xs
xsm
sm
md
lg

พิศุทธิ์ มาสนอง…ผู้ย่อศิลปะบนเรือนเล็บ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในอดีต คนทั่วไปมักมองงานเพ้นต์เล็บเป็นแค่เพียงอาชีพช่างเสริมสวยที่หากินอยู่ตามริมทางเท่านั้น แต่วันนี้ ต้น- พิศุทธ์ มาสนอง ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์แล้วว่า งานเพ้นต์เล็บเป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะแขนงหนึ่ง ที่เทียบเท่ากับการดีไซน์เสื้อผ้า-หน้า-ผม เช่นกัน

เนื่องเพราะวันนี้ สาวไฮโซจำนวนมากยอมควักเงินเรือนพันเพื่อให้เขารังสรรค์เล็บทั้ง 10 นิ้วของพวกเธอ ให้เข้ากับแฟชั่นเสื้อผ้าตัวหรูและเครื่องเพชรราคาแพง เพื่อสามารถเฉิดฉายอยู่ในงานสังคมอย่างโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ

และในวันนี้เขายังช่วยยกระดับอาชีพช่างเพ้นต์เล็บคนไทย ให้ทัดเทียมกับช่างเพ้นต์เล็บฝีมือระดับโลก เมื่อเขาสามารถคว้ารางวัลที่ 2 จากการประกวดเพ้นต์เล็บมาได้ในงาน 2007 Second Place Novice-3D-Nail ArtNailproCompetition at Anaheim 2007 กับชื่อผลงาน เส้นทางสู่ความหวังและชัยชนะ

ด้วยเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องการวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก ยามเมื่อเขามองดูเล็บนิ้วก้อยตัวเองแล้วก็เกิดจินตนาการพรั่งพรูออกมา จนต้องหยิบปากกามาวาดลวดลายต่างๆ ที่อยากได้ลงบนเล็บตัวเองอย่างช้าๆ ผ่านการลองผิดลองถูกด้วยตัวเองมาหลายครั้งกว่าจะได้งานออกมาอย่างสมบูรณ์ดั่งใจคิด

“สมัยเรียนอยู่ชั้นประถม ผมเป็นคนที่ชอบไว้เล็บยาวที่นิ้วก้อย และพอเห็นเล็บยาวขึ้นมาก็อยากจะได้รูปต่างๆ ที่เราอยากได้มาเขียนบนเล็บ ช่วงแรกก็เลยไปเอาปากกามาลองเขียนรูปที่เราอยากได้ แต่พอโตขึ้นมาหน่อยก็เอาปากกาเขียนแบบมาลองเพ้นต์ดู และพอเรียนมัธยมก็อยากจะได้รายละเอียดของรูปภาพที่มากกว่านั้น เราก็เลยลองใช้สีน้ำมันมาเขียนดูปรากฏว่าสีไม่แห้ง สุดท้ายก็เลยมาลงตัวที่สีอะคริลิค”

ย้อนอดีตไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ต้นบอกว่างานเพ้นต์เล็บยังไม่เป็นที่แพร่หลายเหมือนปัจจุบัน เมื่อใครมาเห็นผลงานที่แปลกแหวกแนวของเขา ต่างก็ให้ความสนใจ และให้เขารังสรรค์ผลงานลงบนเล็บของตัวเองบ้าง นั่นจึงเป็นก้าวแรกที่เข้าสู่อาชีพช่างเพ้นต์เล็บของเขา

“เพื่อนที่เรียนด้วยกันเริ่มเห็นผมเพ้นต์เล็บ เขาก็เลยอยากให้ทำให้เขาบ้าง ในช่วงนั้นผมก็เริ่มมีรายได้เข้ามาบ้าง แต่ก็ทำเฉพาะแค่ในโรงเรียนหรือกลุ่มคนที่รู้จักเท่านั้น จนมีเพื่อนคนหนึ่งไปเห็นสารคดีเกี่ยวกับการเพ้นต์ และเขาก็บอกว่าเราทำได้ จากนั้นผมก็เลยไปรับจ้างเพ้นต์เล็บที่สะพานพุทธ”

สะพานพุทธเมื่อหลายปีก่อนในยามแดดร่มลมตก จะมีบรรดาศิลปินสมัครเล่น ซึ่งส่วนมากเป็นนักศึกษาด้านศิลปะมาหาลำไพ่พิเศษทำ ด้วยการรับจ้างวาดภาพเหมือนอยู่ริมถนนใต้สะพานพุทธ ต้นก็มาลองวิชากับที่นี่เป็นแห่งแรก ซึ่งเขาบอกว่ามีเพียงร้านเขาร้านเดียวเท่านั้นที่ฉีกแนวมารับเพ้นต์เล็บให้ลูกค้า ขณะที่คนอื่นๆ รับวาดภาพเหมือนแทบทั้งหมด

“ตอนไปเปิดวันแรกก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีคนสนใจมาเพ้นต์เล็บกับเราหรือเปล่า เพราะตอนนั้นแทบจะยังไม่มีใครสนใจเรื่องนี้เลย”

ต้นบอกว่าในวันนั้นเขาเริ่มนั่งเพ้นต์เล็บให้ลูกค้าตอน 2 ทุ่ม พอเริ่มเปิดร้านก็มีลูกค้าสนใจมาให้เขาเพ้นต์เล็บทันที จากนั้นเขาก็ไม่มีโอกาสเงยหน้าขึ้นมองผู้คนอีกเลย เพราะลูกค้ายืนเข้าคิวยาวเหยียด วันแรกกว่าเขาจะเลิกงานได้ก็ย่างเข้า 02.00 น. ของวันใหม่แล้ว

นับเป็นการเริ่มต้นอาชีพเพ้นต์เล็บที่ดีทีเดียวสำหรับเด็กนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบคนหนึ่ง ที่เริ่มจากรายได้วันละ 20 บาท กลายมาเป็นวันละ 1,000 บาทในทันที

“ตอนนั้นมีร้านผมแค่ร้านเดียวเท่านั้น ก็เลยมีลูกค้ามารอให้เพ้นต์เป็นจำนวนมาก ช่วงหลังรู้สึกว่าทำคนเดียวไม่ไหวก็เลยไปชวนเพื่อนอีก 2-3 คนมาช่วยทำ โดยผมเป็นคนฝึกพวกเขาก่อนในช่วงแรก”

ช่วงแรกลายที่คนนิยมเพ้นต์ส่วนใหญ่จะเป็นลายการ์ตูน แต่ช่วงหลังเขาก็พลิกแพลงเปลี่ยนมาเพ้นต์รูปใบปิดหนัง และรูปยอดนิยมที่ลูกค้าเพ้นต์มากที่สุดก็คือภาพยนตร์เรื่องไททานิค โดยราคานั้นขึ้นอยู่ที่ความอยากง่ายของงาน ถัวเฉลี่ยอยู่ที่ครั้งละประมาณ 20 บาทไปจนถึง 250 บาท

หลังจากสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักในย่านสะพานพุทธได้ไม่นาน เขาได้เปลี่ยนสถานภาพจากช่างเพ้นต์เล็บแบกับดิน เข้ามาเป็นช่างอยู่ในห้างหรูใจกลางเมืองตามคำชักชวนของคนรู้จักกัน แต่เขาทำอยู่ในห้างได้เพียง 2 ปีเท่านั้น ก็ออกมารับจ้างทำเองอีกครั้งหนึ่ง

กระทั่งวันหนึ่งเขามีโอกาสได้เข้าไปเป็นช่างประจำร้าน Grand Nail และด้วยการส่งเสริมของเจ้าของร้านให้เข้าแข่งขันระดับโลกในเวที 2007 Second Place Novice-3D- Nail ArtNailproCompetition at Anaheim 2007

ต้น เล่าถึงเส้นทางสู่ดวงดาวของตัวเองให้ฟังว่า “พอได้โจทย์ให้ทำเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬา ผมก็รีบตีโจทย์และลงมือทำทันที ใช้เวลาคิดไม่นานก็ได้รูปที่เราต้องการด้วยการใช้อะคริลิคที่ใช้ต่อเล็บมาทำเป็นรูปทรง การแข่งขันในครั้งนั้นได้รับรางวัลที่ 2 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดี เพราะเราต้องไปแข่งขันกับต้นตำรับแฟชั่นอย่าง สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น”

อาจะนับได้ว่า ต้น เป็นช่างเพ้นต์เล็บคนไทยคนแรก ที่สามารถคว้ารางวัลระดับโลกมาช่วยยกระดับอาชีพนี้ให้ได้รับการยกฐานะมากยิ่งขึ้น

จากช่างเพ้นต์เล็บริมถนนมาถึงช่างใหญ่แห่งร้านที่ลูกค้าระดับไฮโซมาเป็นลูกค้าประจำไม่ขาดสาย ต้นมิได้หยุดนิ่งกับงานศิลปะของเขาแม้สักวัน เขายังคงพัฒนาฝีมือและรังสรรค์ผลงานแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา งานหลายๆ ชิ้นของเขากลายเป็นชิ้นงานมาสเตอร์พีซที่แปลกแหวกแนวจนคิดไม่ถึงว่างานเพ้นต์เล็บจะก้าวไปไกลถึงขั้นนั้น

“การเพ้นต์เล็บก็เหมือนกับการย่อภาพเหมือนลงบนเล็บ มีครั้งหนึ่งลูกค้าส่งรูปตัวเองและลูกชายมาให้เพ้นต์ลงบนเล็บ เราก็จะต้องมานั่งสเก็ตซ์รูปที่เขาส่งมาให้ลงในกระดาษก่อน จากนั้นค่อยนำมาเพ้นต์ลงบนเล็บ หรือลูกค้าบางคนจะส่งเครื่องประดับหรือชิ้นส่วนเสื้อผ้ามาให้เราดู เพื่อจะให้ออกแบบลายเพ้นต์เล็บให้เข้ากับชุดเครื่องประดับ และสีของเสื้อที่จะสวมใส่ออกงานสังคม ทุกวันนี้ลูกค้าเขาคิดว่าการเพ้นต์เล็บเป็นทั้งเครื่องประดับและศิลปะอีกประเภทหนึ่ง ที่สามารถสร้างสีสันให้กับตัวเองและผู้ที่พบเห็นได้”

ทุกครั้งของการทำงานมักมีหลากหลายโจทย์ที่ผ่านเข้ามาทดสอบฝีมือของเขา ซึ่งโจทย์ที่หินสำหรับเขานั้นก็มีไม่น้อย ต้นยกตัวอย่างโจทย์ที่เขาต้องใช้เวลาคิดอยู่หลายวันให้ฟังว่า

“มีลูกค้าคนหนึ่งจะไปงานเลี้ยงของน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่สองบริษัทที่จัดงานชนกันในวันเดียวกัน เขาก็เลยให้โจทย์มาว่าจะทำอย่างไรดีถึงจะให้นักข่าวสนใจในเล็บที่เพ้นต์ไป และให้ช่างภาพมารุมถ่ายภาพ พอผมได้โจทย์มาก็มาขบคิดอยู่นานจนกระทั่งวันหนึ่งเดินออกไปที่ร้านขายเครื่องดื่มก็เลยปิ้งไอเดียด้วยการนำยี่ห้อของน้ำอัดลมทุกแบรนด์ไปเพ้นต์ที่เล็บ ปรากฏว่าลูกค้าไม่ผิดหวัง เพราะมีช่างภาพรุมถ่ายรูปเขาแถมเจ้าภาพก็พอใจด้วย”

นอกจากนี้ ต้นยังได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างศิลปินผู้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็นลงบนผืนผ้าใบ กับอาชีพของเขาที่ถ่ายถอดจินตนาการต่างๆ ที่ได้พบเห็นลงบนเล็บไว้อย่างน่าสนใจว่า คนที่เป็นศิลปินจะวาดรูปก็ต่อเมื่อเขามีอารมณ์ที่จะวาด แต่สำหรับงานเพ้นต์เล็บนั้น การทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ เพราะงานทุกชิ้นที่เขาเพ้นต์ออกมาต้องทำออกมาให้ดีที่สุด เพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ขาดความรับผิดชอบขาดการฝึกฝนทักษะก็เท่ากับขาดการพัฒนาตัวเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น