xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งชีวิตมีค่า “อัจฉริยา สินรัชตานันท์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“จริงแล้วๆ เหมียวมีสองชีวิต ซึ่งบางคนอาจจะไม่รู้ก็ได้ นอกจากดีเจแล้วก็ยังได้ใช้สิ่งที่เรียนมาคืองานบัญชี ซึ่งการเป็นดีเจนั้นเพื่อนชักชวนให้มาลองทำ ก่อนหน้านี้เป็นวีเจที่ Channel V แล้วก็ชวนมาทำดีเจด้วย เป็นสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ”

ดีเจสาวมั่นอย่าง เหมียว อัจฉริยา สินรัชตานันท์ ที่นอกจากจะเป็นดีเจเสียงใสแห่งคลื่น FM 102.5 แล้วยังเปิดบริษัทกับพี่ชายมาแล้ว 5 ปี เป็นบริษัทเกี่ยวกับ Interactive media โดยจะเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับด้าน marketing และ Interactive media โดยเฉพาะ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จและมีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย

เหมียวเปรียบเทียบให้ฟังว่า งานสองอย่างสนุกคนละแบบ อย่างดีเจก็ชอบในหลายๆ ด้าน อย่างแรกคือ สามารถตอบโจทย์สิ่งที่อยากจะทำ เหมือนเป็นเครื่องมือบางอย่างที่สามารถบอกอะไรดีๆ ให้แก่คนจำนวนมากได้ บางทีมีข้อมูลดีๆ การชวนคนออกมาทำบุญ หรือว่าแง่คิดดีๆ ค่านิยมอะไรบางอย่างที่อยากให้คนอื่นได้ลองย้อนคิดกลับมาบ้าง คือถ้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ ก็ไม่สามารถทำให้คนจำนวนมากฉุกคิดได้

“อาจจะเป็นเรื่องยากในสังคมที่คนอื่นไม่พูดกัน แต่เราอยากพูดเพราะมันคือความจริง แล้วให้คุณลองกลับไปคิดดูว่าคุณทำอะไรได้บ้าง ซึ่งคิดว่าเดี๋ยวนี้คนบริโภคแต่ข่าวที่เป็นเชิงลบ ทำไมเรื่องดีๆ ถึงไม่เอามาตีแผ่กันบ้าง ตัวอย่างเช่น Divas ที่จะมีช่วงไลฟ์สไตล์ที่จะพูดเรื่องอะไรก็ได้ ไปเจออะไรดีหรือไม่ดีมาแล้วมาเล่าให้ฟัง”

พร้อมทั้งย้ำว่า ดีเจไม่ใช่แค่มานั่งพูดดำเนินรายการ บางทีก็เยอะกว่าที่หลายๆ คนคิด อย่างก่อนที่จะเปิดไมค์ การเตรียมตัวที่ดีก่อนจัดรายการ เหมือนจัดรายการเสร็จไปแล้ว 90% ซึ่งทุกวันนี้เวลาที่อ่านหนังสือ จะอ่านไม่เหมือนคนอื่น คิดว่าอ่านเรื่องนี้แล้วเอาไปพูดในวิทยุได้ไหม แล้วคนฟังจะได้อะไร ก็จะขีดเส้นใต้หรือพับหน้านั้นเอาไว้ อาจจะเป็นเรื่องที่คนอื่นอาจจะไม่เคยอ่านหรือไม่เคยรู้มาก่อน

“มันมากกว่าที่หลายๆ คนคิดว่า แค่เปิดเพลง ซึ่งที่สนุกกับงานดีเจก็เพราะเราเป็นคนชอบเพลงด้วย ถ้าชอบศิลปินคนไหนเราก็ได้รู้ลึกมากขึ้น ทำให้เราสนุกกับมัน ส่วนในงานพิธีกรก็สนุกอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนกัน”

ในงานบริษัทก็สนุกแบบท้าทายกว่า เพราะไม่ใช่การทำงานคนเดียวแต่ทำงานเป็นทีมใหญ่ 10 กว่าคน ช่วยกันวางแผนแบบละเอียดยิบล่วงหน้า ก่อนจะไปหาลูกค้า ต้องรู้หมดแล้วว่าลูกค้าต้องการอะไร ต้องพูดอะไรบ้าง มันพลาดไม่ได้ ก่อนจะพูดอะไรต้องคิด และไม่ใช่การคิดเพียงด้านเดียว

“ความสนุกอยู่ที่ขายแล้วได้งาน แบบขายมา 6 เดือน 9 เดือนแล้วได้งานจะเป็นความรู้สึกแบบ โอ้โห...สำเร็จแล้ว มันจะเป็นความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง มันเป็นความสำเร็จที่แบบว่า ไปเลี้ยงฉลองกัน!”

งานดีเจนั้นทักษะการฟังเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งเคยสอนเกี่ยวกับการพูดในที่สาธารณะ หรือไม่ว่างานอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการพูด ทักษะที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การพูดแต่เป็นการฟัง ถ้าไม่ฟังก่อนก็จะพูดไม่ได้ ถ้าจะสัมภาษณ์ศิลปินแต่ไม่ฟังเขา คำถามก็จะกระโดดไปกระโดดมา ไม่น่าฟัง ไม่คล่อง ต้องจัดความคิดในหัวให้เป็นระบบ นั่นหมายถึงทักษะการวางแผน และควรอ่านเยอะๆ ด้วย

“คิดว่าเรื่องพูดนั้นฝึกได้ เหมียวเคยเห็นคนที่ทำรายการวิทยุครั้งแรก แบบพูดไม่เป็นภาษาคน แต่ทุกวันนี้พูดเก่งมาก มันเป็นเรื่องที่ฝึกกันได้ ไม่ได้ยุ่งยาก แต่อยู่ที่ความคิดมากกว่า ซึ่งเราต้องเรียบเรียงมาก่อนแล้วคิดว่าจะพูดออกไปอย่างไร ส่วนภาษาอังกฤษก็สำคัญในระดับหนึ่ง ถ้าเก่งภาษาอังกฤษ ก็จะได้เปรียบคนอื่น ถ้าไม่มีก็ไม่ตายเป็นดีเจได้ แต่มีก็ดีกว่า”

นอกจากนี้ยังคิดว่า อาชีพของคนที่ดำเนินรายการเพลงจะไม่หายไปไหน เพราะว่าคนยังชอบศิลปะ ยังชอบฟังเพลง เพียงแต่จะเปลี่ยนรูปแบบที่อยู่ การนำเสนอไปเรื่อยๆ เช่น คนฟังเพลงทางวิทยุน้อยลง หันไปฟังทางอินเทอร์เน็ต หรือดาวน์โหลดเพลงมาฟัง เพราะฉะนั้นคนที่ดำเนินรายการเพลงอาจไม่จำเป็นต้องเป็นดีเจคลื่นวิทยุแล้วก็ได้ โดยอาจเป็นดีเจทางอินเทอร์เน็ตแทน

“หลายคนจะชอบคิดว่างานดีเจสบาย อย่าง Get Divas แค่มานั่งคุยกับเพื่อนๆ พี่ๆ อีก 3-4 คน แต่การทำงานบริษัทไปด้วยจะรู้ว่ามันยุ่งยากกว่านั้น คือเวลาเปิดไมค์ก็คุยไป ปิดไมค์ปุ๊บพี่ก็จะมี Laptop ติดตัวอยู่ข้างๆ ติดตามงานที่บริษัท พร้อมกับดูเวลาที่ต้องกลับมาเปิดไมค์ไปด้วย หรือบางทีลูกค้านัดเสนองาน 10 โมงครึ่ง พอจัดรายการเสร็จ 10 โมงก็ต้องรีบบึ่งรถไป พร้อมกับงานที่พร้อมพรีเซ็นต์แล้ว นอกจากงานแล้ว เวลาไปหาลูกค้าหน้าตาก็ต้องจัดการแต่งหน้าให้เรียบร้อยด้วย ชีวิตวุ่นวายมาก แต่ประเด็นคือถึงแม้ว่าจะวุ่นวาย พี่ก็รู้สึกชอบมัน สนุกกับงาน”

ดังนั้น ต้องหางานที่ชอบก่อนอย่างแรก ซึ่งจะบอกคนอื่นอยู่ตลอดว่า ชอบเรื่องอะไร ถ้าชอบกิน ชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป ก็ทำให้มันเป็นเงิน แต่ทุกคนก็ไม่ได้โชคดีอย่างนั้น เพียงค้นหาสิ่งที่ชอบ หากวันไหนท้อหรือเหนื่อยก็พัก

“อย่างการพักผ่อนของพี่คือ อยู่ในโรงแรมดีๆ นอน ตื่นมาเดินลงทะเล กินแล้วก็นอนชาร์จแบตฯให้พร้อมกลับมาทำงาน ซึ่งจะพยายามหาเวลาพักผ่อนให้ได้ประมาณ 3 เดือนครั้งหนึ่ง หรือเป็นช่วงพักผ่อนยาว หายไปเลย อย่างช่วงสงกรานต์หรือปีใหม่ ก็จะไปเที่ยวเมืองนอกของพี่อะไรไปเรื่อยเปื่อย“

ประเทศที่ประทับใจไปทุกปี จนเหมือนบ้านหลังที่สอง คือประเทศญี่ปุ่น เพราะไม่ไกลมาก อาหารอร่อยทุกร้าน อีกทั้งยังปลอดภัยมาก ไม่มีขโมย ชนิดที่ของวางทิ้งไว้กลับมาก็ยังอยู่ที่เดิม และสถานที่ทุกอย่างสวย ชอปปิ้งสนุก การเดินทางรวดเร็วสะดวก ซึ่งทุกครั้งก็ไม่ได้ไปคนเดียว อาจจะไปกับพ่อแม่ ไปกับพี่ชาย หรือไปกับแก๊งเพื่อนสนิท

หรือเวลาว่างเวลาอยู่บ้านก็จะชอบอ่านหนังสือ แล้วก็พยายามสวดมนต์ก่อนนอน นั่งสมาธิตอนตื่นนอนด้วย ซึ่งก็ทำให้เรามีสมาธิกับการทำงาน ทำให้เรานิ่งขึ้น นอกจากนี้ เหมียวจะเป็นคนชอบทำอาหารมาก โดยเกิดจากตอนเด็กๆ เป็นคนใจร้อน

“เวลาแม่บอกให้พี่เลี้ยงทำกับข้าว ถ้าทำช้าก็จะสงสัย เข้าไปถามว่าทำยังไง แล้วก็ลงมือทำเอาเลยเพราะอยากกินเร็วๆ ตั้งแต่เด็กผัดผักเก่งที่สุดในบ้าน มั่นใจมาก โตขึ้นไปอยู่เมืองนอกก็ทำอาหารเอง อร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง แต่พอหลอกเพื่อนฝรั่งมากินก็อร่อยหมด (หัวเราะ) ทำผิดทำถูก เคยทำแกงเขียวหวาน ใช้เครื่องแกงที่ไม่เคยใช้เลยไม่รู้ว่ามันเผ็ดมาก ก็ใส่ไปเต็มที่ ปั่นจักรยานไปซื้อนมมาเติมแก้จนน้ำแกงเขียวหวานใสโจ๊กเลย แต่เพื่อนฝรั่งกินแล้วบอก อร่อยมาก แต่ไม่รู้ว่าโดนหลอกแล้ว ทำอะไรให้ฝรั่งกินอร่อยทั้งนั้น”

เมื่อถามถึงไอดอลในดวงใจ เหมียวตอบว่า เรื่องของไอดอลเป็นเรื่องที่รู้สึกว่า คนไทยมีค่านิยมที่แตกต่างไปจากเดิม คือทุกวันนี้ถ้าถามใครเป็นไอดอลก็จะบอกเป็นดารานักร้อง แค่สวยหล่อก็เป็นไอดอลได้แล้ว คือคิดว่าน่าจะต้องมีอะไรมากกว่านั้น

ไอดอลคนแรกคือ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ซึ่งเคยทำงานกับท่านอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากที่ได้คุย ได้ทำงาน ศึกษาประวัติ ก็รู้สึกว่านี่คือสุดยอดของคนที่ควรได้รับการยกย่องนับถือ ไม่ใช่เพราะว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์นาซา อย่างที่คนเขาเข้าใจกัน

“จริงๆ แล้วคือท่านจะไปทำอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่นาซาต่อก็ได้ แต่ท่านเลือกที่จะกลับมาทำอะไรให้เมืองไทย ท่านสร้างโรงเรียนสัตยาไสย ทำมูลนิธิสัตยาไสย ท่านเล่านิทานให้เด็กฟังด้วยตัวเองทุกเช้าถ้าท่านอยู่เมืองไทย เคยมีคนสัมภาษณ์ท่านว่าถ้าตายไปแล้ว ท่านอยากไปที่ไหน ท่านบอกว่าอยากไปนรก เพราะคนบนสวรรค์สบายดีอยู่แล้วจะไปช่วยทำไม”

อีกคนคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกตลอดเวลา เป็นคนรวยอยู่อย่างสมถะ บ้านราคาแค่เจ็ดแสนเหรียญ อีกทั้งยังเป็นคนทำให้บิลเกตส์ตั้งกองทุน Bill & Melinda Gates Foundation ขึ้นมา ในทัศนคติที่ว่า ถ้ารวยขนาดนี้แล้วไม่ทำอะไรเพื่อช่วยคนอื่นก็เหมือนเสียชาติเกิด

“บอกได้เลยว่าคนแบบนี้ เกิดตายกี่ชาติก็ไม่มีวันจน เพราะจิตคิดแต่ให้ และรู้สึกว่าสังคมไทยต้องการคนแบบนี้มากขึ้น เพื่อเป็นแบบอย่างให้คนเห็น“





“คุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ว่าเก่ง สวย รวย หรือดัง แต่อยู่ที่คุณรู้ตัวว่าคุณมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นมากแค่ไหน ถ้าไม่ทำอะไรให้คนอื่นเลย ชีวิตคุณก็ไม่มีค่า”


อัจฉริยา สินรัชตานันท์




กำลังโหลดความคิดเห็น