม่รวมไปถึงความคิดเรื่องการเปิดบ่อนคาสิโน หลังจากที่มีข่าวว่าไทยต้องสูญเสียโอกาสที่จะมีรายได้นับหมื่นล้านให้แก่เพื่อนบ้าน อย่างกัมพูชา พม่าและมาเลเซีย แต่ยังดีที่ยังพอมีสมาชิกรัฐสภาบางส่วนออกมาคัดค้านจนแนวคิดนี้ตกกระป๋องไปในที่สุด
จากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนแสดงความเป็นห่วง เพราะกลัวว่าสุดท้ายแล้ว เมื่อทุกอย่างเป็นการขายไปเสียหมด แล้วอย่างนี้อนาคตของเมืองไทยต่อไปจะเป็นอย่างไร
เผ่าทอง ทองเจือ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมไทย หนึ่งในผู้ห่วงใยที่ได้ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ทุกวันนี้ วัฒนธรรมไทยได้ถูกทำลายไปจากเดิมมาก เนื่องจากคนไทยเองขาดจิตสำนึกในการรักษาแก่นแท้ของวัฒนธรรม สังเกตได้จากงานเทศกาลต่างๆ ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตอบสนองในเรื่องของทุนนิยม โดยมีคำว่าเอนเตอร์เทนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วัฒนธรรมของจริงค่อยๆ เลือนหายไป ทุกอย่างเปลี่ยนไปเพื่อตอบสนองการท่องเที่ยวไม่ได้เปลี่ยนเพื่อตอบสนองประเพณี หรือหลักธรรมคำสั่งสอนของศาสนา
“เดี๋ยวนี้เมืองไทยเหลือแค่เปลือกนอกเท่านั้นแหละ ถ้าถามว่ามันมีทางแก้ไขไหม ตอบยากนะ เพราะคนไทยเราขาดผู้นำทางวัฒนธรรมที่จะคอยบอกว่าซ้ายคืออะไรขวาคืออะไร ถูกคืออะไร ผิดคืออะไร
“การรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนในประเทศเป็นหลัก อย่างเกาะบาหลีที่ขึ้นชื่อเรื่องการท่องเที่ยว ก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมเดิมเอาไว้ ถนนเคยแคบอย่างไรก็คงไว้อย่างนั้น เขาไม่เอาใจนักท่องเที่ยวถึงกับขยายถนนเพื่อให้รับนักท่องเที่ยวได้จำนวนมาก ต่างจากประเทศไทย ที่เมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มให้ความสนใจแหล่งท่องเที่ยวที่ใดที่หนึ่ง การเดินทางไปถึงต้องสะดวกสบาย
ปัญหาของการลืมเลือนวัฒนธรรมเดิมๆ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เผ่าทองแสดงความกังวล เพราะทุกวันนี้สังคมไทยถูกมอมเมาด้วยระบบวัตถุนิยม ทุนนิยมสูงมากขึ้น จนระบบสังคมเปลี่ยนไปหมด
“ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ เลยก็คือ ศิลปวัฒนธรรมไทย ที่ทุกวันนี้ตอบสนองเรื่องการท่องเที่ยวมากจนลืมแก่นแท้ของงานที่แท้จริงไป อย่างการแสดงโขน หากเป็นเมื่อก่อน วิธีที่จะดูได้อรรถรสที่สุด ก็ต้องห่างจากผู้เล่น 20 เมตร แต่ปัจจุบันนี้ เพื่อตอบโจทย์การท่องเที่ยวที่ต้องให้คนดูมากสุด ก็เลยต้องขยายโรงให้ใหญ่มากขึ้น จนคนดูที่อยู่หลังๆ ไม่ได้รับอรรถรสอย่างที่ควรจะเป็น”
ไม่เพียงแค่นั้น เผ่าทองยังกล่าวต่อไปอีกว่า หากทุกคนยังคงปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป หรือนึกถึงเรื่องทุนจนละเลยรากเหง้าและวัฒนธรรมของประเทศ สุดท้ายแล้ว บ้านเมืองเราก็ไม่เหลืออะไรให้น่าจดจำสำหรับนักท่องเที่ยว เว้นเสียแต่ การเป็นสถานที่อาบแดดชั้นเยี่ยม และสถานบริการทางเพศชั้นยอดเท่านั้นเอง
นักขายตัวยง
สุวัฒน์ธนะ ฉัตรทอง มัคคุเทศก์ผู้หนึ่งที่ประกอบธุรกิจกับชาวต่างชาติมานาน ให้ความคิดเกี่ยวกับระบบการท่องเที่ยวในไทยว่า ส่วนใหญ่เป็นระบบ ‘แมส’ ที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ
“พูดตรงๆ ณ ตอนนี้มูลเหตุของคนที่จะเข้ามาสู่วงการนี้ ผมให้เครดิตสักหกสิบห้าเปอร์เซ็นต์ก็แล้วกันว่า หนึ่ง เพราะเขาเห็นเป็นช่องทางการทำเงินที่ง่ายที่สุด สอง พอคนเข้ามาเยอะก็เกิดอัตราการแข่งขัน ซึ่งการแข่งขันเป็นเรื่องธรรมดาแต่เขาไม่เน้นแข่งเชิงคุณภาพ เขามาตัดราคาซึ่งหมายถึงคอนเน็กชั่นที่คุณต้องลดคุณภาพลงมา พูดง่ายๆ ก็คือแทนที่คุณจะโตขึ้น คุณกลับตัดขาตัวเองลงเรื่อยๆ
“คนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวส่วนใหญ่คิดกันอยู่แค่ว่า ทำยังไงให้เงินในกระเป๋าลูกค้าเข้ามาอยู่ในกระเป๋าเราให้มากที่สุดเท่านั้นเอง”
สุวัฒน์ธนะเปิดเผยให้ฟังต่ออีกว่า ส่วนใหญ่ผู้ประกอบกิจการแบบนี้จะเป็นพวกฮาร์ดเซลส์ มีรายได้หลักอยู่ที่ค่าคอมมิชชั่น ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้ไม่มีใบเสร็จนะครับ และที่สำคัญทุกคนสามารถที่จะทำได้
นอกจากนี้ก็ยังมีรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘ลากจอด’ คือพานักท่องเที่ยวไปช็อปปิ้ง และ ‘ซิตติ้งไกด์’ หรือไกด์ทัวร์ที่ถูกว่าจ้างจากบริษัททัวร์ต่างชาติให้มาทำหน้าที่นั่งเฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่มีคุณสมบัติสำคัญคือ มี ‘ไลเซนส์’ หรือใบอนุญาตประกอบวิชาชีพมัคคุเทศก์ในเมืองไทยเท่านั้น
นักช็อปตัวเอ้
Mr.Achim และ Mrs.Sandra 2 สามีภรรยานักท่องเที่ยวชาวเยอรมันที่เดินทางมาท่องเที่ยวในดินแดนสยามเป็นครั้งแรก เล่าสาเหตุของการมาครั้งนี้ว่า อยากเข้ามาเห็นวัฒนธรรมไทยซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าสุดยอด
“เรามาเที่ยวกัน 3 อาทิตย์ ก็เพิ่งมาถึงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี่เอง เสียดายมากเลยที่มาไม่ทันลอยกระทง ความจริงอยากเห็นมาก เพราะใครๆ ก็บอกว่าสวย แต่เท่าที่ดูก็โอเค ประทับใจมาก”
2 นักเดินทางเล่าต่ออีกว่า ช่วงที่ผ่านมาพวกเขาเดินทางไปที่ต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นพระบรมมหาราชวัง วัดโพธิ์ ถนนข้าวสาร โดยตั้งใจว่าจะขึ้นไปเชียงใหม่ เพราะในไกด์บุ๊คบอกว่าช่วงเวลานี้เหมาะที่จะขึ้นเหนือสุดๆ
เมื่อถามถึงเรื่องการเดินทาง ทั้งคู่ก็ตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “No Problem”
“เราโชคดีมากเลยนะ เพราะเราเตรียมตัวก่อนเดินทาง อ่านไกด์บุ๊คละเอียดเลยล่ะ ก็เลยไม่มีปัญหาในการเดินทาง อย่างแท็กซี่คันไหนไม่กดมิเตอร์เราไม่เอา”
ส่วนเรื่องที่ไม่ประทับใจ 2 ผัวเมียก็ยอมรับว่ามีเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่มานั่งกินกาแฟในร้าน ก็จะมีพวกแขกมาคอยเรียกขายสูทวุ่นวายไปหมด อีกเรื่องหนึ่งที่หงุดหงิดไม่แพ้กันก็คืออากาศ เพราะในไกด์บุ๊คบอกว่าช่วงนี้อากาศค่อนข้างเย็น แต่พอมาถึงอากาศร้อนมาก เพราะฉะนั้น ต่อไปก็คงต้องจัดโปรแกรมให้รัดกุมกว่านี้หน่อย
……….
เรื่อง : ทีมข่าว Click
ภาพ : ทีมภาพ Click