เปิดม่านสัมผัสชีวิตหนึ่งหญิงสองบทบาทของ “กิ๊ก-มยุริญ ผ่องผุดพันธุ์” บทละครลิขิตเขียนให้เธอเป็นนางร้ายที่เล่นได้อย่างสมบทบาท แต่ชีวิตนอกจอเธอได้รับขนานนามว่า “แม่ชีแห่งวงการบันเทิง” การปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง ทำให้เธอเข้าใจในรสพระธรรมไม่น้อยไปกว่าการเห็นความจริงของมนุษย์ผ่านตัวละครในทุกบทบาทที่เธอเล่น
ความศรัทธาในพระศาสนา ส่งผลให้วิถีชีวิตของกิ๊กทุกวันนี้ต้องเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมไม่ต่ำกว่า 3-4 ครั้งต่อปี และอาจจะใช้เวลา 3-7 วันต่อครั้งเป็นอย่างต่ำ ไม่ว่าช่วงเวลานั้นงานจะยุ่งขนาดไหนก็ตาม เธอก็จะต้องหาเวลาเข้าวัดปฏิบัติธรรม ดำเนินชีวิตเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลานานกว่า 10 ปี ยังไม่นับรวมการปฏิบัตินอกรูปแบบที่เธอจะอาศัยช่วงเวลาว่างระหว่างวันตั้งสติปฏิบัติธรรมในทุกช่วงเวลา
ในรถของเธอจึงเต็มไปด้วยหนังสือธรรมะ รวมทั้งตารางคอร์สปฏิบัติธรรมที่ติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง เพื่อเป็นสะพานบุญเป็นแหล่งข้อมูลเบื้องต้นสำหรับพักพวกเพื่อนฝูงที่ต้องการไปปฏิบัติธรรม
อาจเปรียบได้กับผู้บอกบุญ ทั้งที่เป็นเจ้าภาพจัดคอร์สปฏิบัติธรรมโดยตรงให้กับเพื่อนฝูงหรือคนเบื้องหลังในวงการบันเทิง และเธอยังเป็นอาสาสมัครในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอีกด้วย
ทุกวันนี้ กิ๊ก เล่าว่า พยายามทำทุกอย่างเพื่อชักชวนให้คนรู้จักได้มีโอกาสเข้าวัดปฏิบัติธรรม เริ่มตั้งแต่เป็นแหล่งข้อมูลให้กับเพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก ใครอยากไปปฏิบัติธรรมที่ไหนเมื่อไหร่ก็ถามไถ่เอาจากกิ๊กได้ หรือ แม้แต่ไม่มีใบสมัคร จะต้องทำอย่างไร สมัครที่ไหน ก็รับอาสาส่งแฟกซ์ ส่งเอกสารจัดการให้อย่างเสร็จสรรพ
“ตอนแรกก็เหนื่อย เพราะว่าเราก็มีความศรัทธา เราก็อยากจะชวนให้คนไปปฏิบัติ มีหนังสือปฏิบัติธรรม มีตารางอยู่ในรถ ส่งทั้งเจอหน้ากัน ส่งจดหมาย ส่งไปรษณีย์ แฟกซ์ ชีวิตก็จะวุ่นวายอยู่กับการชวนคนไปปฏิบัติธรรม”
ผลจากความพยายามนั่นเอง ทำให้ความฝันส่วนหนึ่งของนางร้ายใจบุญคนนี้ที่เธอสารภาพว่าไม่คิดไม่ฝันว่าจะสำเร็จ แต่ ณ วันนี้เธอมีความสุขมากเพราะฝันนั้นสบความสำเร็จอย่างดี กิ๊ก บอกว่า เธอได้จุดประกายให้คนในวงการบันเทิงไม่น้อยกว่า 25% ได้หันมาเข้าวัดปฏิบัติธรรม จากที่ก่อนหน้านี้เมื่อหลายปีที่ผ่านมาหลายคนมองว่าเพี้ยน เพราะไม่ว่าจะเจอใครก็จะชักชวนให้ทุกคนได้มีโอกาสไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม เป็นผู้เปิดการขายให้คนไปปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา
“ช่วงแรกรู้สึกว่าเหนื่อยมากเพราะว่าอยู่คนเดียวเรายังไม่มีพวก อย่างเพื่อนดาราบางท่านก็เคยกลับมาสารภาพ คิดว่าพี่กิ๊กเพี้ยนนะแต่ก่อน เมื่อก่อนเจอกันชวนแต่คนเข้าวัด สักพักเปิดการขายอีกแล้ว ไปปฏิบัติธรรมไหม แต่ทุกวันนี้น้องคนนี้ก็เข้าปฏิบัติธรรมเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ชอบมาก กลับมาสารภาพว่า ตอนนี้อยากจะเพี้ยนเหมือนพี่กิ๊กแล้ว เพราะอยากจะบวชชี”
ปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้วที่ กิ๊ก-มยุริญ จัดคอร์สปฏิบัติธรรมให้กับคนในแวดวงการบันเทิง เธอเล่าว่า ปีแรกจัดแบบหักดิบปฏิบัติกันยาว 7 วัน 8 คืน ให้คนทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน ดารา ช่างแต่งหน้า คนในกองถ่าย ได้มีโอกาสเข้าวัดปฏิบัติธรรม แค่คอร์สแรกก็มีคนสนใจเข้าร่วมกว่า 60 คน
และเมื่อวันที่ 9-16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กิ๊ก เป็นเจ้าภาพจัดคอร์สปฏิบัติธรรมอีกครั้ง ที่ วัดผาติการาม จ.ฉะเชิงเทรา ถือเป็นรอบที่สองของปี มีคนในวงการสนใจกันอย่างมากสมัครเข้ามากว่า 100 คน แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็เหลือประมาณ 30 คน เนื่องจากบางคนมีธุระกะทันหันจึงบอกเลิกไปในภายหลัง
คุยถึงเรื่องธรรมมะ กิ๊ก บอกว่า ชีวิตก่อนที่จะมาปฏิบัติธรรมอย่างทุกวันนี้กับชีวิตก่อนหน้านี้ มันเหมือนเราเกิดใหม่เป็นบุตรพระพุทธเจ้า มีความรู้สึกว่าพระองค์ท่านมีความเมตตาต่อสัตว์โลกมาก ณ วันนี้ด้วยวิชาคำสอนของพระพุทธเจ้าทำให้รู้แล้วว่าเราเกิดมาทำไม แล้วสุดท้ายปลายทางจะไปทำอะไรต่อไป เปรียบเสมือนมีแสงสว่างในชีวิต
“ทุกวันนี้ที่เราพบเจอที่เราเป็นอยู่ มันเป็นธรรมชาติ การที่กิ๊กไปปฏิบัติธรรมทำให้รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมดา ความจริง สัจธรรม มันคืออะไร เพราะฉะนั้นเมื่อกิ๊กเข้าใจความจริงสัจธรรมตามธรรมชาติว่ามันเป็นอย่างไร ก็ทำให้กิ๊กอยู่กับความจริงอย่างนี้อย่างมีความสุข”
ในทัศนะของกิ๊ก ธรรมะมันเหมือนกุญแจที่จะไขความลับของโลกนี้ ฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจกุญแจดอกนี้ เราก็จะเข้าใจทุกสรรพสัตว์เข้าใจคนทุกคนทั่วโลก ตราบใดก็ตามที่เราเข้าใจตัวเองแล้ว เข้าใจความโลภความโกรธ ความหลงของตัวเองว่าเป็นอย่างไร เราก็จะเข้าใจคนอื่นทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นชาติไหน สีไหน ศาสนาไหน จะเป็นคนเผ่าไหน ทุกคนก็มีทุกอย่างเหมือนกับเรา
“ความจริงก็คือทุกคนมีความแก่ มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความตาย มีความพลัดพราก มีกฎแห่งกรรมเป็นของตนเอง ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มันก็เลยทำให้กิ๊กรู้สึกว่า เมื่อเราเข้าใจพื้นฐานของชีวิตทุกอย่างที่มันเป็นธรรมชาติ มันก็ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นที่ทำให้หญิงสาวคนนี้ต้องเข้าวัดปฏิบัติธรรม กิ๊ก บอกว่า ตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 4 คณะศิลปะศาสตร์(ภาษาเยอรมัน) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงแล้ว ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงกลัวว่าจะหลงใหลในสีสันของวงการบันเทิง จึงบังคับให้เข้าวัดปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันทางใจ
“เข้าวัดปฏิบัติธรรมครั้งแรกที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย แต่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเป็นหัวโจกพาเพื่อนคุย ไม่เชื่อไง มีอคติ เราเป็นดาราแล้ว เล่นละครเรื่องแรกจบแล้ว แล้วมีความรู้สึกว่าชีวิตเรามันสมบูรณ์แล้ว ทำงานหาเงินได้แล้ว เรียนก็จะจบแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องศึกษาธรรมะ”
ต่อมาได้มีโอกาสเข้าวัดปฏิบัติธรรมครั้งที่สองเพราะเหตุบังเอิญ เนื่องจากมีโปรแกรมจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ พอดีหมอดูทักว่าอย่าไปเลยอาจเกิดอุบัติเหตุ คุณแม่ก็เลยให้ไปปฏิบัติธรรม พอไปเปิดตารางปฏิบัติก็ตรงกับช่วงเวลาที่จะไปเที่ยวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย
การปฏิบัติธรรมครั้งที่สอง ถือเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต กิ๊ก เล่าว่า ครั้งนี้ให้ความรู้สึกอินกับธรรมะมาก มีความศรัทธามาก รู้สึกได้ว่ามีปัญญา เกิดปัญญาจากการปฏิบัติธรรม เป็นของล้ำค่า ตอนนั้นรู้สึกถึงขั้นที่ว่าถ้าเป็นผู้ชายก็อาจจะโกนหัวบวชไปแล้ว แต่เป็นผู้หญิงทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็เลยเสนอตัว ว่าขอไปช่วยงานคอร์สปฏิบัติธรรมของเยาวชน เท่าที่จะสามารถช่วยเหลือได้
แต่เมื่อถามความรู้สึกว่าถึงขั้นอยากจะบวชชีเลยไหม กิ๊ก บอกว่า ยังติดสวยอยู่ อยากมีผม อยากมีคิ้ว ยังติดสวย คิดว่าอยากเป็นอย่าง คุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ท่านเป็นผู้หญิงที่มีครอบครัวมีลูกหลายคน แต่ท่านเป็นครูสอนกรรมฐานที่เก่งมาก และท่านสามารถสมดุลทางโลกกับทางธรรมได้อย่างดีมาก คุณแม่ ดร.สิริ จึงเหมือนเป็น Idol ในการใช้ชีวิต
ที่สำคัญในบทบาทของตัวละครทำให้กิ๊กได้เห็นความจริงของชีวิตอีกด้านหนึ่งเช่นกัน ดารานักแสดงจะไม่มีละครเล่นเลยถ้าตัวละครเหล่านี้ไม่มีความโลภความโกรธความหลง มันคือสัจธรรมของชีวิตอย่างหนึ่ง
“ทุกวันนี้ที่เล่นละครได้เห็นความจริงของชีวิตเล่นไปก็ปลงไป คือเข้าใจว่าชีวิตมันก็เป็นแค่นี้จริงๆ ตราบใดก็ตามที่เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงชีวิตเราจะแฮปปี้จริงๆ โดยปราศจากทุกข์”