xs
xsm
sm
md
lg

ไม้กวาดดอกอ้อ... กับวงล้อของยาเสพติด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ภูเก็ต" เกาะที่ได้รับสมญานามว่า "ไข่มุกอันดามัน" สวรรค์เขตร้อนของนักท่องเที่ยวที่หนีหนาวมาพักผ่อนอาบแสงแดดของหมู่เกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

ท่ามกลางแสงสียามค่ำคืนที่คึกคักของหาดป่าตอง...ทำให้เมืองภูเก็ตไม่เคยหลับใหลทั้งกลางวันและกลางคืน
และเช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลก ที่ใดมีนักท่องเที่ยว ย่อมขาดไม่ได้ซึ่งผับ บาร์ ผู้หญิง และยาเสพติด บนถนนสายโลกีย์ของเมืองภูเก็ต วงล้อของยาเสพติดได้ทอดทับไปทั่วทุกหัวระแหง เริ่มจากแหล่งบันเทิงจากนั้นค่อยๆ ลามไปถึงชุมชนและสถานศึกษา ไม่เลือกว่าผู้ซื้อจะยังเป็นเพียงเด็กนักเรียน ไม่ใช่นักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้อหามาเสพเพื่อปลดปล่อยอารมณ์อย่างสุดเหวี่ยง ซึ่งอาจทำไม่ได้ในบ้านเกิดเมืองนอนของตน


ในวันที่การท่องเที่ยวบนเกาะภูเก็ตเริ่มฟื้นคืนมาหลังเหตุการณ์สึนามิ ต้นพืชสีเขียวใบเรียวแหลมที่ขึ้นอยู่ข้างทางริมถนนที่ตัดข้ามผ่าน และเชื่อมระหว่างชายหาดต่างๆ ของเกาะภูเก็ต ซึ่งบางคนอาจเคยมองว่าไร้ค่า...ได้เริ่มจุดประกายความหวังคืนมาอีกครั้งแก่วิถีชุมชนเล็กๆ บนเกาะแห่งนี้

รากต้นอ้อหยั่งลึกที่ชุมชน 'กะทู้'

ถนนลาดยางร่มรื่นที่ทอดยาวคดเคี้ยวขึ้นสู่ยอดเขา มองจากด้านบนลงมาจะเห็นทะเลสีครามอยู่ลิบๆ เบื้องหน้า ครั้งหนึ่งบริเวณแถบนี้เคยเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันยังคงเหลือร่องรอยไม้ใหญ่ให้เห็น สลับกับป่าหญ้าที่มีพืชจำพวกต้นหางหมา, ต้นอ้อขึ้นแซมอยู่เป็นระยะ พืชท้องถิ่นชนิดหลังนี่เองที่ชาวภูเก็ตใช้ดอกของมันมาทำไม้กวาด หรือที่เรียกกันว่า "ไม้กวาดดอกอ้อ"

แม้มองเผินๆ อาจดูคล้ายคลึงกัน แต่ความจริงแล้วดอกอ้อมีลักษณะต่างจากต้นหางหมา คือ จะมีก้านโผล่ออกมาจากลำต้น ยาวไม่เกิน 120 เซนติเมตร โดยมีแขนงเป็นก้านเล็กๆ ออกจากลำต้นเป็นฝอย และมีดอกละเอียดเป็นฝุ่นหยาบ ผิวลำต้นเกลี้ยงคล้ายเคลือบมัน ภายในลำต้นมีไส้สีขาว จุดสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ต้นอ้อจะมีใบที่ใหญ่และกว้างกว่าต้นหางหมา

และหากจะกล่าวถึงแหล่งผลิตไม้กวาดดอกอ้อที่ขึ้นชื่อแล้ว หมู่บ้านกะทู้คือต้นกำเนิดสำคัญสำหรับไม้กวาดชนิดนี้ เพราะนอกจากเทศกาลกินผัก หรือขบวนแห่เจ้าที่ขึ้นชื่อแล้ว อำเภอกะทู้ยังมีผลิตภัณฑ์งานหัตถกรรมอันเป็นฝีมือท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อ จนกลายเป็นสินค้าโอทอปของตำบลนั่นคือ ไม้กวาดดอกอ้อนั่นเอง
 
ด้วยลักษณะที่เล็กกะทัดรัด มีด้ามจับเหมาะกระชับมือ อีกทั้งยังแข็งแรงทนทาน เส้นไม้กวาดไม่หลุดร่วงง่ายเหมือนไม้กวาดชนิดอื่น ทำให้ไม้กวาดดอกอ้อของบ้านกะทู้ได้รับความนิยม ใครมาเยือนภูเก็ตก็มักซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือไปให้ญาติมิตรจนเป็นที่ติดอกติดใจ และชื่อของไม้กวาดบ้านกะทู้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่นภูเก็ตนับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อยาเสพติด "ระบาด"

การที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวในอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ด้วยภูมิศาสตร์ที่จัดว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มีบริวารกว่า 32 เกาะ รวมพื้นที่ 570,034 ตารางกิโลเมตร และทรัพยากรธรรมชาติยังคงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ จึงเป็นถิ่นสวรรค์ที่ชักจูงใจให้คนทั้งในและนอกประเทศหลั่งไหลมายังเกาะภูเก็ต นอกจากนี้ยังกลายเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่ก่อเกิดธุรกิจการบริการ การค้า การท่องเที่ยว ขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน

แต่เพราะการเจริญเติบโตของเมือง จึงได้สร้างความกังวลและน่าเป็นห่วงให้กับทางจังหวัดภูเก็ตขึ้นมาอีกหนึ่งงานนั่นคือ "ปัญหายาเสพติด" ที่มีเส้นทางมาจากช่องทางต่างๆที่ยากแก้การสอดส่อง... ภูเก็ตดินแดนที่เปรียบเป็น "ไข่มุกอันดามัน" ยังต้องถูกคุกคามด้วยปัญหายาเสพติดมาแล้ว และที่ต้องติดตามป้องกันก็คือปัญหายาเสพติดในเด็กและเยาวชน!!

จากรายงานสถานการณ์เด็กและเยาวชน ที่จะมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งเป็นปัญหาที่สอดคล้องกัน ได้แก่ พฤติกรรมการดื่มสุราและการสูบบุหรี่, การเล่นการพนัน, การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรและการขายบริการทางเพศ, การตกเป็นเหยื่อการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย, การทะเลาะวิวาทและการใช้ความรุนแรง, การติดเกมส์ออนไลน์, การเที่ยวเตร่ในสถานบันเทิงที่ไม่เหมาะสม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงไปสู่ปัญหายาเสพติดได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้สภาพแวดล้อมทั้งที่เป็นบุคคลและสถานที่ยังเป็นปัจจัยที่สามารถสนับสนุนและเป็นตัวเร่งให้เยาวชนตกเป็นเหยื่อของยาเสพติดได้โดยง่าย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ตซึ่งมีสถานบันเทิงกลางคืนมากมาย และมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าออกอยู่ตลอดเวลาจึงมีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของยาเสพติด...

นิรันดร์ กัลยาณมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า สถานการณ์ปัญหายาเสพติดในภูเก็ตจากการรายงานสรุปผลการดำเนินงานป้องกัน และปราบปรามยาเสพติดในรอบ 5 เดือน ระหว่างตุลาคม 2550 ถึงกุมภาพันธ์ 2551 พบว่า สถานการณ์ภาพรวมการระบาดของยาเสพติดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนมากยังเป็นยาบ้า กัญชา สารระเหยและพืชกระท่อม ส่วนยาเสพติดที่เข้ามาระบาดในช่วงนี้และต้องจับตาเฝ้าระวังเป็นพิเศษคือยาอี ยาไอซ์และโคเคน โดยส่วนใหญ่จะแพร่ระบาดในสถานบันเทิงและที่มีแหล่งมั่วสุมตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

ด้วยความที่ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวสากลมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าออกมากกว่า 5 ล้านคนต่อปี มีแรงงานต่างถิ่นและแรงงานต่างด้าวเดินทางเข้าออกเพื่อมาทำงานและปะปนกับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ปัญหาการใช้สารเสพติดส่วนใหญ่จะพบในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพในสถานบริการ สถานบันเทิง กลุ่มผู้ใช้แรงงาน และผู้อาศัยในแหล่งชุมชนต่างๆ เด็กและเยาวชนที่อาศัยอยู่ในสถานที่และพื้นที่ดังกล่าวจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้ง่ายและเร็วขึ้น

แม้ในอดีตการแก้ไขปัญหายาเสพติดจะมีการถอนรากถอนโคนผู้ขาย ผู้ผลิต หรือแม้แต่กลุ่มอิทธิพลหัวแถวแล้วก็ตาม แต่นั่นจึงเปรียบเสมือนยาแรงที่ไม่ได้ส่งผลกระทบในวงแคบ แต่ยังสร้างปัญหาในวงกว้างตามมาอีกหลายประการ เช่น เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ยังคงถกเถียงกันในปัจจุบัน แต่หากมองในมุมต่างการฉีดยาสร้างภูมิคุ้มกันปัญหายาเสพติดในระดับชุมชนและสถานศึกษา จึงเป็นอีกแนวทางในการป้องกันปัญหายาเสพติดได้อย่างยั่งยืนในอนาคต...

พ่อเมืองภูเก็ตกล่าวอีกว่า จังหวัดภูเก็ตมีแนวทางในการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วยการให้ความสำคัญกับการติดตามเป็นพิเศษ สำหรับการบำบัดฟื้นฟู ป้องกัน เป็นมาตรการที่ดำเนินการควบคู่กันไป โดยอำเภอ หมู่บ้าน ชุมชนที่มีการแพร่ระบาดและการกระจายตัวรวมทั้งมีการค้ายาเสพติด ได้มีสั่งการให้นายอำเภอ ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธร ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่อย่างเคร่งครัด รวมทั้งได้มีการพัฒนาระบบเฝ้าระวังตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน ชุมชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสกันเองภายในหมู่บ้านชุมชน

แนวทางหนึ่งที่ได้ผล คือการนำแนวทางตามโครงการรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด หรือทูบีนัมเบอร์วัน มาสนับสนุนการดำเนินงานโดยได้ส่งเสริมให้มีการรวมตัวของเครือข่ายเยาวชนในพื้นที่จัดตั้งเป็นชมรมฯ ดำเนินกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาให้เยาวชนเป็นทั้งคนเก่ง และคนดี มีความสุขโดยไม่พึ่งยาเสพติด

ใช้ไม้กวาด 'ปัดกวาด' บ้านของเรา

แต่เดิมหลายคนเคยได้ยินหรือรู้จัก "โครงการทูบีนัมเบอร์วัน" ในรูปแบบของกิจกรรมเรียน เล่น เต้น วาด กันมาบ่อยครั้ง แต่หากมองในมุมต่างโครงการนี้ยังมีความหลากหลายในรูปแบบของกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย อย่างเช่น ชมรมทูบีนัมเบอร์วัน บ้านกะทู้ หมู่ที่ 2 ต.กะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นผลผลิตเกิดจากสมาชิกตัวเล็กๆในชมรม ที่มีการทำกันเป็นอาชีพเสริมหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและแบ่งเข้ากองทุนด้วยการ "ทำไม้กวาดจากต้นอ้อ"

เอก บุญฤทธิ์ ฉิ่วสกุล วัย 22 ปี เลขานุการชมรมฯบ้านกะทู้ เล่าว่า ชมรม To Be Number One บ้านกะทู้ได้ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2547 โดยมีนายอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน สาธารณสุข หัวหน้าสถานีอนามัยกะทู้ เป็นที่ปรึกษาชมรมฯ
 
ปัจจุบันชมรมมีสมาชิก 336 คน ในปี 2550 ที่ผ่านมาทางชมรมได้มีแนวคิดที่จะพัฒนาให้เด็กและเยาวชนเป็นแกนนำ ภายใต้แนวคิด "เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน" มีการจัดค่ายแกนนำ คัดเลือกคณะกรรมการ และมีการทำเวทีประชาคมขึ้นเพื่อรับทราบความต้องการของสมาชิก

ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน ถูกดึงมาเป็น "ครู" ของเด็กๆ โดยเอาภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่น มาถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่ออบรมติดอาวุธทางสติปัญญาให้กับเยาวชน โดยเฉพาะการส่งเสริมอาชีพใน "การทำไม้กวาดจากดอกอ้อ" ซึ่งเป็นพันธุ์พืชอ้อที่มีในท้องถิ่นมาจัดทำเป็นไม้กวาด

"สาเหตุที่ทางชมรมได้ให้ความสำคัญกับอาชีพการทำไม้กวาดจากดอกอ้อ เพราะว่าองค์ความรู้ในการทำไม้กวาดจากดอกอ้อ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่กำลังจะตกหายไป มีแต่คนเฒ่าคนแก่ที่ทำกัน หากไม่มีการสืบสานแล้วจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เด็กและเยาวชนของชมรม To Be Number One บ้านกะทู้ เห็นว่าเราต้องเข้ามาเรียนรู้ และยังเป็นการหารายได้ที่ทำได้ด้วยตนเอง จึงเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ"

น้องทราย สุวรรณี หวลศรีทัย วัย 13 ปี เล่าว่า ชมรม To Be Number One บ้านกะทู้ ได้จุดประกายให้รู้จักการช่วยเหลือตัวเอง จึงได้มาเข้ามาร่วมอบรมการทำไม้กวาดจากป้าเหมีย ผู้อาวุโสในชุมชนซึ่งเป็นคนถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ โดยทางชมรมเป็นผู้สนับสนุน เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เสริมรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งภูมิใจมากที่สามารถหาเงินมาช่วยเหลือจุนเจือช่วยแม่ได้ โดยวัสดุก็ไม่ได้ไปหาจากที่ไหนไกล เพียงใช้หญ้าต้นอ้อที่มีภายในชุมชนมาทำ นอกจากนี้ยังใช้หวาย ลวด มีดสำหรับทำไม้กวาด คีมตัดลวด

น้องทราย บอกถึงการทำไม้กวาดให้ฟังว่า เริ่มจากการหักดอกอ้อหรือเก็บต้นดอกอ้อ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนมีนาคม นำดอกอ้อผึ่งแดดประมาณ 3-5 วัน เพื่อให้ต้นและดอกแห้ง ซึ่งจะเพิ่มความเหนียว เอาต้นดอกอ้อนั้นฟัดแบบฟัดข้าวในนา ให้ดอกละเอียดนั้นหลุดออกจากก้านฝอย เก็บไว้ในที่แห้งไม่ให้เปียกน้ำหรือชื้น แล้วจึงทยอยนำเอาดอกอ้อมาผูกเพื่อทำเป็นไม้กวาดต่อไป

โดยวิธีการทำไม้กวาดนั้นเริ่มต้นด้วยการดึงแขนงที่เป็นฝอยของดอกอ้อออกประมาณครึ่งหนึ่ง ให้เหลือแขนงก้านดอกติดลำต้นที่ปลายไว้อีกครึ่งหนึ่ง ให้แยกไว้ เมื่อดึงแขนงที่เป็นฝอยของดอกอ้อได้จำนวนมากพอที่จะผูกเป็นไม้กวาดได้แล้ว จึงเริ่มเอาแขนงที่เป็นฝอยนั้นมัดเป็นวงกลมมัดเล็กๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณมัดละ 1 ซม. แยกไว้ต่างหาก เมื่อมัดแขนงฝอยของดอกอ้อไว้แล้ว นำเอาลำต้นของดอกอ้อประมาณ 4 ต้น ให้เอาแขนงของดอกอ้อที่ได้มัดเตรียมไว้ 1 มัดเล็ก นำมารวมเข้าด้วยกันโดยใช้ลวดเส้นเล็กผูกให้กระชับและแข็งแรงพอที่จะมัดเป็นไม้กวาดได้ หลังจากนั้นให้นำแขนงของดอกอ้อกับก้านดอกอ้อมาผูกรวมเป็นมัดเดียวกัน ก็จะเป็นขั้นตอนของการผูกที่ทำให้เป็นรูปไม้กวาด

สำหรับปัจจุบันราคาไม้กวาดดอกอ้อจะขายกันในราคาด้ามละ 30-40 บาท ตามขนาด เนื่องจากต้นทุนได้สูงขึ้นจากเดิมที่เคยขายอยู่ในราคา 20-25 บาท ใน 1 เดือนจะผลิตได้ประมาณ 30-50 ด้าม ทำให้มีรายได้ต่อเดือนประมาณ 2-4 พันบาท โดยจะมีพ่อค้าแม่ค้าตลาดในเมืองมารับไปขาย และจะมีการแบ่งเงินเข้ากองทุนเล็กๆ น้อยๆ เดือนละ 100-300 บาท เพื่อเป็นการคืนเงินลงทุนกลับสู่ชมรมฯ ด้วย

นางหม่อง หวลศรีทัย แม่ของน้องทราย บอกว่า ตนมีอาชีพรับจ้างทั่วไป รายได้ไม่ค่อยแน่นอน ช่วงที่ไม่มีงานก็จะไปเก็บผักมาขาย ตอนนี้อยู่อาศัยเพียงลำพังกับน้องทราย เนื่องจากสามีได้เสียชีวิตไปแล้ว บางวันที่ต้องไปทำงานจึงมีเวลาดูแลลูกได้น้อย ก็รู้สึกเป็นห่วงน้องทราย แต่เมื่อลูกได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก ชมรม To Be Number One บ้านกะทู้ ก็ทำให้หายห่วงที่ชมรมฯ ได้สอนให้น้องทรายรู้จักการได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แถมยังมีโครงการดีๆอีกมากมายมาอบรมสอนให้น้องๆได้รู้จักทำเป็นอาชีพอย่างการทำไม้กวาด ตนเองเห็นว่าการเข้ามาเป็นสมาชิกชมรมฯ ถือเป็นการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งทำให้เด็กได้รับทั้งการส่งเสริมสติปัญญาและอาชีพ

"ไม้กวาดดอกอ้อ" ผลผลิตจากชมรม To Be Number One บ้านกะทู้ นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ได้ช่วยเสริมโอกาสให้กับเยาวชนได้ร่วมคิด ร่วมสร้าง ร่วมดำเนินงาน เป็นกิจกรรมของเยาวชน โดยเยาวชน เพื่อเยาวชนอย่างแท้จริง และที่สำคัญยังเป็นการรักษาไว้ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนบ้านกะทู้ให้คงอยู่ต่อไป

เพราะคงไม่มีใครดูแล "บ้าน" ของเราได้ดี เท่ากับ "สองมือ" ของคนในชุมชนเอง





กำลังโหลดความคิดเห็น