ย้อนกลับไปในวัยเด็กของ “วิลาสินี พรประเสริฐถาวร” เธอเติบโตมากับครอบครัวที่ประกอบธุรกิจจักรเย็บผ้า ตามลักษณะนิสัย ที่ไม่ค่อยชอบอยู่นิ่งๆ ตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอได้คลุกคลีกับจักรเย็บผ้ามาตั้งแต่ยุคที่จักรเย็บผ้า ยังใช้งานด้วยการใช้เท้าเหยียบ ร้อยกระสวยด้วยการใช้มือ จนกระทั่งธุรกิจเปลี่ยนมือจากคุณพ่อ มาให้เธอเองเป็นผู้ดูแล พร้อมกับการพัฒนาของระบบจักรเย็บผ้าจากการใช้มือ เปลี่ยนเป็นระบบสัมผัส
ธุรกิจครอบครัว
“ติ๊กเห็นคุณพ่อทำมาตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ ก็น่าจะประมาณ 30-40 ปี คุณพ่อตอนนั้นทำตัดเย็บเลื้อผ้า จากนั้นก็ซื้อจักรมาลง ก็เริ่มมีลูกค้าสนใจมากขึ้น มีคนเอาเสื้อผ้ามาให้ตัดเย็บมากขึ้น เราเองก็ต้องรับพนักงานมากขึ้นด้วยเช่นกัน คุณพ่อเองเลยคิดว่าถ้าเราเป็นคนนำจักรเย็บผ้าเข้ามาเอง
อย่างน้อยก็สามารถแบ่งปันอาชีพให้คนอื่นได้เช่นกัน บางร้านเป็นร้านปักชุดนักเรียน ก็สามารถนำเอาไปเป็นเครื่องมือในการทำอาชีพได้ ไม่ต้องส่งมาทางเรา ถ้างานเยอะหรือว่าลงทุนมากๆ ถ้าเขาทำกันไม่ไหว ก็สามารถส่งต่อมาให้เราทำได้เช่นกัน”
การคลุกคลีกับจักรเย็บผ้ามาตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้เธอเองมองเห็นวิวัฒนาการของจักรเย็บผ้าตั้งแต่รุ่นที่ยังใช้เท้าเหยียบ มือหมุน และร้อยกระสวยด้วยมือ จนเริ่มมีการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ มาเป็นระบบคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็พัฒนามาอีกขั้นเป็นการสั่งงานจักรเย็บผ้าด้วยการใช้คีย์บอร์ด
จนมาถึงยุคปัจจุบันใช้เพียงแค่ระบบสัมผัส ซึ่งไม่ต้องสั่งงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มีเพียงแค่จักรเย็บผ้าตัวเดียวก็ทำงานได้เลย ทำให้พื้นที่ใช้สอยของคนเมือง ที่มีไม่มากเท่าไหร่ สามารถใช้จักรเย็บผ้าตัวเล็ก ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับจักรเย็บผ้ารุ่นใหญ่ได้เลย
ไม่ใช่แค่บริหารแต่อยู่ในสายเลือด
ตั้งแต่เธอศึกษาจบคณะนิเทศศาสตร์ เอกวิทยุ-โทรทัศน์ มหาวิทยาลัยรังสิต “แอร์โฮสเตส” เป็นอาชีพในฝันของผู้หญิงสวย ผิวพรรณดี อย่างเธอ แต่เธอก็เลือกที่จะบริหารธุรกิจครอบครัว
“ตอนเด็กๆ ก็อยากเป็นแอร์โฮสเตส เป็นนางฟ้า ตอนนั้นคิดว่าเป็นแล้วสวยจังเลย ได้ไปเที่ยวหลายๆ ประเทศด้วยแล้วก็ได้เงินด้วย แต่ว่าพอต้องมาทำธุรกิจของตัวเองก็เอามาปรับใช้กับการทำงานของบริษัทได้บ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ หรือการประสานงาน จากเมื่อก่อนไม่ค่อยมีใครรู้จักมาก่อน ก็เริ่มมีคนรู้จักธุรกิจเรามากขึ้น ถ้ารู้ว่าต้องมาทำธุรกิจ เราก็อยากกลับไปเรียนบริหารธุรกิจเหมือนกันนะ เพราะรู้สึกว่ามันตรงกับสายงานที่ทำอยู่ตอนนี้ และก็กว้างกว่าด้วย”
เมื่อได้เข้ามารับช่วงธุรกิจจักรเย็บผ้าของครอบครัว ด้วยตำแหน่ง Exclutive Director ธุรกิจที่นำเข้าจักรเย็บผ้าจากสวิตเซอร์แลนด์ แต่การศึกษาที่ไม่ได้จบตรงกับสายงานของเธอก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่จะทำให้เธอบริหารงานครอบครัว
“มันเหมือนอยู่ในสายเลือดเลยล่ะ ตอนเด็กๆ เราก็ไปลองถีบๆ เล่นๆ ดู ก็ได้ลองเย็บผ้ามาตั้งแต่เด็กๆ เลย เพราะสมัยก่อนคุณแม่เองก็ไปเรียนเย็บผ้ามาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะกระดุมหลุด เสื้อผ้าชำรุด ก็จะทำเองทุกอย่าง เป็นแม่ศรีเรือนเลยล่ะ (หัวเราะ)”
ครอบครัวคือสิ่งสำคัญ
การแบ่งเวลาให้ดีคือสิ่งที่ทำให้เธอสามารถดูแลทั้งครอบครัวและธุรกิจได้อย่างดี หากรู้จักการแบ่งเวลาชีวิตได้ ก็ไม่สามารถจะทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป หรือไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งจนทำให้บางอย่างล้มเหลวลงไป
“ติ๊กว่าการมีครอบครัวและธุรกิจของตัวเองไม่ได้ทำให้ไลฟ์สไตล์ของติ๊กเปลี่ยนไปนะ ก็ยังคงไปเที่ยวกับเพื่อน ดูหนัง ไปงานอีเวนต์บ้าง เรียกง่ายๆ ไม่ต่างจากช่วงวัยรุ่นมากเท่าไหร่ เพราะเป็นคนจัดสรรเวลาได้ดีพอสมควร รู้ว่าภาระหน้าที่ต้องหนักขึ้นก็ต้องรู้จักแบ่งเวลา ถ้าเราแบ่งเวลาชีวิตของเราได้ ก็ไม่เห็นจะต้องเปลี่ยนมาใช้ชีวิตแบบครอบครัวเพียงอย่างเดียว หรือทำงานอย่างเดียว”
“ถ้าถามว่าให้ความสำคัญกับสิ่งไหนเป็นอันดับแรก ครอบครัว สำหรับติ๊กจะมาเป็นอันดับหนึ่ง เราต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวก่อน เพราะคิดว่าถึงจะทำงานมีเงินมากเท่าไหร่ แต่ครอบครัวคือผู้ที่อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา และงานที่ทำอยู่ก็เป็นธุรกิจของครอบครัวเหมือนกัน”
ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา
ด้วยนิสัยส่วนตัวที่คนอื่นมองอาจจะเห็นเธอเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ แต่เมื่อได้พูดคุยกับเธอจริงๆ กลับรู้สึกได้ว่าเธอมีเสน่ห์อย่างมากทีเดียว เพราะอากัปกิริยาพูดคุยที่เป็นคนสนุกสนาน เฮฮา หลุดๆ บ้าบอ ไปตามประสา (เธอบอกอย่างนั้น)
“จริงๆ เป็นคนสนุกสนานนะ เป็นคนที่มองอะไรให้เป็นสิ่งสวยงามก็พอ มีความสุขให้มาก บางทีเพื่อนๆ มองเราว่า ซีเรียสบ้างก็ได้นะ ก็บอกเพื่อนแค่ว่า ช่างมันเถอะ อย่าได้ไปแคร์”
“โชคดีที่ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจมาเท่าไหร่ คิดเสียว่ามันเป็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เป็นคนเจออะไรก็ปลงๆ ไปแล้ว คิดแบบนี้ไม่ได้บอกว่าแก่นะ แต่ใครทำอะไร พูดอะไร เจออะไรมาก็คิดว่าที่เขาทำไปเขาคงมีเหตุผลของเขา ชีวิตเราก็คงไม่แย่ไปเสียทุกวันหรอกต้องเจออะไรดีดีบ้าง ติ๊กว่าทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรามากกว่าว่าจะดีหรือไม่ดี ถ้าคิดว่ามันดีก็ดี ทุกอย่างตัวเราเองเป็นผู้กำหนด”
“การทำวันนี้ให้ดีที่สุด” คือคติที่เธอนำกลับมาใช้ในชีวิต ซึ่งก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ถ้าไม่ได้ลงมือทำแล้วจะกลับมาเสียใจภายหลังก็ไม่ได้
ดังนั้น ถ้าให้เธอได้ตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือทำแล้ว ก็จะลงมือทำเลย จะสำเร็จหรือไม่อย่างไรนั้นขอเพียงแค่ให้เธอได้ลงมือทำ ทำให้ดีที่สุด อาจจะได้ผลลัพธ์ออกมาไม่ได้อย่างใจหวัง แต่ก็ถือว่าเธอได้ลงมือทำแล้วและประสบความสำเร็จจากใจของตัวเอง
เธอคือผู้ดูแล
ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอเลยสักนิด แม้ว่าจะต้องดูแลกิจการ ครอบครัว และต้องดูแลลูกน้อยวัยกำลังซน “น้องสเปน” ลูกชายวัย 2 ขวบ ที่จะต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังต้องดูแลตัวเองด้วยเช่นกัน
“น้องเลี้ยงไม่ยาก แต่ตอนเด็กๆ ก็ต้องดูแลเขาให้เยอะหน่อย ดูแลอย่างใกล้ชิด พอเขาเริ่มโตพอดูแลตัวเองได้ก็เริ่มซนไปตามประสาเด็กๆ ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กนะบางที
ตอนนี้น้องเริ่มพูดคุยรู้เรื่องบ้างก็จะมีการตกลงกัน ใช้เหตุผล กับน้องให้มาก ชีวิตเขาเราไม่ได้วางอะไรไว้ตายตัว อยากให้น้องได้ทำอะไรตามที่เขาชอบมากกว่า ส่วนตัวเราเองคอยเป็นเกราะคุ้มกันให้เขาก็พอ แต่ขอให้เป็นคนดี รักคุณพ่อ คุณแม่ เพราะครอบครัวเป็นพื้นฐานที่ดี ”
ถึงจะต้องดูแลหลายสิ่งหลายอย่างมากมายอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่เคยลืม คือการดูแลตัวเองเธอบอกว่าคงเป็นโชคดีของเธอที่คุณแม่เองเป็นคนสูงและผิวพรรณดีมาก ซึ่งเป็นอานิสงส์ที่ได้รับจากแม่ อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ปล่อยละเลยไป ยังคงดูแลอย่างดีตลอดเวลา
“ออกกำลังกายบ้าง ตีแบด ปั่นจักรยาน ทานน้ำเยอะ ๆซึ่งเราจะทานน้ำเยอะมาก เพื่อนถ้ารู้จักกันใหม่ๆ จะมองว่าเราทานน้ำเยอะมาก สักพักก็หยิบมากิน ในรถเราจะพกน้ำตลอดแล้วเราจะกินน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่กินน้ำเย็นเกินไป ร้อนเกินไป เค้าจะมองว่าเราบ้าป่าว เข้าห้องน้ำบ่อยบ้าง ไปอีเว้นต์เราก็จะขอน้ำกินตลอด ไม่ว่าจะน้ำหวานหรืออะไรก็ได้ ขอเป็นน้ำ”
“อีกอย่างที่ติ๊กขาดไม่ได้ก็คือ การนอนหลับ ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าวันไหนนอนน้อยติ๊กจะเบลอไปเลย พูดไม่รู้เรื่อง คือแบบ คนเรานอน6-8 ชั่วโมงก็พอ แต่ส่วนตัวจะนอน 8-10 ชั่วโมง ไม่รู้ว่าเยอะไปหรือป่าว มันจะรู้สึกอิ่มแล้วอ่า วันไหนน้อยไปก็ไม่ได้นะ ก็จะรู้สึกง่วงทั้งวัน วันไหนที่นอนเต็มอิ่ม ก็จะรู้สึกสดชื่น อยู่ได้ทั้งวัน ”
เวลาว่างจากการดูแลทั้งครอบครัวและธุรกิจคือการได้ออกไปเจอเพื่อนๆ เพราะเสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขมากที่สุด เนื่องจากเธอคิดว่า การใช้ชีวิตในปกติธรรมดาทำให้ได้เจอกับเรื่องราวมากมาย หรือเจอเรื่องราวเครียดมามากพอแล้ว วันว่างจึงขอเพียงแค่เสียงหัวเราะเท่านั้น ชีวิตของเธอก็มีความสุข
*******************
ภาพโดย : วรงค์กรณ์ ดินไทย