xs
xsm
sm
md
lg

“ตึกระฟ้า” สุดยอดสิ่งประดิษฐ์ระดับโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตึกเปโตนาส 1,2
พีระมิดของอียิปต์ หอคอยแห่งบาเบล หอเอนเมืองปิซ่า ยอดโบสถ์และเจดีย์แหลมสูงต่างๆ ล้วนเป็นวิวัฒนาการสิ่งก่อสร้างซึ่งถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของโลก แต่การพัฒนาของเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง ก็ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับโลกอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

มันสมองและสองมือของมนุษย์ บันดาลให้เกิดสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า ตึกระฟ้า (Sky scraper) ขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เพราะปัจจัยหลายอย่าง ทั้งการเพิ่มจำนวนของประชากร พื้นที่ที่มีอยู่จึงต้องใช้อย่างจำกัด หนทางเดียวที่จะแก้ไขก็คือ การสร้างอาคารให้มีความสูงขึ้นไป หรือความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ทำให้อาคารที่มีความสูงนับร้อยชั้น เริ่มมีความจำเป็นและเหมาะสมมากขึ้น

ตึกระฟ้า (ในยุโรป) หมายถึง ตึกที่มีความสูง 152.4 เมตร ขึ้นไป ส่วนใหญ่จะเป็นออฟฟิศ โรงแรม ที่อยู่อาศัย คำว่า “ตึกระฟ้า” กำเนิดขึ้นในอิตตาลี เมื่อศตวรรษที่ 13 ด้วยยอดหอคอยที่มีความสูงกว่า 300 ฟุต

การก่อสร้างในสมัยโบราณต้องใช้หินและอิฐในการก่อสร้างฐานตึก เพื่อรองรับน้ำหนักและแรงกด ต่อมาการสร้างตึกแบบทีละส่วนโดยเหล็กหล่อเริ่มเป็นที่นิยม เนื่องจากสามารถลอกเลียนแบบหินและอิฐได้อย่างใกล้เคียงในราคาและน้ำหนักที่น้อยกว่า และคานเหล็กที่ใช้ในการก่อสร้างแบบ โครง ( skeleton) หรือกรง ( cage) ช่วยกระจายน้ำหนักได้อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการประดิษฐ์ลิฟต์และบันไดเลื่อนไฟฟ้าขึ้นมา ทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ความรวดเร็วและความประหยัดนี้ ยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดตึกระฟ้าแห่งแรกในชิคาโก เพราะเมืองใหญ่ที่แออัดอย่างชิคาโกนั้นสร้างที่อยู่อาศัยและโรงงานจากไม้ ทำให้เกิดอัคคีภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 1871 เป็นเหตุให้มีการสร้างตึกระฟ้าแห่งแรกขึ้น ณ ถนนลา แซลอดัมส์ สตรีทในย่านการค้าของชิคาโก โดยใช้ชื่อว่า โฮม อินชัวรันซ์ (Home Insurance) ตึกสูงสิบชั้นตกแต่งผนังด้านนอกด้วยหินอ่อน มีเสาหินแกรนิตขนาดใหญ่สี่เสาอยู่เหนือโครงเหล็ก ก่อนจะถูกรื้อทำลายลงในปี 1931

ตึกสูงเสียดฟ้าอันดับแรกคือ วูลเวิร์ท (Wooleorth) ในปี 1913 ที่มีหอคอยทรงกอธิกสูงถึง 800 ฟุต เหนือถนนบรอดเวย์ วูลเวิร์ธ เป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดจนกระทั่ง วอลเตอร์ พี.ไครเลอร์ (Walter P.Chrysler) ยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถยนต์ต้องการที่จะตรอบครองตึกที่สูงที่สุดในโลกและเป็นชื่อของตัวเอง และตึกไครเลอร์ก็เกิดขึ้นด้วยความสูงถึง 1,046 ฟุต กลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกทันที

แต่แล้วไม่นานไครเลอร์ก็สิ้นสุดความปลาบปลื้มนั้นลง ในปี 1929 เมื่องานก่อสร้างตึกที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอย่าง เอมไพร์ สเตท (Empire State) เริ่มขึ้น โดยกลุ่มนักธุรกิจ ซึ่งมีสถานที่ก่อสร้างตั้งอยู่บริเวณถนนฟิฟท์ อเวนิว เกาะแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ระหว่างถนนสายที่ 33 และ 34 ด้วยการวางแผนสร้างอาคาร 102 ชั้น (สูง 1,250 ฟุต) ให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วในปี 1931 ด้วยทักษะการห้อยโหน ฝีมือ และการเสี่ยงตายของช่างเหล็กและคนงาน

ตึกนี้มีลิฟต์ความเร็วสูง 67 ตัว จุคนได้ประมาณ 25,000 คน หรือมากกว่านั้น หากจำเป็น ในชั้นที่ 86 เป็นดาดฟ้าสังเกตการณ์ ส่วนชั้นสูงที่สุด คือ 102 นั้น เป็นสถานีอุตุนิยมวิทยา และลานจอดเครื่องบิน (ที่ไม่เคยมีเครื่องบินลำใดเคยลงจอดมาก่อน เนื่องจากความอันตรายของสภาพกระแสลมบนนั้นอันตรายเกินไปสำหรับการร่อนลงจอดของเครื่องบิน ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำงานของบริษัทต่างๆ กว่า 600 บริษัท ตึกเอมไพร์ สเตท มีนักท่องเที่ยวเข้าชมนับล้านคน และครองแชมป์ตึกที่สูงที่สุดในโลกจนกระทั่งการก่อสร้างตึก เวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ (World Trade Center) เสร็จสิ้นลงในปี 1970

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงแนวทางการออกแบบอาคารสูง สถาปนิกรุ่นใหม่หันมานิยมสไตล์กล่องแก้ว (Glass-box) เปิดโล่งบางเบาจนเหมือนไร้น้ำหนัก ตึกลีเวอร์ เฮาส์ (Lever House) เป็นตึกแรกๆ ที่สร้างขึ้นตามแนวคิดนี้ รวมทั้งอาคารสหประชาชาติก็เช่นกัน ที่ยึดแนวคิดนี้ สร้างเสร็จในปี 1953 ด้วยความสูง 544 ฟุต แต่กลับกว้างแค่เพียง 72 ฟุตเท่านั้น !

ตึกรูปแบบกล่องแก้วได้รับการพัฒนาสูงสุดในการก่อสร้างตึก เวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ หอคอยสูง 110 ชั้นทั้งสองแห่ง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองแมนฮัตตัน ทางตะวันตกของบรอดเวย์ โดยยึดแนวคิดเมืองไว้โดยการสร้างห้างสรรพสินค้าเอาไว้ในชั้นใต้ดิน เข้าออกด้วยรถไฟฟ้าแสนสะดวกสบาย และเวิร์ล เทรด เซ็นเตอร์ จะยังคงเป็นหอคอยแฝดต่อไป หากไม่เกิดโศกนาฏกรรม เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ขึ้น เมื่อผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินโดยสารสองลำพุ่งเข้าชน จนตึกทั้งสองถล่มลงมา ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง!

ความร้อนจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลุกไหม้ ส่งผลให้โครงเหล็กของตัวอาคารละลาย จนกระทั่งทรุดลงมา แต่ด้วยการก่อสร้างที่ดีทำให้ตัวอาคารมิได้ถล่มลงมาทันทีที่ถูกเครื่องบินพุ่งชน นี่จึงเป็นเหตุผลให้ ผู้คนจำนวนมากหลบหนีออกมาได้ทัน แม้ว่าสุดท้ายจะมีผู้เสียชีวิตเกือบสามพันคนก็ตาม

หากแม้ว่าจะสูญเสียตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ ไป ประวัติศาสตร์ของตึกระฟ้าก็มิได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น หากยังพัฒนาความสูงเสียดฟ้าต่อไปอีกมากมาย อย่างในเอเชียเองก็มีตึกเปโตรนาส1 และ 2 (Petronas1 ,2) ของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สร้างขึ้นในปี 1998 ด้วยความสูง 1,483 ฟุต 88 ชั้น ปัจจุบันเป็นตึกที่สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก

แต่ถ้าพูดถึงแชมป์ความสูงเสียดฟ้าในขณะนี้ต้องยกให้กับ ตึก เบิร์จดูไบ(Burj Dubai) ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศมหาอำนาจด้านน้ำมัน ซึ่งมีความสูงถึง 2,684 ฟุต สร้างเสร็จในปี 2009 นี้ โดยการออกแบบจากสถาปนิกเอเดรียน สมิธ ชาวชิคาโก นอกจากเบิร์จดูไบ จะมีจำนวนชั้นที่มากที่สุดในโลกถึง 162 ชั้น แล้ว ยังมีปล่องลิฟต์ที่ยาวที่สุดในโลก 514 เมตร อีกด้วย

ส่วนตึกระฟ้าของไทยเราอย่างใบหยก2 ขณะนี้อยู่ในลำดับความสูงที่ 42 ของโลก ด้วยความสูง 994 ฟุต (304 เมตร) รวม 85 ชั้น ตั้งอยู่ที่ประตูน้ำ ถนนราชปรารภ เขตราชเทวี พื้นที่ใช้สอยส่วนใหญ่เป็นโรงแรม “ใบหยก สกาย” แต่ในปีหน้า ตึกโอเชี่ยนคอนโดฯใจกลางพัทยา ซึ่งกำลังอยู่ในขณะก่อสร้างขณะนี้จะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยความสูง 367 เมตร

เทคโนโลยีอาจทำให้ตึกบนโลกนี้สูงเสียดฟ้าแค่ไหน ก็คงไม่มีค่ามีความหมายเท่ากับการยกระดับจิตใจคนให้สูงตาม

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
100 สิ่งประดิษฐ์เปลี่ยนโลก โดยทอม พิลบิน


ตึกไทเป
ตึกเซียร์ ทาวเวอร์
ตึกเซี่ยงไฮ้ไฟแนลเชียลเซ็นเตอร์
กำลังโหลดความคิดเห็น