xs
xsm
sm
md
lg

ลอตเตอรี่แพง!!! ขยะใต้พรมที่ไม่มีใครยอมกวาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หวยออนไลน์กำลังมา หวยใต้ดินก็ยังอยู่ ส่วนหวยรัฐบาลหรือลอตเตอรี่ก็จะพิมพ์เพิ่มอีก 14 ล้านใบ หวยกำลังเบ่งบานเกลื่อนเมืองไทย

ไม่แปลกใช่ไหม หากลอตเตอรี่คุณที่ซื้อมาจะราคาแพงกว่าที่เขียนไว้บนกระดาษสัก 10-20 บาท เพราะที่ผ่านมา ทุกแผงก็ขายอย่างนี้อยู่แล้ว แต่อย่างว่า หลายคนก็อาจจะรู้สึกข้องใจอยู่ว่า เมื่อราคามันมีให้เห็นอยู่ตำตาซะขนาดนี้ แล้วเหตุไฉนบรรดาแผงถึงยังกล้าขายเกินราคากันอีก

จากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เอง ทำให้ช่วงนี้ราษฎรไทยหลายๆ คนได้ยินข่าวแปลกๆ จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลว่า ตอนนี้มีความพร้อมเต็มที่ที่จะแก้ไขปัญหา โดยได้เตรียมแผนงานเอาไว้มากมาย ตั้งแต่การพิมพ์สลากเพิ่มอีก 14 ล้านใบ

โดยตั้งความหวังเอาไว้ว่าเมื่อสลากฯ กระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ แล้ว ราคาสลากก็จะถูกลงตามหลักอุปสงค์-อุปทานที่เมื่อมีสินค้าเยอะเกินความต้องการ ราคาก็จะถูกลง โดยลืมไปว่าที่หน้ากองสลากฯ เองก็มีแผงขายลอตเตอรี่ตั้งเรียงรายกว่า 40 แผง แต่ไม่เห็นจะมีการแข่งขันกันลดราคาเลย แถมแต่ละรายก็ยังขายกันในราคาแบบบวกบวกอยู่ดี หรือแม้แต่นโยบายเร่งด่วนอย่างเลื่อนวันออกสลากไปอีกวัน หวังจะให้ผู้ซื้อมีเวลามากขึ้น แต่ทำไปทำมาก็ได้ผลเพียงงวดเดียวเท่านั้น

และจากนโยบายที่เกิดขึ้นนี้เอง ส่งผลให้สังคมเกิดคำถามตามมามากมาย โดยเฉพาะจากคนที่อยู่แวดล้อมวงการสลากกินแบ่งเองว่า ขณะนี้สำนักงานฯ กำลังทำอะไรอยู่ แล้วสิ่งที่ทำจะได้ผลอย่างที่จะคุยเอาไว้หรือไม่

คนซื้อทำใจสลากราคาแพง

ใหญ่ (นามสมมติ) ผู้ซื้อสลากกินแบ่งของรัฐบาลมาอย่างนาน กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้ว เข้าใจว่าทำไมลอตเตอรี่ถึงราคาแพง เพราะจากที่รู้มาการขายลอตเตอรี่ไม่ได้เป็นเรื่องของสำนักงานสลากฯ กับแผงเท่านั้นแต่ยังมีกลุ่มพ่อค้าคนกลาง ยี่ปั๊ว ซาปั๊วด้วย

“มันก็คงแบบนี้กันหมด อย่างถ้าเราไปซื้อกับคนพิการราคาก็ไม่ต่างกันนะ ผมเคยถามว่าทำไมถึงแพงจัง คนขายก็อ้างว่าไปรับมาแพง ผมคิดว่าเรื่องนี้รัฐควรแก้ไขโดยด่วน โดนเฉพาะเรื่องคนกลาง เพราะพวกนี้ทำให้ลอตเตอรี่แพงขึ้น เพราะกว่าจะมาถืงมือคนขายรายย่อย มันก็คงผ่านมือพวกนี้มาหลายทอดแล้ว”

ส่วนเรื่องนโยบายการพิมพ์ลอตเตอรี่เพิ่มอีก 14 ล้านฉบับของสำนักงานฯ นั้น ใหญ่มองว่า ไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าใด เพราะไม่เห็นถึงความจำเป็น และที่สำคัญคงจะแก้ไม่ได้ผลด้วย ทางที่ดีสำนักงานฯ เองก็ควรจะใช้กลไกการจัดจำหน่ายมาช่วยจัดการปัญหามากกว่า

“ตอนนี้ลอตเตอรี่ก็เยอะแล้ว แต่อย่างว่าช่วงนี้รัฐบาลกำลังหาเงิน แล้วเงินตรงนี้มันง่าย และได้แน่ๆ แถมความต้องการก็สูง เมื่อเป็นแบบนี้ รัฐก็เลยถือโอกาสพิมพ์เพิ่มซะเลย แต่โดยส่วนตัว ผมคิดว่าไม่น่าจะทำให้ลดราคามันลงได้ เพราะกว่าจะถึงมือผู้บริโภคอย่างเราๆ ผมเชื่อว่ามันคงต้องผ่านคนขายหลายชั้นมาก ไม่อย่างนั้นราคามันจะเพิ่มเป็น 110 บาทหรอก แล้วอย่างคนซื้อเอง ถึงลอตเตอรี่จะแพงถึงขนาดไหน ก็ซื้ออยู่ดี เพราะมันเป็นความหวัง แม้ว่าบางครั้งจะมีการโก่งราคาก็ตาม”

เรื่องนี้มีเบื้องหลัง!!

เมื่อพูดถึงคนซื้อ ก็ต้องหันมาดูขายกันบ้าง ผู้ขายหวยบนดินย่านฝั่งธนฯ คนหนึ่ง ซึ่งครอบครัวขายลอตเตอรี่มาตลอด แต่เธอเลือกที่จะไม่ขาย เล่าว่า จริงๆ แล้วการขายลอตเตอรี่นั้นเหนื่อยมาก กำไรน้อย แถมยังมีเรื่องซับซ้อนอีกมาก

“ตอนนั้นหันมาขายหวยบนดิน ไม่ได้ไปรับที่กองสลากฯ เหมือนกับลอตเตอรี่ ที่เลือกมาขายหวยบนดินแทนลอตเตอรี่ เพราะว่าระบบยี่ปั๊วของลอตเตอรี่นั้นซับซ้อนมาก แล้วพวกนี้จะเข้าหาการเมือง ถ้าพรรคไหนขึ้นมามีอำนาจ ก็จะวิ่งเข้าไปหาทันที”

เมื่อถามว่า หากกองสลากฯ ออกสลากเพิ่มอีก 14 ล้านใบ จะช่วยทำให้แก้ปัญหาความซับซ้อนนี้ได้ไหม เธอก็ตอบทันทีว่า ‘ไม่’

“สลากที่จะออกมาใหม่ 14 ล้านใบนั้น ได้ยินมาว่ามีกลุ่มคนที่เป็นเด็กนักการเมืองเข้าไปจัดการ ทีแรกบอกว่าจะพิมพ์ออกมาแค่ 5 ล้านใบ เพราะกลัวว่าถ้าออกมาทีเดียว 14 ล้านใบเลย สลากจะเหลือ แต่ความจริงแล้ว จะออกมาเท่าไรก็ไม่มีผลกระทบเลยนะ เพราะปริมาณความต้องการของตลาดตอนนี้มันสูงมาก คนเล่นหวยนั้นไม่มีหวยพอจะเล่นอยู่แล้ว คิดดูหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัวนั้นออกมางวดๆ หนึ่งเกือบร้อยหมวด หมวดละเป็นล้านใบ ก็ยังไม่พออยู่ดี มั่นใจเลยว่า 14 ล้านใบนี้ขายหมดแน่นอน ราคาลงมาบ้างนะ แต่ก็เป็นเพียงแค่ 2-3 งวดแรกเท่านั้น คนขายเขาปรับตัวได้แน่ แรกๆ ระบบอาจจะรวนไม่เข้ารูปแบบ”

อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหามาตลอดของการขายลอตเตอรี่ก็คือ เจ้ามือรายใหญ่ซึ่งมีอิทธิพลต่อตลาดมาก โดยกลุ่มคนพวกนี้จะพยายามดึงโควตาของรายย่อยมาไว้กับตัวเอง ด้วยการใช้กลไกตลาดกดดัน ซึ่งในสมัยของ นายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.กระทรวงการคลัง ก็เคยพยายามกำจัดบุคคลเหล่านี้ออกไป แต่ทำไม่สำเร็จ

“พวกยี่ปั๊วรายย่อยมารับสลากจากกองสลากโดยตรง ใบละราวๆ ไม่เกิน 76 บาท แต่พวกรายใหญ่เนี่ยเขาก็อยากได้ส่วนตรงนี้ เขาก็เลยยอมทุ่ม ตัดราคารายย่อยเลย เช่นถ้าลูกค้าปลีกมาซื้อลอตเตอรี่จากเขา เขาก็จะขายให้ใบละ 73 บาท เขายอมขาดทุนไปเลยใบละ 3 บาท พอ 6 งวดรายย่อยก็ขายไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องยอม เลิกขายไปเอง อย่างพี่สาวที่ขายลอตเตอรี่อยู่เหมือนกันก็เคยได้โควตาลอตเตอรี่ แต่เขาก็ต้องเอาทั้งหมดไปให้เจ๊สะเรี่ยง (ยี่ปั๊วรายใหญ่คนหนึ่ง) หมดเลย เซ็นใบมอบอำนาจให้เลย ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้”

สุดท้าย อดีตคนขายหวยยังกล่าวสำทับอีกว่า การแก้ปํญหาสลากเกินราคานั้น เป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่ายากเสียอีก และเชื่อว่าไม่มีทางจะแก้ไขได้แน่นอน

“ขาใหญ่นั่น เขารู้ถึงขั้นที่ว่ารายย่อยที่ได้โควต้ามีใครบ้าง โทรศัพท์มือถือเบอร์อะไร แล้วยังคิดว่าจะแก้ปัญหาสลากแพงได้หรือ? และข้อเสนอที่ขาใหญ่เสนอมานั้นก็เป็นข้อเสนอที่ดีกว่า เราไม่ต้องตรากตรำขาย มีกำไรแน่นอน รายย่อยรับมา 76 บาท ขณะที่ขาใหญ่เขารับต่อจากเราซื้อหมดใบละ 81 – 82 จากนั้นก็เอาไปขายในราคาเป็นร้อยเหมือนเดิม เพราะของทั้งหมดอยู่ในมือเขา เขาสามารถกำหนดราคาตลาดได้”

‘รับตรง ทำไมยังแพง’

หากพูดถึงลอตเตอรี่แล้ว ก็คงอดพูดถึงคนตาบอดไม่ได้ เพราะที่ผ่านคนตาบอดนั้นเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ทางการค้าของคนขายลอตเตอรี่ก็ว่าได้ จากข้อมูลที่ทราบพบว่า ที่ผ่านมาสำนักงานสลากฯ ได้จัดสรรลอตเตอรี่ให้กับคนพิการงวดหนึ่ง ประมาณ 10 ล้านใบ เพราะฉะนั้นหากนโยบายพิมพ์สลากเพิ่มเกิดขึ้น คนตาบอดก็คงเป็นหนึ่งในผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้แน่นอน

สมชาย ปัญญ์เอกวงศ์ ประธานที่ปรึกษาสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย มองประเด็นนี้ว่า หากสำนักงานฯ ทำเพื่อแก้ปัญหาลอตเตอรี่ขาดตลาดก็คงได้ผล แต่ถ้าเป็นปัญหาเรื่องราคาก็อาจจะหมดหวัง

“พิมพ์เพิ่มก็โอเค แต่เรื่องอย่างนี้ ผมว่าอยู่ที่การจัดสรรและการจัดจำหน่ายมากกว่า เพราะทุกวันนี้ผลประโยชน์แทบไม่ได้ตกไปถึงคนตาบอกดเลย เข้ามือพวกยี่ปั๊วหมด ขณะนี้สมาคมฯ ก็กำลังแก้ไขปัญหานี้อยู่ ด้วยทำข้อเสนอถึงคณะกรรมการกองสลากฯ ว่าไม่ควรให้ยี่ปั๊วมารับสลากก่อน 2 วัน เพราะพวกนี้จะชอบรวมลอตเตอรี่เป็นชุดๆ แล้วขายในราคาแพง ทางที่ดีผมว่ากองสลากน่าจะให้พวกยี่ปั๊วมารับสลากหลังวันดีกว่า”

ขณะเดียวกัน สมชายยังกล่าว ถึงเรื่องราคาขายสลากของคนตาบอดที่สูงเท่ากับกลุ่มผู้ค้าปกติที่รับจากยี่ปั๊ว ทั้งๆ ที่กลุ่มคนพิการได้รับสลากโดยตรงจากสำนักงานฯ ว่าต้องทำก็เพราะระบบตลาดมันเป็นอย่างนั้น

“จริงๆ เราก็คิดนะ ที่ผ่านทางสมาคมฯ เองเคยเอาลอตเตอรี่มาขายปลีกเอง แบบเอาโต๊ะมานั่งหน้าสมาคมฯ พอวางปุ๊บ คนที่ผ่านไปมาก็มาซื้อไปหมด เหมือนเข้าคิวซื้อตั๋วแล้วเอามาขายเกินราคาอย่างนั้นเลย หรือไม่บางที อาจจะมีคนไปรับซื้อจากคนตาบอดต่ออีกที ซื้อแบบมาดึงไปหมดทั้งเล่มแล้วเอาไปขายต่อ คือผมว่าเราต้องเข้าใจความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เรื่องอย่างนี้มันเป็นนิสัยส่วนตัว”

แก้ไม่ตรงจุด ทำยังไงก็ไม่หาย

หลังจากฟังความเห็นของผู้เกี่ยวกับกับวงการสลากมาหลายคนแล้ว คราวนี้ลองมาฟังความเห็นจากนักวิชาการกันบ้าง รศ.ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเคยทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสลากกินแบ่งของรัฐบาลกับสังคมไทยมาก่อน มองว่า การแก้ปัญหาที่ได้ผลจริงๆ ต้องแก้ที่ต้นตอของปัญหา

อย่างเรื่องสลากกินแบ่งมีราคาสูงเกินกว่าราคาจริง หากมองกันต้นเหตุจะพบว่าปัญหาทั้งหมดนั้น เกิดมาจากกลุ่มยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางรับสลากจากสำนักงานสลากฯ ไปยังกลุ่มผู้ค้ารายย่อยทั่วประเทศนั้น คอยปั่นราคาสลากให้สูงขึ้นกว่า

“กลุ่มคนพวกนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 กลุ่ม ถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลมากๆ เพราะผูกขาดสัมปทานการรับส่งสลากมาตลอด จนเรียกได้ว่าเป็นมรดกเลยก็ได้ คนพวกนี้ถือเป็นผู้กำหนดราคาตัวจริง ไม่ใช่กองสลากฯ อย่างที่ทุกคนเข้าใจ ราคาที่ขายแพงๆ อย่างทุกวันนี้ก็มาจากคนเหล่านี้แหละ ที่บวกราคา หวังกินกำไรมากๆ เช่น สลากราคา 40 บาท กลุ่มพวกนี้อาจจะรับมา 37 บาท แล้วปล่อยต่อที่ราคา 45 บาท ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ไปเต็มๆ ก็คือคนขายรายย่อยนั่นเอง เพราะทำให้เขาขายสลากได้ยากขึ้น ส่วนพวกยี่ปั๊วก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะได้เงินไปเรียบร้อยแล้ว”

หากจะว่าจริงๆ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่หมักหมมอยู่วงการลอตเตอรี่มานานแล้ว และที่ผ่านมาก็ไม่มีใครมาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังเสียที เพราะสำนักงานสลากฯ ทำมาตลอดนั้นคือการแก้ปัญหาแบบอ้อมๆ ไม่ตรงจุด และไม่จริงใจ จึงทำให้ปัญหาไม่หมดไปเสียที

“จริงๆ แล้วการปัญหาด้วยวิธีพิมพ์สลากเพิ่มก็มีมาตลอดนะ และก็ไม่เคยแก้ปัญหาได้เลยสักครั้งเดียว ถ้าจะให้พูดกันตามตรง เชื่อว่าที่กองสลากเลือกใช้วิธีนี้ ก็เพื่อลดแรงเสียดทานของสังคม ลดข้อเรียกร้องของสังคม ที่ต้องการให้กองสลากหาวิธีอะไรก็ได้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งกองสลากก็หยิบวิธีนี้มาใช้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วไม่ได้ผล”

นอกจากนี้ อีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้มาตรการนี้ไม่สำเร็จ ก็คือธรรมชาติของคนที่ซื้อลอตเตอรี่เอง เพราะปกติแล้วคนทั่วไปก็มักจะซื้อลอตเตอรี่ที่ตัวเองถูกใจเป็นหลัก โดยไม่ได้สนใจว่าราคานั้นจะเป็นเท่าไหร่ ยิ่งในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางดี ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ได้ซื้อเป็นประจำ แต่จะซื้อเฉพาะในช่วงที่เป็นวันพิเศษ เช่นวันเกิด วันปีใหม่ ก็จะยิ่งไม่ให้ความสำคัญเลย ขณะที่คนที่ซื้อเป็นประจำอยู่แล้ว หลายๆ คนก็มักจะซื้อแผงประจำกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถึงแผงจะขายเกินราคาก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อแต่อย่างใด

“สลากกินแบ่งถือเป็นสินค้าที่แปลกว่าสินค้าอื่นๆ คือสินค้าโดยทั่วไป พอราคาสูงคนก็ไม่อยากซื้อ แต่สลากฯ ไม่ใช่ เพราะถึงราคาจะสูงสักเท่าไหร่ ยอดขายก็ไม่ตก เพราะคนก็ยังซื้ออยู่วันยันค่ำ”
..........

ปัญหาลอตเตอรี่แพงดูเหมือนจะแก้ยากกว่าที่คิด เพราะเมื่อปัญหานั้นซับซ้อน และผู้มีรับผิดชอบเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยการซุกปัญหาอยู่ใต้พรม และทำงานแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ สิ่งสกปรกต่างๆ ก็คงไม่มีทางได้รับการชำระอย่างแน่นอน แล้วยิ่งมาเจอมาตรการการแก้ไขปัญหาแบบนี้ สิ่งที่ทุกคนทำได้ก็คือ ก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมกันต่อไป และนึกว่าข่าวที่ได้ยินเป็นแค่ลมเบาๆ ที่ผ่านไป ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรับฟัง

การแก้ปัญหาที่น่าจะได้ผลมากที่สุด คงไม่ใช่การแก้ไปตามจุดแบบนั้น หากแต่ต้องแก้ที่คนเสียก่อน หากคนเรามีจิตสำนึกเพียงพอ ไม่นึกจะเอาเปรียบคนอื่นแล้วอย่างที่ทำอยู่ อะไรๆ ก็คงจะง่ายขึ้นกว่านี้แน่นอน

และไม่แน่ สุดท้ายแล้วหวยออนไลน์ที่เพิ่งผ่านสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไป เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2552 ก็อาจจะเป็นอัศวินม้าขาว ในการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วย เพราะคนก็อาจจะแห่ไปซื้อหวยออนไลน์ จนทำให้ลอตเตอรี่ขายไม่ได้ และต้องลดราคาลงในที่สุด

*************

เปิดหน้ากากนายหน้าหวย

ทุกวันสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้พิมพ์สลากแต่ละงวดจำนวน 46 ล้านฉบับ โดยจัดสรรให้กับองค์กรการกุศล อย่างสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย หรือองค์การทหารผ่านศึก จำนวน 16 ล้านฉบับ ส่วนอีก 30 ล้านฉบับแบ่งขายให้แก่ตัวแทนจัดจำหน่วย โดยมีผู้รับซื้อรายใหญ่ที่รู้จักกันดีในแวดวงลอตเตอรี่ 2 ราย คือ ‘เจ๊แดง’ และ ‘เจ๊สะเรี่ยง’ ดำเนินงานผ่าน 5 บริษัท คือ บริษัทสลากมหาลาภ จำกัด บริษัท ไดมอนล็อตโต จำกัด บริษัท หยาดน้ำเพ็ชร จำกัด บริษัท ปลื้มวัฒนา จำกัด และบริษัท บีบีเมอร์ชานส์ จำกัด ตั้งแต่ปี 2539 โดยกลุ่มตัวแทนเหล่านี้จะได้สลากในราคา 9 เปอร์เซ็นต์จากราคาหน้าตั๋ว ตกใบละ 37 บาท หรือคู่ละ 74 บาท

ที่ผ่านมา 2 เจ๊ 5 บริษัทนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาลอตเตอรี่มาตลอด และมีความพยายามหลายๆ ครั้งที่จะกำจัดกลุ่มอิทธิพลนี้ไปให้ได้ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง เพราะคนกลุ่มนี้ถือเป็นผู้ใกล้ชิดและมีบทบาทสำคัญในทุกรัฐบาล

แต่เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีข่าวว่ารัฐบาลกำลังรื้อแนวคิดที่จะล้างไพ่ตัวแทนผู้จัดจำหน่ายเสียใหม่กลับมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้สำเร็จได้ อย่างที่ตั้งใจหรือไม่

*************
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK





กำลังโหลดความคิดเห็น