ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แวดวงตลาดหุ้นแล้ว น้อยคนไม่มีใครไม่รู้จักทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท ฯ หรือที่รับรู้กันทั่วประเทศ เจ้าของโครงการบ้านจัดสรร ภายใต้แบรนด์ “บ้านพฤกษา” และเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ที่ยังคงรวยหุ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แม้ครั้งนี้ความรวยจากหุ้นจะหายไป1,554.79 ล้านบาท แต่ก็ยังครองหุ้นมีมูลค่ารวมถึง 9,599.16 ล้านบาท นี้แค่ส่วนตัว หากนับรวมตระกูล "วิจิตรพงศ์พันธุ์" ก็ไม่น้อยเลย มูลค่า 11,409.66 ล้านบาท
....แต่ความมั่งคั่งนี้ มีที่มาที่ไป
....แม้ไม่ได้เกิดบนกองเงินกองทอง
....แล้วอะไร คือ แรงบันดาลใจ ที่ผลักดันให้ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าในวงการธุรกิจอสังหาฯ จนลูกค้าให้การยอมรับ
ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “คุณพ่อเป็นต้นแบบในชีวิตและธุรกิจของผม”
โดยพื้นเพแล้ว ผมเป็นคนจังหวัดชลบุรี ครอบครัวมีฐานะระดับล่างของสังคม คุณพ่อมีอาชีพขายกระเพาะปลา ส่วนคุณแม่ทำสวนผัก ตั้งแต่เด็กผมก็เห็นคุณพ่อหาบถังรูปทรงกลม( สูง 60 เซนติเมตร ) ที่ใส่กระเพาะปลาไปขาย ขายตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงเที่ยงคืน คุณพ่ออดทนและซื่อสัตย์ในอาชีพ กำไรก็ไม่มากประมาณ 20 บาท แต่เป็นความภาคภูมิใจที่มีอาชีพสุจริตหาเลี้ยงครอบครัวและลูกๆ ทั้ง 7 คน
ซึ่งในบางครั้ง ตน(ในช่วงที่ยังเป็นเด็กอยู่)ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพ่อทำ ทั้งๆที่น่าจะดีในเรื่องของรายได้ อย่างภาพที่เห็น ตามงานวัดในช่วงที่มีงาน ก็จะมีการขายกระเพาะปลาที่ธรรมดาทั่วไป แต่คุณพ่อไม่ต้องไปซื้อกระเพาะปลาที่ย่านเยาวราชมาทำ ทั้งที่จริงแล้วเอาหนังหมูมาแทนก็ได้ แต่ไม่ทำ เวลาขาย ก็ขายในราคาชาม 50 สตางค์ แต่คุณอาของผมขายชามละ 1 บาท
“สิ่งที่เราเห็นตั้งแต่เด็ก คุณพ่อกำลังสอนเรา สอนด้วยการกระทำ อย่าเอาเปรียบผู้ซื้อ ราคาขายก็ควรให้เหมาะกับคนซื้อ เพราะลูกค้าที่กินของเรา ก็อยู่ในซอย คนเหล่านี้มีรายได้ไม่มาก หรือแม้แต่เรื่องทำบุญ คุณพ่อมีเงินก็เข้าไปทำบุญที่โรงเจ ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดของเรา (ที่คิดแย้งอยู่ในใจเหมือนกัน) เพราะครอบครัวเราก็มีเงินน้อย แต่รู้หรือไม่ บุญเหล่านี้ เป็นการทำให้เรากลายเป็นเศรษฐีทางอ้อม” ทองมากล่าวถึงวิธีคิดที่ถูกสั่งสมมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่
ในด้านการศึกษาแล้ว แม้จะเรียนจบแค่ป.4 อันเนื่องมาจากฐานะทางครอบครัว แต่นั้น กลับไม่ใช่อุปสรรค ตรงกันข้าม เป็นประสบการณ์ “ชีวิต”นอกตำราเรียน
“หลังจากจบป.4 ก็เริ่มมองหางานทำ ซึ่งก็ทำอยู่หลายที่ เป็นลูกจ้างร้านขายยาแถวบางรัก ขายน้ำเก๊กฮวย น้ำจับเลี้ยง ต่อมาเปลี่ยนก็เริ่มมาทำร้านทองแถวประตูน้ำ ก็ทำอยู่ประมาณ 6 ปี ในช่วงนี้ ก็คิดว่าควรมองหาโอกาสที่ดีๆ ประกอบกับพี่สาวคนโต ก็อยากให้เรียนต่อ ก็ไปเรียนกวดวิชา จนสามารถสอบได้ป.5-7 และในช่วงนี้ ก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ก่อน 6 โมงเย็นก็ทำงาน หลังจากนั้นก็ไปเรียนถึง 3 ทุ่ม เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ก่อนที่จะสอบเทียบชั้นเรื่อยๆ จนจบมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 และเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ศึกษาอยู่ 2 ปี แล้วสอบเอ็นทรานซ์ติดที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาการโยธา และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อปี 2524”
แต่เบื้องลึกจริงๆแล้ว ที่เลือกเรียนวิศวกรรม ก็ด้วย “ค่าใช้จ่าย”ทั้งนั้น สมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ เพื่อนๆก็เลือกเรียนแพทย์ แต่เรามาคำนวณแล้ว ค่าใช้จ่ายแพงมากๆ เรียนแพทย์ 2 แสนบาท เรียนวิศวะ ช่วง 4 ปี ค่าใช้จ่าย 30,000 บาท ซึ่งระหว่างเรียนเราก็ได้ทุนการศึกษา บวกกับเงินเก็บบางส่วนและเงินจากทางบ้านมาช่วย สุดท้ายก็เรียนจบ 4 ปี สมกับความตั้งใจ
พอจบมาก็เริ่มต้นชีวิตอาชีพวิศวกรที่เรียนมาแห่งแรกคือ บริษัท พี.ซี.เอ็ม ทำธุรกิจผลิตแผ่นพื้นสำเร็จรูป ซึ่งเราก็ทำงานให้เต็ม หลังจากอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน ก็ไปเริ่มงานบริษัทในเครือญาติของบริษัท นพวงศ์ ก่อสร้าง และ หจก.วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง อยู่ประมาณ 2 ปี ซึ่งหน้าที่หลัก คือ เวลามีงานเราก็ไปประมูลงานเข้ามา เรื่องนี้ต้องอาศัยความรับผิดชอบสูง เราต้องทำให้หัวหน้างานไว้วางใจ เพื่อจะได้ไม่เกิดความกังวลไม่พะวง
“ช่วงชีวิตทำงาน ก็สนุกดี เงินเดือนก็พอใช้ ตอนนั้น 6,000-10,000 บาท แต่ก็มีบางเดือนไม่พอใช้ หมดไปกับการดูแลเพื่อนฝูง บางวันถึงขั้นต้องไปหยิบยืมเพื่อนฝูงทั้งๆที่เงินเดือนน้อยกว่าเราอีก ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้พบเจอกันอีก ” เสี้ยวหนึ่งของเศรษฐีหุ้น
หลังจากที่วนเวียนอยู่ในอาชีพมนุษย์เงินเดือนแล้ว ก็ตัดสินใจที่จะทำธุรกิจส่วนตัว โดยออกมาทำงานรับเหมาเอง ก็เริ่มประมาณปี 2527 งานแรกก็ก่อสร้างสะพานโดยเป็นรับเหมาช่วง ทำอยู่ 1 ปีกว่าจะเสร็จ ก็เป็นอะไรที่ยากและลำบาก ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะเครดิตที่เราทำงานมาตั้งแต่อดีต แม้เราจะไม่มีทุนเราก็ได้งาน ซึ่งก็ต้องลงทุนเอง แต่สุดท้ายก็ทำจนเสร็จ ถึงจะไม่มีกำไรก็ตาม ต่อจากนั้น ก็ได้รับงานทำครัวการบินไทย ซึ่งทางช.การช่างโตคิว เห็นเรามีความตั้งใจและทำงานได้ดีจากผลงานที่ผ่านมา ก็ทำอยู่ 1 ปีจึงแล้วเสร็จ
“เรามองแล้วว่าการเป็นผู้รับเหมาช่วง โอกาสที่จะได้กำไรมากๆคงต่ำ สู้ไปทำเองโดยตรงจะดีกว่า โดยงานที่เข้าไปจะมีหลากหลาย ทั้งโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ทำไซโลโรงปูนของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง รวมถึงดิโอสยามพลาซ่า ของบริษัทสยามสินธร มูลค่า 250 ล้านบาท และเป็นงานสุดท้ายที่เข้าไปรับเหมาก่อสร้าง ”
ในส่วนของการเข้าสู่ธุรกิจบ้านจัดสรรนั้น เริ่มจากเพื่อนจากประเทศญี่ปุ่นชักชวนไปดูบ้าน ทำให้มีโอกาสได้เห็นโครงการจัดสรรต่างๆ และคิดว่า หากเราสามารถทำได้ราคาถูกลง 10-20% ก็จะเป็นเรื่องที่ดี จึงตัดสินใจทำโครงการบ้านจัดสรรขายในปี 2535 ภายใต้บริษัทสยามเอ็นจิเนียริ่ง โครงการแรกบ้านเดี่ยวในซอยอาภาภิรม ถนนรัชดาภิเษก ราคา 5 ล้านบาท และทำโครงการทาวน์เฮาส์ ในซอยสุขุมวิท 101 อีกจำนวน 13 หลัง ราคาขายตอนนั้น 1.3-1.5 ล้านบาท ซึ่งแรกๆก็มีปัญหาเหมือนกัน ขายไม่ค่อยได้ แต่สุดท้ายก็หมด
หลังจากนั้นในปี 2536 ก็เริ่มมาทำโครงการบ้านราคาถูก ซึ่งที่มาที่ไปเกิดได้แนวคิดมาจากการไปฟังปาฐกถาของอดีตนายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ที่มองว่า บ้านราคาต่ำกว่า 6 แสนบาทขายได้ จึงเริ่มมาศึกษาและหาข้อมูล ไปดูว่าโครงการของคู่แข่งทาวน์เฮาส์ไหนขายดีไม่ดี ทำเลเป็นอย่างไร เราก็มานำมาเลียนแบบโดยปรับปรุงเรื่องทำเล ราคาให้สอดคล้องกับสินค้าที่จะทำ เราอาจจะโชคดีตรงที่มีพื้นทางด้านการก่อสร้าง ก็น่าจะพัฒนาบ้านให้มีต้นทุนต่ำได้ และในที่สุดจึงก่อตั้งบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด ขึ้นมา โดยเริ่มพัฒนาโครงการแรกภายใต้แบรนด์ “บ้านพฤกษา1”ย่านรังสิต คลอง 8 ภายในเดือนเศษสามารถขายหมดเกลี้ยง
“ชื่อของบริษัทพฤกษาฯ เป็นชื่อที่หมายถึงต้นไม้ ร่มรื่น ฟังแล้วดูดี ไม่ต้องไปหาหลวงพ่อเพื่อตั้งชื่อ”ทองมากล่าวติดตลก
จากจุดเริ่มต้นของบ้านพฤกษา 1 จนถึงปัจจุบันแล้ว บริษัทพฤกษาฯมีวิวัฒนาการและเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง รวมแล้วอยู่ในวงการอสังหาฯมากว่า 15 ปี (2536-2551) มีโครงการออกสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 124 โครงการ จำนวน 57,000 หน่วย (หรืออีกความหมาย คือ ทำให้คนมีความมั่นคงในชีวิตเพิ่มมากขึ้น) ต่างจากความคิดแรกๆที่ทำโครงการ “เราก็ไม่เคยคิดว่า “พฤกษา”จะเติบโตมาถึงปัจจุบันได้”
ความสำเร็จที่ทำให้องค์กรนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ก็เนื่องมาจากเวลาทำงาน เรา(ทองมา) ต้องมุ่งมั่นและคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้า รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยต้องทำทุกอย่างให้สอดคล้อง อย่างเช่น บริหารเงินเดือนให้พนักงานทุกคน บริหารเงินให้คนงาน การจ่ายเงินให้ผู้ผลิต(ซัปพลายเออร์)ตรงเวลา ถ้าเรามุ่งมั่น ซื่อตรง และทำงานอย่างเชื่อมั่น “เครดิต”ติดตัวเราไปตลอด
“วิถีความคิดและความตั้งใจทำงานให้เต็มที่ และดีที่สุด คือ ตัวเรา จะไปโกงเค้าคงไม่มี เพราะเราได้แนวคิดมาจากคุณพ่อ ทำไมต้องเอากระเพาะปลาจากเยาวราชมาทำขายให้ลูกค้า แทนที่จะเป็นหนังหมูก็ได้ ตอนนี้ ผมมาคิดได้ว่า สิ่งที่คุณพ่อทำมีเหตุผล ทั้งเรื่องขายของ หรือแม้แต่ทำบุญที่โรงเจ คุณพ่อคิดว่าบุญจะช่วยปกป้องลูกหลาน แต่ผมมองว่า บุญกุศลที่ผ่านมาได้ถูกถ่ายทอดมาถึงลูกหลาน เรื่องปรัชญาความคิดที่สอนให้เราไม่เอาเปรียบคนอื่น นี้คือพื้นฐานของการมีศีล ศีลที่คุณพ่อได้กระทำให้เห็น ตรงนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานโดยอัตโนมัติ”
ในเรื่องของการใฝ่หาความสงบ(จิตใจ)นั้น แรกเริ่มเดิมที หลังจากเรียนจบ เพื่อนๆมีหนังสือธรรมะ เราก็อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง แต่พอมาทำธุรกิจอย่างจริงจัง เรื่องเครียดก็มี ไม่รู้จะปรับตัวอย่างไร การเอาเรื่องธรรมะมาช่วย ทำให้ใจสงบ มีเหตุและต้องมีผล ศีล ทำให้เราคิดดี ทำดี มุ่งประโยชน์ส่วนรวม สมาธิ การมีสติชอบ เหมือนเวลาเราตีลูกเทนนิส สายตาดูบอลก็คือสมาธิ และการมีสติคือ การตีลูกเทนนิสให้ถูกทิศ
“หากคนเรามีศีล มีสติ มีปัญหา ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ ปัญหาที่ว่า คือ การดำริออกจากกาม กามที่หมายถึง เอาประโยชน์เข้าตัวเอง ตรงนี้ต้องถอดออกมา แต่ถ้าในหลักศาสนาแล้ว ดำริออกจากกามคือ การปล่อยวาง แต่ถ้าหากคนเราไม่มีศีลแล้ว ก็เปรียบกับเหมือนสัตว์ป่า ฉกฉวยเอาของคนอื่น ดังนั้น เราต้องสลัดความเป็นสัตว์ป่าออกจากกาย ใครที่คิดจะโกงก็โกงได้ แต่โกงได้ครั้งเดียว ต่างจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า คนเรารวยได้ เป็นสุขได้ อยู่ที่เราคิด” บางแง่มุมที่สะท้อนถึงปัญหาทางสังคม!
สำหรับกิจกรรมในชีวิตที่ทำอยู่ ก็สบายๆกับครอบครัว ช่วงเช้าก็ออกกำลังกายโดยตีเทนนิสกับภรรยา วิ่งออกกำลังกายรอบบ้านที่อยู่แถวซอยนวลฉวี เนื้อที่ 40 ไร่ หรือไม่ก็จะเดินดูสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด, หงส์ ซึ่งก็มีทั้งหงส์ดำอยู่ 7 ตัว หงส์ขาว 23 ตัว รวมถึงไก่แจ้ ปลูกต้นไม้บ้าง ทั้งต้นกล้วย จัดสวน เพลินดี