กลับมาอีกครั้งกับผู้ได้รับฉายาว่า “เจ้าพ่ออินดี้” จากกลุ่มแฟนคลับการ์ตูนของ “The Duang” (เดอะดวง) หรือ วีระชัย ดวงพลา นักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่ไฟแรง และลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจากนักเขียนการ์ตูนรุ่นเดอะอย่าง เรืองศักดิ์ ดวงพลา คุณพ่อซึ่งมีผลงานที่ได้รับรางวัลมาแล้ว อาทิ ยายทองใบใจร้าย , โต๋เต๋ , สุภาพบุรุษชื่อกุหลาบ สายประดิษฐ์ , หนูน้อยคำแพง และอื่นๆ อีกมาก
ด้วยอายุเพียง 22 ปี เดอะดวง เจ้าของผลงานการ์ตูนรวมเล่มชื่อดังหลายชุด กำลังเป็นที่จับตาของผู้อ่านทุกเพศทุกวัย และเชื่อว่าหลายคนต้องอยากรู้จักตัวตนของคน คนนี้ว่าอะไร ทำให้เขาโดดเด่นจากคนนับล้านและอาจเป็นแรงบันดาลใจแก่กลุ่มวัยรุ่นที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนเช่นเขาด้วย
ก้าวเดินบนเส้นทางนักเขียนการ์ตูน
เริ่มแรกก่อนจะก้าวเข้าสู่วงการการ์ตูนอย่างจริงจังนั้น คุณพ่อของเขาไม่ได้ให้การสนับสนุนเท่าใดนัก เนื่องจากในช่วงที่คุณพ่อของเขาทำงานนั้นเป็นระยะบุกเบิกของการ์ตูนไทย จึงค่อนข้างจะลำบาก แต่เดอะดวงยังยืนยันที่จะเลือกเดินทางสายนี้ ด้วยความรักและสนุกที่ได้ทำ
“งานของผมกับพ่อก็คนละสไตล์กัน พ่อบอกว่าให้ลดความแรงของการ์ตูนลงบ้าง ในช่วงของ Shockolate ที่ตอนนั้นคิดว่าอยากเขียนแบบเอามัน แต่อย่างในขายหัวเราะก็จะเน้นเรื่องเบาๆ ให้ข้อคิดมากกว่า”
เมื่อถามถึงแนวการ์ตูนสุดโหด เชิงเสียดสีสังคมเล็กๆ ของเขาแล้ว เดอะดวงก็ให้ความเห็นว่าหนังสือการ์ตูนแนวเตะต่อยปล่อยพลังมีอยู่เยอะพอสมควร หากเขียนซ้ำอีกก็อาจสู้ญี่ปุ่นไม่ไหว จึงต้องพยายามค้นคว้า ค้นหาสไตล์ใหม่ และเลือกเขียนเกี่ยวกับสังคม ซึ่งสื่อถึงคนอ่านได้ชัดและเข้าถึงได้ง่าย แม้จะดูโหดร้ายแต่ก็เป็นเรื่องจริงอยู่พอสมควร
เดอะดวง เล่าว่า แต่ละคนที่จะเป็นนักเขียนการ์ตูน เหมือนจะต้องมีไอดอล เป็นแรงบันดาลใจ คนที่เป็นแรงจูงใจให้อยากทำด้านนี้ ซึ่งไอดอลของเดอะดวงคือ อ.เออิจิโระ โอดะ ผู้เขียนการ์ตูนเรื่อง One Piece การ์ตูนญี่ปุ่นแนวแอ็กชันผจญภัย เรียกว่าเป็นแรงผลักดันจากการ์ตูนที่ ’ใช่เลย’ ทำให้เขาอยากเขียนการ์ตูนแบบจริงๆ จังๆ แต่ถ้าเป็นการ์ตูนเรื่องแรกที่ชอบคือ Dragonball-Z ซึ่งเขาคิดว่าเป็นการ์ตูนที่เด็กผู้ชายต้องดูมากๆ
ชิล...ชิล สไตล์เดอะดวง
ปกติแล้วเขาจะเป็นคนสมาธิสั้น จึงเลือกที่จะหาแรงบันดาลใจในการคิดเรื่องจากการอ่านหนังสือการ์ตูนทั้งของญี่ปุ่นและของฝรั่งอย่าง Marvel พวก X-Men หรือ Spiderman แต่ในช่วงหลังนี้จะเน้นศึกษาพวกงานอาร์ตเวิร์ก ภาพกราฟิกต่างๆ มากกว่า เพราะงานประเภทนี้ให้ไอเดียได้มากทีเดียว
“บางครั้งก็เลือกที่จะดูการ์ตูนดูหนัง ซึ่งจะชอบหนังอินดี้มากกว่าหนังตลาดทั่วไป แต่ถ้าถามว่าดูได้ไหม ก็ดูได้หลายแนวอย่างล่าสุดไปดูแอนิเมชันเรื่อง Up มาก็เรียกน้ำตาได้เหมือนกัน หรือหนังตลาดที่โดนสุดๆ เห็นจะเป็น Fight Club แล้วก็ Slumdog Millionaire ที่ดูมาก่อนที่จะเอาเข้ามาฉายในไทยเสียอีก”
วันว่างๆ ของเดอะดวง เขามักจะไปเดินร้านหนังสือ Kinokuniya ที่พารากอน หาแรงบันดาลใจจากหนังสือหลากหลายแนว หรือไม่ก็เดินเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ให้ความรู้สึกติดดินมากกว่า และมีการเปลี่ยนดิสเพลย์บ่อยๆ มีอะไรแปลกๆ ให้เขาได้ดูอยู่เสมอ
เดอะดวงยังย้ำว่า หากเขาไม่ออกไปเปิดรับไอเดียใหม่ๆ บ้าง ก็อาจต้องเจอกับปัญหาอมตะของนักเขียนคือ การคิดเรื่องไม่ออกหรือเรื่องตัน ซึ่งถ้าคิดไม่ออกแล้วพยายามคิด ก็จะยิ่งคิดไม่ออก วิธีแก้ปัญหาแบบชิล...ชิล ตามสไตล์เดอะดวง ก็คือการพักผ่อนนอนหลับ หรือดูหนังฟังเพลงนั่นเอง
ยากไหม...ถ้าจะเป็นนักเขียนการ์ตูน
นั่งคิดอยู่อึดใจ เดอะดวงก็ตอบว่า นักเขียนการ์ตูนนั้นจะเริ่มจากความชอบก่อน ซึ่งการ์ตูนในระยะแรกๆ อาจจะยังไร้รูปแบบ ไร้รูปลักษณ์ จึงต้องมีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ รวมไปถึงการหาความรู้หรือเทคนิคเกี่ยวกับการวาดทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าคิดทำแบบจริงๆ จังๆ ชนิดแข่งขันกับต่างประเทศได้ด้วย
ส่วนเรื่องการเรียนโปรแกรมต่างๆ อย่างการใช้โปรแกรม Photoshop ในการลงสี เขาก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งขั้นตอนการวาดคือวาดด้วยมือแล้วสแกนเข้าไปทั้งหมด แต่ถ้าใครอยากเห็นฝีมือการวาดและลงสีในคอมพิวเตอร์ของเดอะดวง ก็ต้องอ่านการ์ตูนเรื่องสั้นด้านหลังของเล่ม Black & White เอา
อีกทักษะหนึ่งที่จำเป็นต่อการเป็นนักเขียนคือ ความอดทน โดยเฉพาะในช่วงที่งานเข้ามาพร้อมๆ กัน ทำให้ต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ได้ เพราะอาชีพนี้เรื่องเวลาถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ หลักการบริหารเวลาของเขาคือเรียงลำดับก่อนหลัง ความสำคัญของงาน อันไหนน่าจะเสร็จก่อน งานไหนน่าจะเสร็จเร็วกว่า ซึ่งตรงนี้จะแสดงถึงความรับผิดชอบงานได้อย่างชัดเจน
หัดวาดการ์ตูนให้เหมือนกินข้าว
หนึ่งในประโยคคมๆ ที่เดอะดวงเคยประทับไว้ในใจแฟนคลับ แต่ทว่า...มันหมายถึงอะไรกัน?
“หมายถึงการเปรียบเทียบกับคน ชีวิตที่คนขาดข้าวขาดอาหารไม่ได้ ถ้าวาดการ์ตูนให้เหมือนกินข้าว ให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ยังไงก็พัฒนาแน่นอน ว่างเป็นจับมาเขียนๆ เหมือนตอนเด็กๆ ผมจะเป็นอย่างนั้น ตามสมุด หนังสือเรียน ก็มีวาดแทรกๆ ไว้ตลอด ผมว่านักเขียนการ์ตูนน่าจะเป็นกันทุกคน”
นอกจากนี้ การมีลายเส้นของตัวเองคือสิ่งสำคัญ เปรียบเป็นการสร้างเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมา โดยอาจเริ่มจากการหาไอดอลที่ชอบก่อน
“อย่างผมที่ชอบ One Piece ช่วงแรกๆ ก็วาดตามลายเส้นเขา แล้วมารู้สึกตัวตอนที่ คนจะพูดบ่อยๆ ว่าเหมือน One Piece จังเลยนะ... ได้ยินอย่างนั้นก็คิดว่าไม่อยากเหมือนแล้ว อยากหาลายเส้นของตัวเองให้เจอ จึงพยายามฝึกวาดทุกวัน ค่อยๆ เปลี่ยนนั่นนิดนี่หน่อย ตาจมูกปาก จนทุกอย่างลงตัว ซึ่งคนส่วนใหญ่จะชอบพูดเรื่องลายเส้น มุมภาพ มุมกล้อง สไตล์การเล่าเรื่อง และการจบเรื่องแบบหักมุมคือจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร”
ส่วนขั้นตอนการวาดการ์ตูนสักเรื่องนั้นไม่ได้ซับซ้อนมากนัก โดยต้องคิดเรื่องก่อนว่าต้องการสื่อถึงอะไร จากนั้นให้เขียนเรื่องขึ้นมา แล้วร่างเป็น story board ทำให้ชัดเจนขึ้น แล้วจึงลงมือวาดตัดเส้นตามขั้นตอนต่อไป
บันไดขั้นต่อไป
“ตอนนี้ผมอยากจะทำการ์ตูนที่ดีที่สุดออกมาสักเรื่อง คิดว่าคงจะเป็นเรื่องแนวความรัก เพราะผมอยากทำให้ครบทุกอารมณ์จากหลายๆ เรื่องที่เคยทำมา ให้อยู่ในเรื่องๆ นี้ ส่วนต่อจากนั้นก็อยากทำงานด้านโฆษณาพวกแอนิเมชัน หรือเขียนบทหนัง อยากลองทำแนวนั้นบ้าง”
อีกหนึ่งความใฝ่ฝันของเดอะดวงคือ อยากให้คนทั้งโลกได้รู้จักเหมือนกับหลายๆ คน แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ งานต้องถึงด้วยคุณภาพเหมือนกัน และต้องขึ้นอยู่กับบริษัทที่สังกัดว่าจะสามารถสนับสนุนให้ไปถึงตรงนั้นได้หรือไม่ ซึ่งช่วงนี้เขามีโปรเจกต์แอนิเมชันสั้นๆ เป็นสปอตก่อนเข้ารายการของ MTV คาดว่าแฟนๆ จะได้ชมกันในช่วงเดือนธันวาคมนี้
ส่วนเรื่อง Shockolate project 2 เดอะดวงแอบเปรยมาว่า ในเล่มนี้จะมีอะไรที่ซับซ้อนขึ้น โดยตั้งใจให้เป็นเรื่องราวของ Messenger ส่งของเป็นตัวดำเนินเรื่องซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับช็อกโกแลต แบ่งเป็นตอนสั้นหลายตอนที่มีจุดเชื่อมกันเป็นเรื่องเดียว แต่งานนี้ต้องรอถึงช่วงปลายปีหน้าทีเดียว
ก่อนจะจบการสนทนา เดอะดวงขอฝากแนวคิดเล็กๆ น้อยๆ ถึงคนอ่านด้วย
“ในเวลานี้จะมีคนที่อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นแล้วจะแอนตี้การ์ตูนไทย ผมก็เข้าใจอารมณ์อยู่นะ แต่ก็อยากให้ลองเปิดใจ หยิบการ์ตูนไทยมาอ่านบ้าง ให้รู้ว่าการ์ตูนไทยของเราก็มีดีเหมือนกัน และสุดท้ายสำหรับคนที่อยากจะหันมาทำอาชีพนี้จริงๆ จังๆ ก็อยากจะฝากบอกว่า นักวาดการ์ตูนมันเป็นอาชีพอย่างจริงจังแล้ว ไม่เหมือนสมัยก่อน คิดว่าน่าสนับสนุนให้ทำ ลองดูก็ไม่เสียหาย ดีกว่าเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นไร้สาระนะครับ”
---------------------------------------------------------------------
ถ้อยคำดีๆ จาก"เดอะ ดวง"
”ถ้าวาดการ์ตูนเหมือนกินข้าว ให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ยังไงก็พัฒนาแน่นอน”
ผลงานทั้งหมด
2000-2001 ตลาดตลก
2001-2002 ประกวดเรื่องสั้น มันอยู่ในหู (The Ear) ในปี 2001 ได้ตีพิมพ์ในปี 2002 ในนิตยสาร C-Kids
2003 ส่งประกวดการ์ตูนเรื่อง The Wardrobe ที่ Thai Comic ได้รับรางวัลเนื้อเรื่องยอดเยี่ยมประจำปี 2003
2005 รวมเล่ม Shockolate
2006 รวมเล่ม I-Am , Clart Room (ห้องเล็กๆ ของเครื่องเขียน)
2007 The Lesson of a Doll Boy (เด็กชายตุ๊กตา) , The Memo of Fullstop (บันทึกการเดินทางของจุด)
ปัจจุบันทำงานที่
Siam inter comic , Let’comic , A book , Fullstop , สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก , ขายหัวเราะ
รางวัล
- รองชนะเลิศอันดับ 1 TAM 2007 ประเภท comic 4 หน้าจบ
- รางวัลเยาวชนนักเขียนตัวอย่าง จากโครงการ การสร้างวัฒนธรรม การคิด อ่าน เขียน และเรียนรู้ กระทรวงวัฒนธรรม